everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 1 #นิยายวาย
บทที่ 1
ดาวศุกร์หรือก็คือไท่ไป๋จินซิง และเมื่อดาวศุกร์โคจรแทรกอาทิตย์เรียกอีกอย่างว่าไท่ไป๋แทรกอาทิตย์ หมายถึงศึกสงคราม ภัยบ้านเมือง เจ้าแผ่นดินตกต่ำ หรือถึงขั้นเกิดกบฏแย่งชิงบัลลังก์
‘ตำรามหาทักษา’ ยุคราชวงศ์ถังบอกว่าดาวหางเข้าดาวเหนือ ราชวังร้าง
ดาวเหนือเป็นตัวแทนของกษัตริย์ เมื่อดาวหางปรากฏ นับแต่โบราณมาล้วนเป็นลางหายนะ ราชวังร้างหมายถึงจักรพรรดิจากไป ราชวังไร้ซึ่งจักรพรรดินั่งประจำการ ดังนั้นมีเพียงขณะที่จักรพรรดิลี้ภัยฉุกละหุกจึงเกิดภาวะ ‘ราชวังร้าง’
การโคจรของดวงดาวสองลักษณะนี้ล้วนมิใช่นิมิตหมายอันดี กลับพานปรากฏให้เห็นในเวลาไล่เลี่ยไม่กี่วัน นี่ชวนให้ผู้คนอดครุ่นคิดไปต่างๆ นานามิได้
นับแต่โบราณกาล โอรสสวรรค์งมงายในโหราศาสตร์ บรรดาขุนนางมักหยิบยืมปรากฏการณ์บนท้องฟ้ามาแสดงแนวคิด ตัวอย่างเช่นใช้การปรากฏขึ้นของดาวหางมาทัดทานจักรพรรดิให้มุมานะในราชกิจเพื่อบ้านเมืองและราษฎร ถึงขนาดยังมีจักรพรรดิออกราชโองการไถ่บาป โดยหวังว่าจะได้รับการอภัยโทษจากสวรรค์เบื้องบน
ครั้งนี้ก็ไม่ยกเว้น ทันทีที่เกิดการโคจรของดวงดาวทั้งสองลักษณะ ทั่วราชสำนักพลันฮือฮาขึ้นมา ไม่รอให้สำนักโหรหลวงสรุปคำพยากรณ์ออกมา ฝ่ายขุนนางทัดทานก็ทยอยถวายฎีกาแสดงความคิดเห็นของตนเองที่มีต่อปรากฏการณ์ไท่ไป๋แทรกอาทิตย์และดาวหางเข้าดาวเหนือ ความเห็นโดยมากเป็นไปในแนวข่มขวัญจักรพรรดิ ให้พระองค์ไม่อาจออกจากวัง
แต่เพราะทุกคนรีบร้อนถวายฎีกาทัดทาน ก่อนหน้ามิได้มีการรวบรวมและสรุปความคิดเห็นให้เป็นหนึ่งเดียว ส่งผลให้ต่างคนต่างเขียนกันไปต่างๆ นานา โอรสสวรรค์พระสติไม่แจ่มใส ทอดพระเนตรได้สองฉบับก็ทรงหงุดหงิดแล้วจึงโยนไว้ทางหนึ่ง ไหนเลยยังมีแก่ใจเปิดฉบับอื่นๆ ที่เหลือ
เทียบกับสดับฟังความเห็นของเหล่าขุนนาง พระองค์ทรงยินดีรับฟังความคิดของใครบางคนมากกว่า
“ราชครูก่วงซ่าน หลายวันนี้จิตใจเราว้าวุ่นเหลือเกิน”
ขณะจักรพรรดิเฉิงฮว่าตรัสคำนี้พระองค์กำลังประทับนั่งเอนๆ อยู่บนพระเก้าอี้ หรี่พระเนตรมองดูจี้เสี่ยวในชุดราชครู ราศีแห่งผู้ทรงศีลที่เยือกเย็นสูงส่ง ส่งให้เกิดความอิจฉาและเลื่อมใสในพระทัยยิ่งนัก
หากมีใครนำภาพเหมือนของจักรพรรดิเมื่อหลายปีก่อนมาดูจะพบว่าพระองค์ผ่ายผอมลงเป็นอันมาก พระวรกายก็แลดูเหี่ยวเฉา
ทว่ายิ่งพระวรกายไม่แข็งแรง พระองค์กลับยิ่งงมงายในวิชาเทพเซียนอันจับต้องมิได้เหล่านั้น
นี่ดูเหมือนจะเป็นโรคประจำตัวของเจ้าแผ่นดินทุกองค์ ไม่ว่าจะปรีชาสามารถหรือไม่ก็ตาม
จี้เสี่ยวทูลถาม “พระทัยว้าวุ่นล้วนเพราะมีมารครอบงำจิตใจ ฝ่าบาทคือผู้ทรงศักดิ์สูงสุด มารปีศาจไหนเลยบังอาจเข้าใกล้โดยง่าย แล้วพระทัยจะว้าวุ่นได้อย่างไร”
จักรพรรดิถอนพระทัยยืดยาว
ในสายตาของคนทั่วไปพระชนมพรรษาของพระองค์ก็ไม่นับว่ามาก ปีหน้าเพิ่งถึงวัยสี่สิบ การดำรงตำแหน่งจักรพรรดิของพระองค์ก็มิได้ลำบากตรากตรำ นับแต่ขึ้นครองราชย์งานบ้านงานเมืองล้วนราบรื่น ปัญหาด้านทายาทซึ่งเป็นที่วิตกในช่วงแรกบัดนี้ก็คลี่คลายแล้ว แต่ละพื้นที่แม้ประสบภัยธรรมชาติอยู่บ้าง แต่เหล่าขุนนางของพระองค์ล้วนจัดการได้อย่างเรียบร้อย แม้กระทั่งชาวต๋าต๋ายังถูกไล่ต้อนจนไม่กล้ามาระรานอีก และไม่เคยปรากฏเหตุการณ์ชนต่างเผ่าล่วงล้ำชายแดนเฉกเช่นสมัยเสด็จอาหรือพระบิดาของพระองค์
แต่พระองค์ยังคงกลัดกลุ้มสุมอุรา บวกกับพระวรกายทรุดโทรมลงทุกวัน ความรู้สึกหม่นหมองจึงทวีความรุนแรง
เวลานี้พระองค์นับว่ากระจ่างแจ้งแล้ว เหตุใดจักรพรรดิฉินสื่อและจักรพรรดิฮั่นอู่ที่เปี่ยมด้วยอัจฉริยภาพจึงหลงใหลคลั่งไคล้ในศาสตร์วิชาอมตะ เพราะแม้ว่าจักรพรรดิจะสามารถครอบครองแผ่นดิน ปรารถนาสิ่งใดได้สิ่งนั้น พานมีแต่อายุขัยที่พระองค์มิอาจกำหนดได้ ขณะที่ทุกสิ่งล้วนอยู่ในกำมือ มีเพียงสิ่งหนึ่งซึ่งไขว่คว้าไม่ได้ ความอึดอัดขัดใจก็ยิ่งทบทวี
