ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 2 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 2

 

แม้เผชิญสายตาแปลกๆ ของทุกคน แต่ถังฟั่นกลับมิได้สะทกสะท้าน ยังหันกล่าวกับเผิงอี้ชุน “ใต้เท้าเผิง ท่านส่งคนไปที่หน่วยองครักษ์เสื้อแพรเดี๋ยวนี้ บอกว่าพบเห็นโจรกบฏที่นี่ ให้พวกเขามาจับกุม”

น่าสงสารเผิงอี้ชุน ชั่วดีก็เป็นถึงเสนาบดี กลับตื่นตกใจกับวาจาของถังฟั่นจนติดอ่างขึ้นมา “จะ…โจรกบฏอันใด”

ถังฟั่นชี้ไปที่สตรีซึ่งกำลังกอดต้นขาเขา “ข้าสงสัยว่านางเกี่ยวข้องกับพวกกากเดนลัทธิบัวขาว มิใช่โจรกบฏแล้วเป็นอันใด ยังไม่ไป?”

“ใต้เท้า ผู้น้อยไปเดี๋ยวนี้!” เฮ่อเซวียนลุกขึ้นโพล่งออกมา

ถังฟั่นมองเขาแวบหนึ่งก่อนพยักหน้า “เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ”

เฮ่อเซวียนประสานมือ ไม่พูดพล่ามก็วิ่งถลันลงตึกไป

อิ่นฉีมองส่งเงาหลังของเฮ่อเซวียนด้วยความตกตะลึง อึดใจใหญ่ค่อยตั้งสติได้ ตวาดว่า “ถังฟั่น เจ้าพ่นวาจาปรักปรำผู้อื่น!”

“อืม ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา ตัวอยู่ในฐานะราษฎรกลับเรียกขานนามขุนนางราชสำนักโดยตรง เพิ่มโทษหนึ่งชั้น”

ถังฟั่นสองมือไพล่หลัง สุขุมเยือกเย็น หากมิใช่บนตัวเขายังมีคนผู้หนึ่งเกาะอยู่ ท่วงท่านี้กลับแลดูสง่าผ่าเผยยิ่งนัก

แน่นอน หญิงงามที่เกาะอยู่บนต้นขาเขายามนี้กำลังตกอยู่ในอาการตะลึงลาน

อิ่นฉีประกาศเสียงกร้าว “เจ้าอย่าพลิกขาวเป็นดำ นางเป็นเทพีของหอฉวินฟางแท้ๆ จะเป็นกากเดนของลัทธิบัวขาวได้อย่างไร”

ถังฟั่นร้องโอ้คำหนึ่ง “ที่แท้ก็เป็นเทพีของหอฉวินฟาง เจ้ากระจ่างชัดดีนี่ แม้แต่ข้ายังไม่รู้เลย หลานที่โง่งมเอ๋ย อิ่นเก๋อเหล่าเป็นผู้รู้รักษาตัวรอด หากเขารู้ว่าเจ้าโอบกอดหญิงคณิกาหาความสำราญอยู่ที่นี่เกรงว่าคงได้โมโหแทบตาย”

บิดาบ้านตนจะโมโหแทบตายหรือไม่อิ่นฉีไม่ทราบ แต่เวลานี้เขากำลังขุ่นแค้นถังฟั่นแทบตายแล้ว

ถังฟั่นอายุมากกว่าเขาไม่เกินสองปี กลับอาศัยศักดิ์ฐานะวางมาดผู้อาวุโสต่อหน้าเขา

ทั้งที่สมควรเรียกว่าหลานที่ประเสริฐ กลับเรียกหลานที่โง่งม นี่มันอันใดกัน

มิคาด ถังฟั่นยังอบรมไม่เสร็จก็กลับเอ่ยเสียงขึงขัง “ลัทธิบัวขาวเป็นภัยต่อแผ่นดิน หัวหน้าลัทธิถูกประหารนานแล้ว บริวารกลับยังเล็ดลอดแหตาข่ายกระจัดกระจายทั่วทิศ เฉกเช่นสตรีนางนี้ อาศัยหอคณิกาอำพรางฐานะ ความจริงกลับสมคบลัทธิบัวขาว หลอกใช้บุตรหลานขุนนางเยี่ยงเจ้ามาปกปิดฐานะตัวตน ลอบวางอุบายก่อกบฏ!”

