everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 3 #นิยายวาย
โชคดีพวกสีหมิงประคองไว้ได้นาน เพราะพวกเขาตระหนักว่าหากถังฟั่นมีอันเป็นไป พวกเขาเท่ากับบกพร่องในหน้าที่ ต่อให้วังจื๋อไม่ตำหนิ พวกเขาก็ต้องโดนราชสำนักลงทัณฑ์ ดังนั้นทุกคนจึงทุ่มเทสุดกำลังต้านรับการโจมตีของศัตรูจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล
แน่นอนฝ่ายตรงข้ามก็มิได้สบายไปกว่ากัน บนร่างของแปดคนนั้นมีริ้วโลหิตมากบ้างน้อยบ้าง ถึงแม้เป้าหมายของพวกมันคือคนในรถม้า แต่ขณะเดียวกันต้องระวังมิให้ถูกจับตัวได้ ดังนั้นเมื่อเห็นทหารกลุ่มหนึ่งลุถึงจึงทราบว่าโอกาสสังหารที่ดีที่สุดได้ผ่านพ้น ยามนี้ยากจะเสาะหาจังหวะลงมืออีกแล้ว
เพียงเห็นหนึ่งในนั้นที่ท่าทางคล้ายหัวหน้าทำสัญญาณมือ อีกเจ็ดคนที่เหลือพลันล่าถอยไปอีกฝั่ง หลังถอยร่นได้ระยะหนึ่งก็หมุนตัวหลบหนีไป เงาร่างกลืนหายไปกับแสงสีราตรีอย่างรวดเร็ว
ลู่หลิงซีใคร่จะไล่กวด กลับถูกสีหมิงกดไว้ “เจ้าอยากตายหรือ”
พิจารณาจากฝีมือของฝ่ายตรงข้าม คะเนว่ายังสูงกว่าพวกสีหมิงขั้นหนึ่ง ดังนั้นการต่อสู้ฉากนี้พวกเขาและลู่หลิงซีรวมห้าคนต่างได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ยังมีสองคนอาการสาหัสอีกด้วย ส่วนฝ่ายตรงข้ามแม้บาดเจ็บเช่นกันกลับเป็นแค่แผลภายนอก หากลู่หลิงซีไล่ตามไป แปดเก้าส่วนก็คือมีไปไม่มีกลับ
ลู่หลิงซีพอฟังก็ได้แต่ล้มเลิกอย่างเจ็บใจ
ทหารช่วยเหลือมาถึงแล้ว เจ้าเมืองฟั่นเห็นแต่ละคนสะบักสะบอม อดตระหนกมิได้ “ใต้เท้าถังเป็นอย่างไรแล้ว ไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง”
“ข้าไม่เป็นไร”
ถังฟั่นออกจากรถม้า ถัดมาคือจี๋หมิ่น
เจ้าเมืองฟั่นแนะนำให้ถังฟั่นรู้จัก “ท่านนี้คือนายกองพันถานของกองพันทหารจี๋อัน ผู้น้อยได้ยินข่าวก็รีบไปขอให้นายกองพันถานรุดมาทันที”
ในถ้อยคำของเขามีนัยประจบเอาหน้า พฤติการณ์ชนิดนี้เป็นเรื่องปกติในแวดวงขุนนาง ปกติถังฟั่นยังมีอารมณ์กล่าวคำตามธรรมเนียมกับเขา แต่ยามนี้กลับเพียงประสานมือต่อนายกองพันถาน “ขอบคุณนายกองพันถาน น้ำใจครานี้ข้ารับไว้แล้ว วันหน้าต้องรุดไปขอบคุณด้วยตนเองอีกครั้ง”