โดยเฉพาะปรากฏการณ์ดวงดาวในระยะนี้
ครุ่นคิดถึงตรงนี้ พระพักตร์พลันปรากฏเค้ารอยว้าวุ่นตามพระอารมณ์ในใจ “ราชครูคงได้ยินมาบ้างแล้วว่าปรากฏการณ์ดวงดาวในระยะนี้วิปริต จิตมารของเราก็เกิดจากสาเหตุนี้นั่นเอง”
จี้เสี่ยวทูล “ฝ่าบาททรงหมายถึงไท่ไป๋แทรกอาทิตย์ ดาวหางเข้าดาวเหนือ”
“…มิผิด”
ลำพังสดับฟังสองคำนี้พระองค์ก็รู้สึกพระทัยเต้นตูมตาม มิเพียงไม่อยากเอ่ยถึง กระทั่งฟังก็ยังไม่ยินดี
จี้เสี่ยวพนมมือ “ฟ้าสำแดงเดช บอกนิมิตดีร้าย เรื่องนี้ไม่ปกติอย่างมาก จำต้องพิจารณาถี่ถ้วน หัวหน้าสำนักโหรหลวงสำรวจปรากฏการณ์ดวงดาว ขุนนางราชสำนักกอปรด้วยภูมิความรู้ ทุกคนสมควรมีความเห็นถึงจะถูก”
จักรพรรดิทรงโบกพระหัตถ์ไปมา ออกจะหงุดหงิดอยู่บ้าง “เราฟังความเห็นของพวกเขาจนระอาแล้ว! มากคนมากความ เราไม่รู้จะเชื่อใครดี บางคนบอกไท่ไป๋แทรกอาทิตย์เป็นเพราะปีนี้จะมีศึกสงคราม ยังมีที่บอกว่าเป็นเพราะเราจะออกจากวังจึงเกิดดาวหางเข้าดาวเหนือ เป็นคำเตือนจากสวรรค์ ช่างน่าขันสิ้นดี! เคยได้ยินเมื่อไรว่าสวรรค์พิโรธเพราะจักรพรรดิออกจากวัง กล่าวเช่นนี้จักรพรรดิมิต้องอยู่แต่ในวังชั่วชีวิตหรือ” ตรัสจบพระองค์ก็จ้องหน้าจี้เสี่ยวเขม็ง “ดังนั้นเราถึงอยากฟังความเห็นของราชครู หรือนี่เป็นสวรรค์ตักเตือนเราจริงๆ?”
จี้เสี่ยวทูลตอบอย่างใจเย็น “อาตมากลับมีความเห็นที่แตกต่างออกไป ในเมื่อปรากฏการณ์ดวงดาวสองลักษณะเกิดขึ้นต่อเนื่องกันย่อมมิอาจแยกพิจารณา จำต้องรวมเป็นหนึ่งมาทำนายทายทัก”
“โอ้?” จักรพรรดิพระเนตรเป็นประกาย พระองค์กลับมิเคยได้ยินคำอธิบายเช่นนี้มาก่อน “เรายินดีฟังโดยละเอียด”
“ไม่ทราบฝ่าบาททรงเคยได้ยินคำว่าดาวอาคันตุกะหรือไม่”
“ดาวอาคันตุกะก็คือดาวที่มิใช่ดาวธรรมดา เมื่อใดปรากฏเหนือท้องฟ้า ต้องมีปาฏิหาริย์”
จี้เสี่ยวผงกศีรษะ “มิผิด ตามหลักแล้วไท่ไป๋มิใช่ดาวอาคันตุกะ แต่เมื่อเทียบกับอาทิตย์ ไท่ไป๋ก็กลายเป็นดาวอาคันตุกะ ดังนั้นไท่ไป๋แทรกอาทิตย์จึงมีนัยว่าผู้เยือนบดบังรัศมีผู้เหย้า และดาวหางเข้าดาวเหนือก็มีนัยเดียวกัน ขุนนางราชวงศ์โจวกล่าวว่าไม่เกินเจ็ดปี ประมุขแคว้นซ่ง ฉี และจิ้นล้วนสิ้นชีพในเหตุจลาจล”
การที่จี้เสี่ยวได้รับความไว้วางพระทัยจากจักรพรรดิและได้รับแต่งตั้งเป็นราชครูย่อมมิใช่อาศัยเพียงวิชาอาคมที่ลี้ลับซับซ้อน ขณะเดียวกันก็สามารถกล่าวได้ว่าเขาแตกฉานตำราโบราณอีกด้วย
ดังคาด จักรพรรดิซึ่งรอบรู้กว้างขวางเช่นกันพอสดับก็พลันกระจ่าง “นี่คือคำพูดใน ‘บันทึกจั่วจ้วน’ ”
จี้เสี่ยวผงกศีรษะ “มิผิด ดังนั้นจะไท่ไป๋แทรกอาทิตย์ก็ดี ดาวหางเข้าดาวเหนือก็ดี สองเรื่องนี้อันที่จริงก็คือเรื่องเดียวกัน”
“เช่นนั้นหมายถึงอะไรกันแน่” จักรพรรดิทรงซักไซ้ด้วยความร้อนพระทัย
จี้เสี่ยวมองตอบด้วยสายตาแน่วนิ่ง “ความลับฟ้ามิอาจแพร่งพราย อาตมาเพียงทูลได้เท่านี้ ฝ่าบาททรงเป็นพหูสูต ภูมิความรู้ลึกซึ้ง คิดว่าสามารถแจ่มแจ้งได้แน่นอน นับแต่โบราณปฐมเหตุแห่งความวุ่นวายของราชวงศ์ล้วนเกิดขึ้นจากอาคันตุกะข่มรัศมีเจ้าบ้าน ในเมื่อสวรรค์ตักเตือน ฝ่าบาทก็เพียงสดับฟังและตั้งมั่นอยู่ในความระมัดระวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เขายิ่งอมพะนำ จักรพรรดิกลับยิ่งรู้สึกลึกล้ำสุดหยั่ง ประหนึ่งเป็นเรื่องจริง
คล้อยหลังจี้เสี่ยว จักรพรรดิรับสั่งให้ล่าถอยทั้งซ้ายขวา ทรงหมกมุ่นครุ่นคะนึงอยู่ในตำหนักใหญ่ตามลำพัง
ผู้เยือนบดบังรัศมีผู้เหย้า อาคันตุกะข่มรัศมีเจ้าบ้าน ผู้เหย้าหมายถึงใคร แน่นอนก็คือจักรพรรดินั่นเอง
เช่นนั้น ‘อาคันตุกะ’ เล่า?