จู่ๆ สตรีนางนั้นก็ถูกยัดเยียดข้อกล่าวหาจึงอดตื่นตระหนกหน้าถอดสีมิได้ นางไม่คำนึงภารกิจก่อนหน้าของตนแล้ว พลันปล่อยมือจากถังฟั่น ผุดลุกขึ้นเตรียมหนี

ถังฟั่นสายตาฉับไว ยื่นมือตะปบมวยผมของอีกฝ่ายแล้วกระชากคนกลับมา

สตรีนางนั้นเจ็บแปลบจนหวีดร้อง ถังฟั่นหามีความเวทนาไม่ กิริยารวบรัดหมดจด ผิดกับบุคลิกสุภาพนุ่มนวลในยามปกติ

ทุกผู้คนล้วนชมดูจนตาค้าง พลอยรู้สึกเจ็บแสบหนังศีรษะตนเองขึ้นมา

อิ่นฉีเดือดพล่าน เดิมเขาได้รับคำสั่งจากบิดา หมายสาดโคลนใส่ถังฟั่นต่อหน้าผู้คน และให้ผู้ตรวจการเหล่านั้นไปตั้งข้อหาเขา

แผนซึ่งเดิมทีมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าต้องสำเร็จลุล่วง มิคาดกลับมิได้ง่ายดายปานนั้น เขาประเมินถังฟั่นต่ำเกินไป ซ้ำยังถูกกินหมากไปตัวหนึ่ง

ตอนนี้ทุกคนล้วนถูกหัวข้อสนทนาจับโจรดึงดูดความสนใจ ครั้นเห็นถังฟั่นหยาบคายต่อสตรีนางนั้น ไหนเลยจะรู้สึกว่าเขากำลังหึงหวงแย่งชิง

คิดถึงตรงนี้อิ่นฉียิ่งร้อนรุ่มหนัก เขาคิดว่าหากตนไม่อาจลุล่วงภารกิจในวันนี้ได้ รอกลับไป เป็นไปได้ว่าสีหน้าของบิดาเขาจะบูดบึ้งยิ่งกว่าตอนได้ยินว่าเขาออกไปสำเริงสำราญเป็นร้อยเท่า

“ถังฟั่น เจ้าถูกข้าเปิดโปงความลับถึงได้อับอายกลายเป็นขุ่นเคืองชัดๆ เมื่อครู่เจ้ายังกอดสตรีนางนี้ต่อหน้าข้าอยู่เลย”

ถังฟั่นพินิจเขาขึ้นๆ ลงๆ หลายแวบ เผยสีหน้าคลางแคลง “เจ้าปกป้องนางเช่นนี้ หรือมีความสัมพันธ์กับลัทธิบัวขาว?”

อิ่นฉีเกรี้ยวกราด “เจ้าอาศัยอันใดบอกว่านางเกี่ยวข้องกับลัทธิบัวขาว! หรือจับใครสักคนบนถนนก็สามารถกล่าวหาว่าเป็นคนของลัทธิบัวขาวได้”

ถังฟั่นกล่าวเนิบๆ “ก็อาศัยที่ข้าประมือกับลัทธิบัวขาวนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งยังทำลายรังกบดานของพวกมันกับมือ ข้าย่อมมีคุณสมบัติกล่าวคำนี้ ทุกคนในที่นี้ ขอเพียงข้ามองปราดเดียวก็ล่วงรู้ว่าผู้ใดสมคบกับลัทธิบัวขาว”

จบคำ เขาช้อนสายตากวาดผ่านฝูงชนที่กำลังมุงดู

สายตาบรรลุถึงจุดใด คนเหล่านั้นต่างถอยหลังสองก้าวโดยสัญชาตญาณ บางคนไม่อยากหาความยุ่งยากใส่ตัวก็เริ่มหมุนกายผละออกไป

ไม่ว่าใครล้วนทราบ ลัทธิบัวขาวคือโจรกบฏรายใหญ่ที่ราชสำนักใคร่ขุดรากถอนโคน ผู้ใดยังยินดีพัวพันกับกลุ่มโจรเล่า