นายกองพันถานรู้จักกาลเทศะกว่าเจ้าเมืองฟั่นมากนัก เขาเห็นคนข้างกายถังฟั่นล้วนบาดเจ็บไม่เบาจึงกล่าว “ผู้น้อยรู้จักหมอที่เชี่ยวชาญด้านบาดแผลภายนอกหลายคน หากใต้เท้าถังต้องการ ผู้น้อยจะส่งคนไปเชิญพวกเขา”
ถังฟั่นก็มิได้เกรงใจ ล้วนรับไว้ทั้งหมด “เช่นนั้นต้องรบกวนนายกองพันถานแล้ว”
นายกองพันถานรีบกล่าว “ใต้เท้ามิต้องเกรงใจ เหตุเกิดในเมืองจี๋อัน ผู้น้อยไม่อาจปัดความรับผิดชอบ ใต้เท้าโปรดให้ผู้น้อยคุ้มกันท่านกลับบ้านพัก”
เจ้าเมืองฟั่นไม่ยอมน้อยหน้า “ผู้น้อยก็ขอไปส่งใต้เท้าด้วย”
พวกสีหมิงบาดเจ็บไม่เบา มีสองคนทำท่าจะล้ม ถังฟั่นจึงไม่บ่ายเบี่ยง สั่งสีหมิงประคองสองคนที่เจ็บหนักขึ้นรถม้า แล้วยืมม้าหลายตัวจากนายกองพันถาน ตนเองและพวกลู่หลิงซียังสามารถเคลื่อนไหวได้จึงขี่ม้ากลับไป
คนร้ายไปแล้วย่อมจะไม่กลับมาที่เดิม และภายใต้การคุ้มกันของนายกองพันถานกับเจ้าเมืองฟั่น ถังฟั่นและคณะจึงกลับถึงบ้านพักรับรองโดยปลอดภัย
นอกจากสองคนที่เจ็บหนักแล้ว พวกสีหมิงและลู่หลิงซีที่เหลือล้วนมีบาดแผลมากบ้างน้อยบ้าง ลู่หลิงซีโดนไปหนึ่งดาบบนท่อนแขน แผลลึกถึงกระดูก ตลอดทางเขาข่มกลั้นไว้ไม่โอดครวญ เมื่อกลับถึงบ้านพักก็เพียงพันผ้าห้ามเลือดไว้แบบลวกๆ จนกระทั่งหมอรุดมาจะใส่ยาให้เขา ทุกคนถึงเห็นว่าบาดแผลของเขาลึกเพียงใด
มาตรว่าพวกเขาบาดเจ็บเพราะอารักขาถังฟั่น แต่กล่าวโดยเคร่งครัดนี่เดิมทีก็เป็นหน้าที่ของพวกเขา ทว่าถังฟั่นไม่คิดเช่นนั้น ตรงข้ามกลับยกห้องพักของตนเองให้แก่คนเจ็บ รวมทั้งคอยดูอยู่ข้างๆ ในขณะที่หมอตรวจชีพจรและทำแผล สอบถามอาการของพวกสีหมิงอย่างเอาใจใส่ หลังทราบว่าหลายคนนั้นไม่มีอันตรายถึงชีวิตค่อยกำชับพวกสีหมิงนอนพักให้มาก แล้วสั่งเด็กรับใช้ในบ้านพักรับรองว่าพรุ่งนี้ให้ต้มโจ๊กเนื้อให้พวกสีหมิงเป็นพิเศษ
สีหมิงและพวกล้วนเห็นอยู่ในสายตา แม้ใบหน้าไม่แสดงออก หากก็ซาบซึ้งในใจ
ขุนนางที่แสดงน้ำใจพอเป็นพิธีนั้นมีอยู่ไม่น้อย ที่มากกว่าคือไม่แม้แต่จะแสดงน้ำใจ คนอย่างพวกเขาแม้พูดอย่างน่าฟังว่าเป็นยอดฝีมือ หากในความเป็นจริงก็คือเขี้ยวเล็บที่ทำงานให้คนอื่น ไม่ร่อนเร่ในยุทธภพก็เข้ารับราชการ แต่ต่อให้เป็นแม่ทัพนายกอง ศักดิ์ฐานะก็ไม่มีทางสูงไปกว่าขุนนางฝ่ายบุ๋น