หรือมีคนใคร่แข็งข้อก่อกบฏ
นี่ไม่น่าเป็นไปได้ นับแต่จักรพรรดิหงอู่สถาปนาราชวงศ์ ได้รับบทเรียนเรื่องหัวเมืองแข็งข้อต่อราชสำนักในยุคถังและเรื่องเน้นบุ๋นไม่เน้นบู๊ของยุคซ่ง เงื่อนไขที่ทำให้ขุนนางพลเรือนลุกฮือและขุนนางทหารก่อกบฏล้วนขจัดสิ้นไม่มีเหลือ หนำซ้ำเวลานี้ก็มิใช่กลียุค หากมีคนใคร่ก่อการกบฏ ผลสุดท้ายคนผู้นั้นคงมีแต่ถูกประชาทัณฑ์
หนึ่งเดียวที่เป็นภัยคุกคามก็คือเจ้าครองหัวเมือง แต่หลังจากโอรสสวรรค์หย่งเล่อเป็นต้นมา ภัยคุกคามนี้ล้วนถูกขจัดสิ้น ต่อให้พวกเจ้าครองหัวเมืองใคร่ลุกฮือก่อการ อย่างมากก็เป็นได้แค่เภทภัยในพื้นที่ ไม่อาจคุกคามถึงส่วนกลาง
หากข้างต้นทั้งหมดล้วนไม่ใช่ เช่นนั้นจะเป็นอะไร
จักรพรรดิทรงก้มพระพักตร์ พื้นศิลาที่มันปลาบสะท้อนภาพเงาร่างรำไร
พระองค์ทรงสูดหายใจลึกๆ ความตื่นเต้นสงสัยค่อยๆ ผุดขึ้นกลางพระทัย
หรือว่า…
“หรือคราวนี้เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว?” จักรพรรดิไม่ทรงทราบว่าในอีกสถานที่หนึ่งมีคนเอ่ยถามคำนี้ขึ้นมา
คนที่ถูกถามหัวเราะหึๆ สองที ใบหน้าอ้วนฉุเผยรอยยิ้มขึ้น ถูอุ้งมือเล็กน้อยเมื่อกล่าว “ดูท่าทางครั้งนี้แม้แต่สวรรค์ยังเกื้อหนุนพวกเรา”
วั่นทงกล่าวคำนี้จบ เห็นอีกสองคนต่างมิได้แสดงท่าทีลิงโลดเช่นเขา เสียงหัวเราะจึงค่อยลง “อย่างไร หรือทั้งสองท่านไม่คิดว่านี่คือเรื่องอันประเสริฐเรื่องหนึ่ง”
วั่นอันกล่าว “ข้าว่าลำพังวาจาของราชครูก่วงซ่าน เกรงว่าฝ่าบาทยังคงยากตัดสินพระทัย อย่างไรเสียรัชทายาทก็ปราศจากความผิดมหันต์…”
“ไหนเลยปราศจากความผิดมหันต์!” วั่นทงหาได้คำนึงถึงฐานะราชเลขาธิการของอีกฝ่ายไม่ อ้าปากโพล่งทะลุกลางปล้อง “เขาก่อให้เกิดดาวหาง ไยมิใช่ผิดมหันต์! เห็นได้ว่าแม้แต่สวรรค์เบื้องบนยังรู้สึกว่าการที่จูโย่วเชิงเป็นรัชทายาทคือความผิดพลาดใหญ่หลวงประการหนึ่ง ข้าพานอยากดูว่าครานี้พวกนั้นยังมีข้ออ้างอันใดปกป้องรัชทายาทอีก”
วั่นอันยิ้มเจื่อน “น้องชาย นั่นเป็นเพียงคำอธิบายเรื่องการโคจรของดวงดาว ส่วนจะทำนายทายทักเช่นไร มิได้ขึ้นอยู่กับผู้คนแล้ว”
วั่นทงไม่สบอารมณ์ “หยวนเวิง เรื่องราวถึงขั้นนี้จะถอยแล้วหรือ อย่าลืมว่าท่านโยงใยกับกลุ่มอำนาจวั่นมานาน เมื่อใดรัชทายาทขึ้นบัลลังก์ คนแรกที่จะถูกชำระล้างก็คือท่านราชเลขาธิการคนนี้!”
เขากวาดมองวั่นอันและเผิงหวา กล่าวเสียงเหี้ยมเกรียม “ข้าขอกล่าวไว้ตรงนี้ ข้าและพี่สาวล้วนเป็นปรปักษ์กับรัชทายาท รัชทายาทนิสัยสุขุมจอมปลอม ทั้งที่พี่สาวข้ากับเขามีแค้นที่มิอาจร่วมโลก เขากลับยังสามารถเคารพนอบน้อมต่อพี่สาวข้า บุคคลเยี่ยงนี้หากทำให้เขามีอำนาจ พวกเราย่อมไม่มีวันสงบสุขเป็นแน่ อย่างไรก็ตามล้วนมิอาจให้เขานั่งบนเก้าอี้ตัวนั้นเด็ดขาด”
เผิงหวาเห็นบรรยากาศค่อนข้างตึงเครียดจึงไกล่เกลี่ย “น้องวั่น หยวนเวิงมิได้หมายความเช่นนั้น เขาเพียงวิตกว่าฝ่าบาทจะทรงรวนเร วาจาของราชครูก่วงซ่านอย่างมากเพียงทำให้ฝ่าบาทคลางแคลงต่อรัชทายาท แต่ไม่แน่ว่าจะสามารถผลักดันให้ฝ่าบาททรงปลดรัชทายาทได้ ถึงเวลานั้นคนอื่นๆ ทูลทัดทาน คะเนว่าฝ่าบาทก็คงจะเปลี่ยนพระทัยอีก”
วั่นทงแค่นเสียงฮึ “หยวนเวิงเป็นราชเลขาธิการมานาน หรือแม้แต่ปากของพวกขุนนางทัดทานยังควบคุมไม่ได้? ข้าจำได้ว่าหลายปีก่อนคนพวกนี้ล้วนไม่กล้าเป็นศัตรูกับพวกเรา ไฉนสองปีนี้จึงขวัญกล้าขึ้นมาแล้ว”
วั่นอันโดนเขาจี้จุดอ่อน รู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง กล่าวเสียงเจ็บแค้น “ไยมิใช่เพราะจิ้งจอกเฒ่าเจ้าหลิวเหมียนฮวานั่นจะเป็นปฏิปักษ์กับข้าให้ได้ สุดท้ายกลับกลายเป็นพวกถังฟั่นได้ประโยชน์ เจ้าไม่จำเป็นต้องกระตุ้นข้า ข้ามีหรือไม่อยากให้ซิงอ๋องสืบทอดบัลลังก์ เพียงติดที่อำนาจของราชเลขาธิการคนนี้ยังห่างชั้นจากมหาเสนาบดียุคถังและซ่ง ทว่าเวลานี้หากฝ่าบาททรงมีท่าทีจะปลดรัชทายาทให้เห็นเพียงนิด สภาขุนนางย่อมจะแตกสามัคคี ถึงเวลานั้นมีสภาขุนนางนำขบวน พวกขุนนางทัดทานกลุ่มนั้นยิ่งไร้ความกริ่งเกรง ต่างพากันลุกฮือขึ้นมา นั่นจึงเป็นเรื่องยุ่งยากแท้จริง!”
เผิงหวาก็ทอดถอนใจ “ใช่แล้ว น้องวั่น หยวนเวิงเองก็ไม่มีวิธีการ นับแต่สถาปนาต้าหมิงล้วนเน้นแต่งตั้งโอรสองค์โตที่เกิดจากพระอัครมเหสี ทุกวันนี้รัชทายาทเป็นทายาทอันดับหนึ่ง ดำรงตำแหน่งโดยชอบธรรม ตราบใดที่คนเหล่านั้นจับจุดนี้ไว้ไม่ปล่อยก็สามารถยืนอยู่บนความไม่ปราชัย”
วั่นทงไม่เห็นด้วย “จัดการขุนนางทัดทานเหล่านั้นจะยากเย็นอันใด เตะออกนอกเมืองสักคนสองคน ที่เหลือก็ไม่กล้าเปิดปากแล้ว อย่าพูดราวกับพวกเขาแกร่งกล้าเหลือเกิน หลายปีก่อนตอนจี้เสี่ยวถูกฝ่าบาทรับเข้าวัง มิใช่มีคนหลายคนเต้นแร้งเต้นกาฟ้องร้องเขา สุดท้ายเป็นอย่างไร ฝ่าบาทส่งพวกนั้นเข้าคุก คนอื่นๆ ก็พูดไม่ออกแล้ว เชอะ ที่แท้ก็แค่พวกรักตัวกลัวตาย ชักใบตามลม!”
เผิงหวากล่าว “หากไม่มีใครนำขบวน พวกเขาก็เป็นแค่แมลงวันไร้หัวฝูงหนึ่ง แต่เมื่อใดที่มีผู้นำก็จะเป็นเช่นหยวนเวิงบอก คนเหล่านี้จะแย่งกันขึ้นหน้าทันใด นั่นต่างหากคือความยุ่งยากขนานแท้ แม้สิ่งที่คนเหล่านั้นพูดเป็นวาจาเหลวไหล แต่ฝ่าบาทก็มิอาจละเลยความคิดเห็นของพวกเขา”
วั่นทงกล่าวเสียงอำมหิต “เช่นนั้นก็ลากตัวหัวหน้าขบวนลงมา” เขามองวั่นอัน “เวลานี้ในสภาขุนนาง ผู้ใดเป็นปฏิปักษ์กับพวกเรา ตาแก่หลิวเหมียนฮวานั่น?”