ตอนแรกพวกสีหมิงคิดว่าด้วยฐานะของถังฟั่น ต้องเป็นคนที่ไม่เห็นผู้ต่ำต้อยกว่าอยู่ในสายตา พวกเขาเองก็ไม่ค่อยพอใจนักที่วังจื๋อสั่งให้มาคุ้มกันขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่งซึ่งไม่มีแม้แต่แรงฆ่าไก่ ทว่าหลังเหตุการณ์ครั้งนี้การแสดงออกของถังฟั่นกลับทำให้พวกเขาเปลี่ยนความคิดสิ้นเชิง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร เฉพาะความเอาใจใส่ที่ถี่ถ้วนเช่นนี้ก็มิได้สร้างความผิดหวังแก่พวกสีหมิงแล้ว
กว่าจะดูแลผู้บาดเจ็บเสร็จเรียบร้อย เวลาก็ล่วงไปกว่าสองชั่วยาม ถังฟั่นให้เจ้าเมืองฟั่นและพวกนายกองพันถานกลับไป เหลือเพียงจี๋หมิ่นยังอยู่ในบ้านพักรับรอง
เพราะยกเรือนหลักให้พวกสีหมิง ถังฟั่นจึงย้ายมาอยู่เรือนข้าง แม้คนของบ้านพักรับรองจัดเตรียมแต่เนิ่นๆ หากความสะดวกสบายยังคงย่อหย่อนไปบ้าง
ถังฟั่นเอ่ยน้ำเสียงละอาย “ต้องขออภัยพี่จื่อหมิงด้วย ทำให้เดือดร้อนไม่ว่า ข้ายังทิ้งท่านไว้คนเดียวอยู่เป็นนาน ไม่มีเวลาสนทนาด้วยเลย”
จี๋หมิ่นโบกมือ “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ไม่ต้องตื่นเช้า” พูดจบก็ถอนใจ “แต่เรื่องในคืนนี้แปลกมากจริงๆ เมื่อก่อนข้ายังอิจฉาที่เจ้าเลื่อนตำแหน่งเร็ว คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับต้องเผชิญอันตรายปานนี้ มิน่าถึงต้องพกพาบริวารฝีมือดีหลายคน หากไม่มีพวกเขา เจ้าไยมิใช่ยิ่งอันตราย”
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “อันที่จริงมิได้มีเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยนัก ข้าอยู่ซูโจวก็ไม่เคยเจอ”
ความจริงตอนอยู่ซูโจวก็เคยประสบ เพียงแต่ผู้อื่นใช้แผนหญิงงามและติดสินบนด้วยเงินทองเท่านั้น ดังคำว่าสุราคือยาทะลวงไส้ นารีคือมีดขูดกระดูก ดังนั้นนี่นับเป็นความสุ่มเสี่ยงอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
จี๋หมิ่นได้ฟังก็อดเผยสีหน้าวิตกแทนเขาไม่ได้ “เช่นนั้นตอนนี้พวกคุณชายลู่ล้วนบาดเจ็บ หลายวันนี้ใครจะคุ้มกันเจ้า ถ้าอย่างไรข้าส่งเจ้าหน้าที่ในอำเภอมาช่วยดีกว่า”
ถังฟั่นปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “ขอบคุณในความหวังดี แต่หากคนร้ายฝีมือสูงส่งเหมือนหลายคนในคืนนี้ เกรงว่าคนมากก็ไร้ประโยชน์ มิสู้ขอยืมทหารปืนไฟจากนายกองพันถานสักกลุ่มหนึ่ง”