วั่นอันส่ายหน้า “หลิวจี๋แม้ขัดคอข้าตลอด แต่คนผู้นี้จัดสำรับตามใจผู้กิน ไม่เคยขัดพระทัยฝ่าบาท ดังนั้นตราบใดที่ฝ่าบาทไม่มีวี่แววปลดรัชทายาท เขาจะไม่คัดค้านอย่างโจ่งแจ้งเป็นแน่”
วั่นทงเริ่มหงุดหงิด “เช่นนั้นยังมีใครอีก หยวนเวิงมิสู้ชี้แจ้งแถลงชัด”
วั่นอันแม้ประจบสอพลอเพื่อนับญาติกับวั่นกุ้ยเฟยและบ้านสกุลวั่น แต่ใจส่วนลึกของเขากลับดูแคลนคนเยี่ยงวั่นทงที่ไต่เต้าขึ้นมาด้วยการเกาะชายกระโปรงสตรี มิหนำซ้ำทุกวันนี้เขาเป็นถึงราชเลขาธิการ วั่นทงกลับพึ่งพาฐานะของพี่สาว กระทั่งพูดจากับตนยังไม่มีสัมมาคารวะ วั่นอันเก็บความไม่พอใจมานานแล้ว เพียงแต่ไม่เคยปริปากออกมาเท่านั้น
ยังคงเป็นเผิงหวามีสายตาแหลมคม มองออกถึงความไม่สบอารมณ์ที่ซ่อนเร้นของวั่นอัน จึงแย้มยิ้มพลางกล่าว “ข้ากับอิ่นจื๋อย่อมเป็นพวกเดียวกัน นอกนั้นคนในสภาขุนนางที่พูดจาคนละภาษากับพวกเราก็มีหลิวจี๋ หลิวเจี้ยน สวีผู่ และถังฟั่น สวีผู่เป็นวิญญูชนคนดีที่พูดจาระมัดระวัง ถึงเวลานั้นต่อให้เขาเอ่ยปากคัดค้านก็คงแย้งได้ไม่กี่คำ ไม่จำเป็นต้องเก็บเขามาใส่ใจ มีก็แต่หลิวเจี้ยนกับถังฟั่นสองคนนี้ที่ควรวิตกอยู่บ้าง หลิวเจี้ยนอารมณ์ร้อน หุนหันพลันแล่น ส่วนถังฟั่นคารมคมคาย สามารถพูดเปลี่ยนดำเป็นขาวได้ สองคนนี้เอนเอียงไปทางรัชทายาท ถึงเวลานั้นย่อมต้องยกสารพัดเหตุผลมาโต้แย้ง ยังมีบัณฑิตร่วมรุ่นของถังฟั่นหลายคนนั้นก็เป็นขุนนางทัดทานจากสำนักราชบัณฑิต ลำพังแค่คนเหล่านี้รวมตัวกันขึ้นมาก็เป็นขุมกำลังที่ไม่เล็กแล้ว”
ในความทรงจำของวั่นทง ถังฟั่นกลับยังหยุดอยู่ที่ผู้ตรวจการเล็กๆ ที่ถูกบีบให้ออกจากตำแหน่งพระอาจารย์ตำหนักบูรพา และต่อมายังถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจนอกพื้นที่
เขามิใช่ไม่ทราบว่าถังฟั่นเข้าสภาขุนนาง แต่เวลานี้อีกฝ่ายยืนอยู่ท้ายแถวในสภาขุนนาง ตามหลักแล้วไม่เป็นภัยคุกคามแต่ประการใด มิคาด เมื่อทุกคนวิเคราะห์ขุมกำลังต่อต้านการปลดรัชทายาท เจ้าถังรุ่นชิงคนนี้ถึงกับครองพื้นที่เล็กๆ ในขุมกำลังนี้กับเขาด้วย
เผิงหวาเห็นสีหน้าเขาก็ปรุโปร่งถึงความคิด จึงเอ่ยเตือน “น้องวั่น ท่านอย่าลืมว่าจุดจบของซั่งหมิงในตอนนั้นเป็นถังฟั่นกำนัลให้ จึงได้ถูกส่งไปกวาดพื้นถึงหนานจิง บทเรียนวางอยู่ตรงหน้า จะปรามาสถังรุ่นชิงผู้นี้มิได้เป็นอันขาด”
“เช่นนั้นความหมายของท่านทั้งสองคือ?” วั่นทงถาม
เผิงหวาตอบ “เพื่อป้องกันราตรียาวนานภาพฝันมากมี เรื่องนี้จำต้องรวบรัดเผด็จศึก มิอาจยืดเยื้อซ้ำซาก ดีที่สุดคือฝ่าบาทตัดสินพระทัยตามลำพังโดยไม่ให้สภาขุนนางสอดมือ แล้วออกราชโองการปลดรัชทายาทลงมา ถึงเวลานั้นไม้กลายเป็นเรือ ใครก็พูดอันใดมิได้”
วั่นอันส่ายศีรษะ “เป็นไปไม่ได้ ฝ่าบาทมิใช่คนประเภทนั้น ตลอดชีวิตของพระองค์ไม่เคยกระทำเรื่องตัดสินพระทัยตามลำพังสำเร็จสักครั้ง”
หากกล่าวว่าบนโลกนี้มีผู้ใดเข้าใจจักรพรรดิที่สุด วั่นอันย่อมเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
เขากระจ่างอย่างมาก หากจักรพรรดิเป็นคนเด็ดขาดปานนั้น พระองค์ย่อมไม่มีทางชื่นชอบวั่นกุ้ยเฟย และไม่มีวันนิ่งดูดายปล่อยให้รัชทายาทเต้ากงถูกวั่นกุ้ยเฟยวางยาพิษจนตาย ก็เพราะจักรพรรดิอุปนิสัยนุ่มนวล ถึงได้โลเลไม่กล้าตัดสินใจ และถึงได้ชมชอบสตรีแบบวั่นกุ้ยเฟย
วั่นอันวิเคราะห์ “ดูจากอุปนิสัยของฝ่าบาท หากพระองค์จะปลดรัชทายาทย่อมต้องเรียกข้าไปหารือ จากนั้นค่อยให้ข้าไปส่งข่าวต่อเหล่าขุนนางเพื่อเลียบเคียงความคิดเห็น สุดท้ายค่อยตัดสินพระทัย”
วั่นทงหงุดหงิด “นั่นไม่ต้องทำอันใดกันแล้ว! ถึงเวลาเถียงกันไปมาหนึ่งปีครึ่งปี ระหว่างนั้นเกิดฝ่าบาทมีอันเป็นไป รัชทายาทมิใช่ขึ้นบัลลังก์โดยสะดวกหรือ พวกเรามีเวลาไม่มากแล้ว เรื่องนี้ต้องรีบจัดการโดยด่วน”
เผิงหวายิ้มกล่าว “อย่าใจร้อน ข้ายังมีอีกวิธีหนึ่ง”
วั่นทงซักไซ้ “วิธีใด รีบบอกมา”
เผิงหวากล่าว “ในเมื่อฝ่าบาทมิอาจตัดสินพระทัย เช่นนั้นก็ให้พวกเราเป็นฝ่ายตัดสินใจแทน”
เขาบอกเล่าแผนการของตนเองออกไป
วั่นทงฟังจบก็ผุดสีหน้าตื่นเต้นยินดี ตบต้นขาดังฉาด “ความคิดนี้ไม่เลว! พวกเราต้องบีบรัชทายาทขึ้นหน้าผา จับย่างบนกองไฟ ให้เขาหมดหนทางถอย เป็นฝ่ายกระโจนออกมาเอง ถึงเวลานั้นสภาขุนนางค่อยรุกซ้ำ ดูว่าฝ่าบาทยังมีอันใดให้รวนเรอีก และพวกขุนนางทัดทานก็พูดไม่ออกแล้ว”
วั่นอันยังคงไม่แน่ใจ “แต่คนอื่นๆ ในสภาขุนนาง…”
วั่นทงชักฉุน “พวกนั้นแต่ละคนมีความลับซุกซ่อน ล้วนมิใช่น้ำหนึ่งใจเดียว มีอันใดน่ากลัว! ถึงเวลานั้นข้าย่อมจะหนุนเนื่องพวกท่านอีกแรง หยวนเวิงอย่าได้สองจิตสองใจอีกเลย”
วั่นอันมองดูสีหน้ากระหยิ่มของวั่นทง แล้วมองท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยมของเผิงหวา ตระหนักว่าสองคนนี้ตกลงใจแน่วแน่ จึงได้แต่กัดฟันกล่าว “ก็ได้!”
ยามนี้วั่นทงค่อยหัวเราะฮาๆ ตบไหล่อีกฝ่าย “ต้องอย่างนี้สิ! เรื่องนี้มีเพียงประสบผล ไม่มีทางล้มเหลว ขอเพียงซิงอ๋องกลายเป็นรัชทายาท พวกเราสำเร็จงานใหญ่ หยวนเวิงก็รอรับความมั่งคั่งได้เลย”
หลังการสนทนาระหว่างจักรพรรดิกับจี้เสี่ยวผ่านพ้นไม่นาน หรือก็คือรัชศกเฉิงฮว่าปีที่ยี่สิบสอง เดือนสิบสอง วันที่ยี่สิบสาม เจ้าอวี้จือรองหัวหน้าสำนักโหรหลวงถวายฎีกากราบทูลเรื่องการโคจรของดวงดาว ความว่าดาวหางเข้าดาวเหนือก็คือนิมิตแห่งอาคันตุกะข่มรัศมีเจ้าบ้าน เกรงว่าคงเป็นตำหนักบูรพา
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนผูกโยงรัชทายาทเข้ากับเรื่องไท่ไป๋แทรกอาทิตย์และดาวหางเข้าดาวเหนืออย่างโจ่งแจ้ง
ถ้อยแถลงของเจ้าอวี้จือประดุจสัญญาณชนิดหนึ่ง ยังไม่ทันรอจักรพรรดิทรงมีท่าทีและไม่รอให้เหล่าขุนนางตั้งหลัก สำนักโหรหลวงได้ถวายรายงานอีกครั้ง ความว่าท้องฟ้าปรากฏดาวหางเฝ้าอาทิตย์
อันว่าดาวหางเฝ้าอาทิตย์ หมายถึงแผ่นดินจะวุ่นวาย เกิดศึกสงคราม ขุนนางรวมตัว โอรสสวรรค์อาสัญ
ขุนนางรวมตัว โอรสสวรรค์อาสัญ…นั่นมิใช่ทำนายว่าจักรพรรดิจะสวรรคตแล้วรัชทายาทสืบราชบัลลังก์?
ประสบกับข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงระดับนี้ ผู้ใดสามารถทานทนได้
ต่อให้คนรอบข้างไม่พูด รัชทายาทก็นั่งไม่ติดแล้ว
เขารีบถวายฎีกาขออภัยโทษ บอกว่าตนเองคุณธรรมและบารมีต่ำต้อย ยินดีถอนตัวจากตำแหน่ง เพื่อให้พระบิดามีพระวรกายแข็งแรง ต้าหมิงสงบสุข
อย่าว่าแต่รัชทายาท บรรดาขุนนางล้วนทยอยกันถวายฎีกาแก้ต่าง ฟ้าดินเป็นพยาน บอกว่าตนเองหามีจิตคิดคดไม่
ก็เหมือนกับมีคนถูกฟ้องใส่ความ ย่อมต้องถวายฎีกาแก้ต่างให้ตนเอง จากนั้นถือโอกาสหลบข้อครหาอยู่กับบ้าน ใช่ว่าคนผู้นี้มีความผิดจริง แต่เป็นเพียงท่าทีที่จำเป็นชนิดหนึ่ง แสดงออกถึงจุดยืนของตนเอง เลี่ยงมิให้เป็นจุดอ่อนในมือผู้อื่น
หลังฎีกาขออภัยโทษของรัชทายาทถูกส่งขึ้นไป ตามหลักจักรพรรดิสมควรมีหนังสือปลอบประโลมลงมา เป็นเชิงว่าคำพยากรณ์ดวงดาวไม่น่าเชื่อถือ ความผูกพันระหว่างเราบิดาและบุตรไม่มีวันคลอนแคลนเป็นต้น
แต่ที่ชวนให้ผู้คนกระวนกระวายก็คือครั้งนี้จักรพรรดิกลับมิได้แสดงออกใดๆ ทั้งสิ้น
เช่นนั้นรัชทายาทจึงถวายฎีกาขออภัยโทษอีกรอบ แต่ก็ยังคงเงียบหายเหมือนศิลาจมทะเลใหญ่
ครานี้มีแต่คนโง่ที่มองไม่ออกถึงท่าทีของจักรพรรดิ
ชัดเจนว่าจักรพรรดิไม่พอพระทัยรัชทายาท ใคร่จะผลักเรือตามน้ำ
ทุกคนล้วนประหวั่นพรั่นพรึงใจ
เวลานี้ห่างจากปรากฏการณ์ดาวหางเฝ้าอาทิตย์เพียงสองสามวันเท่านั้น
สถานการณ์รุดหน้ารวดเร็ว ส่งผลให้ทุกผู้คนตั้งหลักไม่ทัน
ถังฟั่นก็ไม่ยกเว้นเช่นกัน
เขาปัญญาเฉียบแหลมก็จริง ทั้งรอบคอบถี่ถ้วนกว่าคนทั่วไปหลายส่วน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถกระทำในสิ่งที่ผู้อื่นกระทำไม่ได้
การโคจรของดวงดาวสะท้อนบนตัวรัชทายาท รัชทายาทขออภัยโทษ นี่คือคุณธรรมที่พึงมี
จักรพรรดิไม่ทรงมีท่าทีต่อเรื่องนี้ นี่เป็นเสรีภาพของจักรพรรดิเช่นกัน
พระองค์มิได้รับสั่งจะปลดรัชทายาท ใครก็กล่าวอันใดมิได้
ดังนั้นเมื่อเว่ยเม่ารับคำสั่งวังจื๋อมาหาถังฟั่นเพื่อให้ช่วยคิดหาทางออก เขาจึงได้แต่ยิ้มขื่น
“วังกงกงของพวกเจ้าเห็นข้าเป็นพระโพธิสัตว์ในวัดที่อธิษฐานแล้วต้องเป็นจริงหรืออย่างไร ข้ายังจะมีวิธีอันใดได้”
เว่ยเม่าพลอยยิ้มขื่นไปด้วย “ท่านคิดสักวิธีหนึ่งเถอะ วังกงกงบอกว่าสถานการณ์คับขัน องค์รัชทายาทมิอาจไม่ถวายฎีกาขออภัยโทษ อย่างไรต้องมีใครสักคนออกหน้าหาทางลงให้ฝ่าบาท สลายความตึงเครียดครานี้ ท่านเป็นขุนนางของสภาขุนนาง เรื่องนี้สมควรเป็นหน้าที่ของท่าน”
ถ้อยคำเดิมของวังจื๋อต้องไม่นุ่มนวลปานนี้แน่ แต่ถังฟั่นชินชาแล้ว พอฟังจึงส่ายศีรษะ “หากฝ่าบาทจะทรงปลดรัชทายาท ไม่ต้องให้เจ้าพูด ข้าก็ต้องถวายฎีกายับยั้งอยู่แล้ว แต่ที่แย่ก็คือเวลานี้ฝ่าบาทไม่มีบสั่งใดๆ ทั้งสิ้น เกิดข้าเสนอหน้าไปกราบทูล มิใช่กลายเป็นสะกิดโทสะพระองค์หรอกหรือ”