จี๋หมิ่นทราบ สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาเป็นความจริง จึงส่ายหน้า “เป็นข้าไม่ได้เรื่อง ก่อนนี้ได้ยินว่าเจ้าจะมา ข้าดีใจมาก นึกว่าคราวนี้ได้พบหน้าจะต้องสนทนาความหลังกับเจ้า คาดไม่ถึงเพิ่งเข้าเขตอำเภอหลูหลิงก็โดนลอบฆ่าเสียแล้ว จะว่าไปเป็นความบกพร่องในหน้าที่ของข้าเช่นกัน”
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “นี่ไม่เกี่ยวกับท่าน อย่าโทษตนเองเลย หรือตอนนี้พวกเราจะสนทนาความหลังกันไม่ได้? ข้าเองก็อยากถามตั้งแต่ตอนที่เห็นท่านแล้วว่าต่อมาได้สอบฮุ่ยซื่ออีกหรือไม่ ไฉนเข้าเมืองหลวงแล้วไม่ไปหาข้า”
จี๋หมิ่นตอบ “ข้าไม่ได้ไปสอบที่เมืองหลวงอีกเลย หลังกลับบ้านเดิมข้าได้เจอคหบดีท่านหนึ่ง เขาชื่นชมที่ข้ามุมานะในการเรียน จึงออกเงินช่วยวิ่งเต้นในกรมอากร ซื้อตำแหน่งผู้ช่วยนายอำเภอให้ข้า ต่อมานายอำเภอหลูหลิงครบวาระก็เลยเสนอชื่อข้าขึ้นไป ข้าจึงได้เป็นนายอำเภอ”
ในราชวงศ์นี้บัณฑิตจวี่เหรินสามารถเป็นขุนนางได้ ตอนนั้นถังฟั่นสามารถช่วยเฮ่อหลินพี่เขยของเขาไปเป็นอาจารย์ใหญ่ในอำเภอมี่อวิ๋นได้ก็เพราะเฮ่อหลินเป็นบัณฑิตจวี่เหรินนั่นเอง
ทว่าด้วยนิสัยหยิ่งทะนงของจี๋หมิ่น ถังฟั่นเข้าใจมาตลอดว่าถ้าเขาสอบจิ้นซื่อไม่ได้คงไม่ยอมเลิกรา
คล้ายมองออกถึงความคิดของอีกฝ่าย จี๋หมิ่นเยาะหยันตนเอง “ตอนนั้นท่านแม่ข้าล้มป่วย ข้าเกรงท่านจะทุกข์ใจจึงต้องมีตำแหน่งงานเพื่อเลี้ยงชีพ เจ้าก็อย่าคิดมาก มิใช่ข้าไม่อยากไปหาเจ้า เพียงแต่ตอนนั้นเจ้าเพิ่งเข้าทำงานในศาลซุ่นเทียน ต่อให้อยากช่วยก็คงช่วยไม่ได้ เรื่องเช่นนี้คนนอกก็ช่วยไม่ได้ด้วย จำต้องแก้ไขเอง ดังนั้นถึงมิได้บอกเจ้า เลี่ยงมิให้เจ้าพลอยพะวงไปด้วย”
ถังฟั่นกล่าว “มิน่าข้าส่งจดหมายถึงท่านสองฉบับล้วนไม่มีข่าวคราวกลับมา นึกว่าตอนนั้นท่านไม่อยู่บ้านเดิมเสียแล้ว”
จี๋หมิ่นถอนใจ “ใช่ หลังข้ามาถึงอำเภอหลูหลิง เพราะงานยุ่งมากจึงปลีกตัวกลับบ้านเดิมไม่ได้เลย พูดแล้วก็อกตัญญูจริงๆ”
วันหยุดของขุนนางราชวงศ์นี้เดิมทีก็น้อยมาก ขุนนางระดับล่างกว่าจะได้วันหยุดสักวันยิ่งยากเย็น เฉกเช่นจี๋หมิ่นนี้ไม่ถือว่าแปลก ในแผ่นดินต้าหมิงยังมีขุนนางเป็นพันเป็นหมื่นที่ประสบชะตากรรมไม่ต่างจากเขา
จี๋หมิ่นกล่าว “รุ่นชิง คิดถึงตอนนั้นเราสองตั้งสัตย์ปฏิญาณจะต้องสอบติดจ้วงหยวนให้ได้ สุดท้ายข้าไม่เพียงไม่เพียรพยายาม กลับทำตัวเป็นทหารหนีทัพ เลือกเดินทางลัดเสียแล้ว ข้ารู้ว่านี่ไม่ถูกทำนองคลองธรรม…”