เว่ยเม่าไม่เข้าใจเรื่องซับซ้อนเหล่านี้ เขาเพียงรับผิดชอบมาถ่ายทอดวาจา พอฟังก็พลอยตื่นตระหนกไปด้วย “เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี”
ถังฟั่นกล่าว “ไม่ต้องสงสัย สำนักโหรหลวงกล่าววาจาทำนองนี้ย่อมมีคนบงการเบื้องหลังแน่ ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงชี้มาที่รัชทายาทโดยตรง รัชทายาทอยู่ที่แจ้ง ฝ่ายตรงข้ามอยู่ที่ลับ นี่เป็นสถานการณ์เสียเปรียบที่ไร้หนทางพลิกผันจึงถูกผู้อื่นลอบกัดบ่อยครั้ง วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในตอนนี้ทางที่ดีคือใดๆ ล้วนไม่ต้องพูด ใดๆ ล้วนไม่ต้องทำ นิ่งดูสถานการณ์ รอให้คลื่นลมผ่านพ้นค่อยว่ากัน เจ้ากลับไปบอกวังกงกงและไหวกงกง ให้พวกเขาอย่าได้ทูลขอความเมตตาแทนรัชทายาทต่อเบื้องพระพักตร์เป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นความหวังดีจะกลายเป็นให้ร้าย”
“กลับไปบอกวังจื๋อด้วยว่าทุกวันนี้ถังฟั่นยุ่งมากพอแล้ว เรื่องที่เขาแก้ไขเองได้ อย่าเอามาวุ่นวายกับถังฟั่นอีก”
เว่ยเม่าไม่ต้องหันมองก็รู้ว่าใคร คนที่สามารถเข้าออกห้องหนังสือบ้านสกุลถังตามอำเภอใจได้ยังจะมีใครเล่า
แต่เขายังคงต้องหันกลับไปทำความเคารพ “คำนับท่านป๋อสุย”
สุยโจวพยักหน้าเล็กน้อย ชุดกิเลนอันเป็นเครื่องแบบองครักษ์เสื้อแพรยังสวมอยู่บนร่าง คนกลับเดินเข้าไปช่วยนวดขมับให้ถังฟั่นอย่างปลอดโปร่งผ่อนคลาย
ระยะนี้กรมอาญามีงานมาก แม้เผิงอี้ชุนจะเป็นเสนาบดีคนหนึ่ง แต่กลับมีนิสัยขลาดกลัวไม่กล้าตัดสินใจ หลายเรื่องต้องรอถังฟั่นอนุมัติ ในสภาขุนนางแต่ละคนล้วนมีงานกองโตต้องจัดการ บวกกับสภาขุนนางมักประชุมจนล่วงเลยเวลาบ่อยครั้ง นานวันเข้าทุกครั้งที่นั่งเป็นเวลายาวนาน อาการปวดหัวของถังฟั่นจึงกำเริบ
แรงนวดที่พอเหมาะพอเจาะทำให้ถังฟั่นผ่อนคลาย นัยน์ตาพริ้มปรือ
เว่ยเม่าใคร่จะกล่าวอันใด กลับถูกสุยโจวคุกคามด้วยสายตา ได้แต่ปิดปากถอยออกไปเงียบๆ
สุยโจวก็มิได้บอกถังฟั่น แต่รอจนรู้สึกว่าหนังศีรษะที่ตนนวดคลึงอยู่ไม่เขม็งตึงอีกแล้วค่อยหยุดความเคลื่อนไหว
“ดีขึ้นหรือไม่”
“ดีขึ้นแล้ว” ถังฟั่นลืมตา ยิ้มกล่าว “ทุกครั้งที่ปวดหัวแทบตาย พอท่านนวดให้สักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว ท่านต้องสอนวิธีนวดให้ข้า ไม่อย่างนั้นคราวหน้าอาการกำเริบขึ้นมาตอนท่านไม่อยู่ข้างตัวจะทำอย่างไร”
“ไม่มีทางเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น” สุยโจวเอ่ยเสียงชืดๆ คำเดียวก็ปฏิเสธการคาดการณ์ของเขาลงสิ้นเชิง ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้ตอนข้าเข้าวัง พระพันปีทรงถามถึงเรื่องการโคจรของดวงดาวเช่นกัน”
รัชทายาทถวายฎีกาขออภัยโทษ จักรพรรดิกลับไม่แสดงท่าที ทุกคนล้วนมิใช่คนโง่ พลันสำเหนียกได้ว่าเรื่องราวไม่ปกติแล้ว
อันว่าการโคจรของดวงดาวทั้งลี้ลับและซับซ้อน ผู้ใดสามารถยืนยันได้ว่าการปรากฏขึ้นของดาวหายนะไม่เกี่ยวข้องกับรัชทายาท
เช่นที่ถังฟั่นบอก ต่อให้ทุกคนอยากช่วยรัชทายาทแก้ต่าง แต่เวลานี้จักรพรรดิยังไม่ทรงแสดงออก ทุกคนจะพูดอันใดได้
ดังนั้นมีเพียงนิ่งเงียบ
ทว่าความเงียบงันชนิดนี้ถูกลิขิตให้มิอาจดำเนินอยู่เนิ่นนาน คลื่นใต้น้ำกำลังป่วนปั่น รอวันปะทุขึ้นมาในเวลาใดเวลาหนึ่ง
ถังฟั่นจึงถาม “พระพันปีทรงว่าอย่างไร”
อยู่กับเขา สุยโจวไม่จำเป็นต้องระวังวาจา “พระพันปีย่อมต้องเป็นห่วงรัชทายาท อย่างไรเสียพระนางก็เลี้ยงดูรัชทายาทมาตั้งแต่เล็ก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เหมือนกับครั้งที่ฝ่าบาทปลดพระอัครมเหสี พระพันปีก็ยับยั้งไม่ได้”
ถังฟั่นถอนใจ “ข้ารู้สึกตงิดๆ ว่าเรื่องนี้มิใช่ธรรมดา หรือฝ่าบาทเพียงอาศัยวาจายุยงไม่กี่คำก็จะปลดรัชทายาทจริงๆ?”