ถังฟั่นตัดบทเขา “ท่านพูดเช่นนี้ข้าไม่ชอบฟังเลย คำว่าถูกศีลธรรมผิดศีลธรรมเดิมก็ไม่ควรนำมาผูกติดกับการสอบเคอจวี่ ขอเพียงเป็นขุนนางแล้วอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง นั่นก็คือถูกทำนองคลองธรรม เมื่อแรกเริ่มสถาปนาราชวงศ์ ขุนนางราชสำนักกว่าครึ่งล้วนมาจากสำนักการศึกษา มิได้มาจากการสอบคัดเลือก ในจำนวนนั้นต่อมายังได้เป็นขุนนางเรืองนามหรือขุนนางผู้มีคุณูปการใหญ่หลวง หรือเส้นทางที่ผู้อาวุโสเหล่านี้ก้าวเดินก็ไม่ถูกทำนองคลองธรรม? พี่จื่อหมิงท่านน่ะคิดมากเกินไป ขอเพียงท่านยังคงเป็นเช่นทุกวันนี้ เราสองก็จะเป็นสหายกันตลอดกาล”
จี๋หมิ่นอุ่นวาบในทรวง ทั้งรู้สึกพูดอันใดล้วนไม่เหมาะสม ได้แต่ก้มหน้ากลบเกลื่อนความตื้นตัน รอกระทั่งสงบจิตใจได้ค่อยกล่าว “ในงานเลี้ยงวันนี้สวีปินจ้องเล่นงานเจ้าตลอดเวลา เจ้ารู้สาเหตุหรือไม่”
ถังฟั่นตอบ “เรื่องนี้ข้าแปลกใจอยู่เหมือนกัน หรือท่านล่วงรู้ความนัย?”
“พอรู้อยู่บ้าง”
ขณะจะขยายความพลันได้ยินเสียงเคาะประตู
ถังฟั่นจะลุกไปเปิด จี๋หมิ่นกลับกดแขนเขาไว้แล้วเดินไปเปิดเอง
ที่ยืนอยู่ด้านนอกย่อมมิใช่คนร้าย แต่เป็นลู่หลิงซีที่มีผ้าพันไว้ครึ่งแขน
เขาส่งยิ้มมาก่อน “พี่ถัง ได้ยินว่าพวกท่านสนทนาใต้แสงเทียนกันที่นี่ ข้ามาที่นี่มิได้รบกวนพวกท่านกระมัง”
ถังฟั่นย่นคิ้ว “เจ้าได้รับบาดเจ็บไม่ไปนอนพัก ลุกมาด้วยเหตุใด เลิกเล่นได้แล้ว”
ลู่หลิงซีกล่าว “ข้าปวดแผลจนนอนไม่หลับ ให้ข้านั่งอยู่ที่นี่สักครู่เถอะ”
น้ำเสียงออดอ้อนชวนให้ผู้คนมิอาจปฏิเสธ และคิดถึงว่าเขาบาดเจ็บเพราะช่วยตน ถังฟั่นจึงหมดปัญญาใจแข็ง
ปัญหาคือพวกสีหมิงยังนอนอยู่ในห้องตนเอง ไม่วิ่งมารำพึงรำพันถึงที่นี่ มีก็แต่ลู่หลิงซีที่อยู่ไม่สุข
ดูท่าคงเพราะยังอ่อนวัย นิสัยเหมือนเด็กน้อย มิน่าไหวเอินถึงส่งเขามาให้ตนช่วยขัดเกลา ถังฟั่นรำพึงในใจ
แม้จะคิดเช่นนั้นหากก็ใจอ่อน “ก็ได้ เช่นนั้นเจ้านั่งอยู่ในนี้ ถ้ารู้สึกไม่สบายต้องบอก”
ลู่หลิงซีรับคำหน้าชื่นตาบาน ใช้มือข้างที่ไม่เจ็บลากเก้าอี้มานั่งติดกับถังฟั่น พอเงยหน้าเห็นจี๋หมิ่นกำลังมองมาที่ตนก็อดส่งสายตาท้าทายมิได้ ทำให้อีกฝ่ายตะลึงงัน