สุยโจวหมดปัญญาตอบคำถามนี้
จริงอยู่รัชทายาทมิได้กระทำความผิดอันใด แต่การดำรงอยู่ของเขากลับเกะกะลูกตาใครบางคน
กลุ่มอำนาจวั่นมุ่งหวังทำลายล้าง เรื่องนี้ต้องเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
“หวังว่าคลื่นลมระลอกนี้จะสามารถผ่านไปโดยเร็ว” ถังฟั่นสรุป
ทว่าขณะกล่าวคำนี้เขากลับมิได้คาดคิด คลื่นลมระลอกใหญ่กว่าเดิมกำลังมาเยือน
เดือนดาวบนนภายังไม่ลับลา พสุธามืดหม่นเป็นแผ่นผืน
เวลานี้ผู้คนโดยมากยังหลับใหลอยู่ในห้วงฝัน
ทว่าคนกลุ่มหนึ่งยามนี้กลับแต่งกายเรียบร้อย เดินไปตามถนนเพื่อร่วมประชุมในท้องพระโรง
เมื่อคืนถังฟั่นเข้านอนดึก สติจึงไม่แจ่มใสนัก ยามนี้นั่งโคลงไปโคลงมาในเกี้ยว ความง่วงงุนยิ่งประดังจึงผล็อยหลับไม่รู้ตัว
ห้วงสะลึมสะลือเพียงรู้สึกเกี้ยวหยุดกะทันหัน ร่างของถังฟั่นโถมไปด้านหน้าตามแรง กระแทกถูกคานไม้ในเกี้ยว บังเอิญชนกับขอบแข็งบนหมวกขุนนางเข้าพอดี เจ็บวาบจนต้องสูดปาก หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
เขาปลดหมวกลงมา ยกมือคลำดู โชคดีเลือดไม่ออก แค่บวมตุ่ยเล็กน้อย
แว่วเสียงเอะอะจากด้านนอก ตามด้วยเสียงของคนหามเกี้ยว “ใต้เท้า ด้านหน้าไปต่อไม่ได้แล้วขอรับ พวกเราจะอ้อมไปอีกทางหรือไม่”
ถังฟั่นเลิกม่าน ลมหนาวหอบหนึ่งพัดกรูเข้ามา หนาวจนเขาตัวสั่น สติแจ่มใสขึ้นทันตา “เกิดอะไรขึ้น”
“ดูเหมือนมีคนกำลังทะเลาะกันขอรับ” คนหามเกี้ยวตอบ
ถังฟั่นมุ่นคิ้ว ชะเง้อมองไป เบื้องหน้ามีเกี้ยวหลังหนึ่งขวางอยู่ มองไม่ถนัดว่าเป็นของบ้านใด มิน่าคนหามเกี้ยวบ้านตนจึงหยุดกะทันหัน เพราะขึ้นหน้าต่อไปต้องชนแน่
“ไปดูทีว่าเกิดเรื่องอะไร” ถังฟั่นสั่ง
คนหามเกี้ยวรับคำแล้วอ้อมเกี้ยวด้านหน้าไปดูเหตุการณ์ ไม่ถึงครู่ก็วิ่งกลับมา
“ใต้เท้า มีคนกำลังทะเลาะกันจริงๆ ขอรับ”
ถังฟั่นแปลกใจเล็กน้อย “ใครกำลังทะเลาะกัน”
ตามหลักแล้วยามนี้บนท้องถนนมีแต่พวกขุนนางที่รีบไปเข้าประชุมเช้า ทุกคนล้วนเป็นขุนนาง เงยหน้าไม่เห็นก้มหน้าเห็น* โดยปกติมักให้เกียรติกัน ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์เบียดเสียดยัดเยียด ทว่าเรื่องใดๆ ล้วนมีข้อยกเว้น
คนหามเกี้ยวกล่าว “เหมือนว่าเกี้ยวของรองเสนาบดีหลี่กรมพิธีการจะชนกับเกี้ยวของท่านชิว ข้าหลวงตรวจการฝ่ายขวา สองฝ่ายจึงถกเถียงกัน”
รองเสนาบดีหลี่กรมพิธีการที่เขาพูดถึงก็คือหลี่จือเสิ่ง ส่วนท่านชิว ข้าหลวงตรวจการฝ่ายขวา แน่นอนก็คือชิวจวิ้นอาจารย์ของถังฟั่น
ถังฟั่นรีบซักถาม “อาจารย์ไม่เป็นไรกระมัง”
คนหามเกี้ยวกล่าวเสียงขลาดๆ “ไม่เป็นไรขอรับ ท่านชิวกำลังด่ารองเสนาบดีหลี่อยู่”
ถังฟั่นพอฟังก็ทราบว่าเป็นเรื่องราวใด พลันผุดยิ้มฝาดเฝื่อน
* เงยหน้าไม่เห็นก้มหน้าเห็น เป็นสำนวน หมายถึงอย่างไรก็ต้องได้เจอกัน