ประกอบกับหลายปีนี้ถังฟั่นมิได้ใช้ชีวิตอย่างว่างเปล่า ต่อให้เวลานี้มิได้แต่งชุดขุนนางหรือมีสีหน้าราบเรียบปราศจากรอยขุ่นเคืองอันใด ทว่าในแววตาของเขายังคงแฝงด้วยพลานุภาพที่สุดจะพรรณนา พาให้ผู้คนมิกล้ามองโดยตรง

แม้แต่พวกพ้องที่มาพร้อมอิ่นฉีก็เปลี่ยนจากคึกคักเป็นครั่นคร้าม ถึงขนาดแอบยื่นมือกระตุกแขนเสื้อเขา กระซิบเบาๆ “พี่อิ่น ถ้าอย่างไรพวกเราไปก่อนเถอะ”

อิ่นฉีฉุนขาด เขาไม่ทันสังเกตว่าตนเองเริ่มสั่นประหม่าภายใต้สภาวะกดดันของถังฟั่นแล้ว เพียงรู้สึกคนเหล่านี้ล้วนแต่ขี้ขลาดตาขาว

“อยากไปพวกเจ้าก็ไป อย่างไรข้าก็ไม่ไป”

คุณชายอิ่นกลับถูกพวกเขากระตุ้นความดันทุรังขึ้นมา เชิดคางเล็กน้อย จ้องมองถังฟั่นด้วยแววตาท้าทาย วางมาด ‘เจ้าจะทำอะไรข้าได้’ เต็มที่

“ผู้ใดที่ไม่ไป?” สุ้มเสียงดุเข้มก้องดังจากเชิงบันได ตามด้วยเสียงตวาด “องครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติงาน ทั้งหมดห้ามหลบหนี”

สีหน้าของฝูงชนเปลี่ยนจากชมดูเรื่องครึกครื้นเป็นหวาดผวา

แต่ละคนใคร่จะย่องหนี เพียงติดที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ไป บัดนี้คลาดโอกาสงามเสียแล้ว ประตูหน้าและหลังของโรงเตี๊ยมเซียนเค่อล้วนถูกล้อมด้วยกลุ่มองครักษ์เสื้อแพรที่อาวุธครบมือ สายตาจับจ้องทุกผู้คนราวจับจ้องคนตาย เพียงพอให้พวกเขาหนาวสั่นขวัญผวา

คนที่สามารถมาใช้จ่ายในโรงเตี๊ยมเซียนเค่อโดยปกติฐานะย่อมไม่ยากไร้นัก อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ต่อให้เป็นพวกเผิงอี้ชุน เมื่อได้ยินคำว่าองครักษ์เสื้อแพรยังอดใจสั่นมิได้ สาเหตุก็เพราะเงามืดฝังลึกเกินไปนั่นเอง

องครักษ์เสื้อแพรที่ขึ้นตรงต่อโอรสสวรรค์แต่ไรมาล้วนมีอำนาจพิเศษจับคนก่อนค่อยรายงาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุกหลวงที่ใครได้ฟังเป็นขวัญผวา ถึงแม้จากความเข้าใจของถังฟั่น ไม่ว่ากรมกองใดล้วนมีดีชั่วปะปน องครักษ์เสื้อแพรโดยเนื้อแท้เฉกเช่นสุยโจวหรือเซวียหลิงก็เป็นคนธรรมดาที่มีเลือดเนื้อ ทว่านี่ยังมิอาจลดทอนความประหวั่นพรั่นพรึงที่คนส่วนใหญ่มีต่อพวกเขาลงได้

แน่นอน พวกเขาเองก็ไม่สนใจไปแก้ความเข้าใจผิดของผู้อื่น

คนอยู่บนโลก ไม่ละอายต่อมโนธรรมเป็นพอ หากทุกสิ่งล้วนต้องเพียบพร้อม นั่นคงเหนื่อยเกินไป

สุยโจวฝ่าฝูงชนออกมา สายตาตกลงบนร่างสตรีที่ถังฟั่นกำมวยผมอยู่เป็นอันดับแรก จากนั้นกวาดสำรวจตามใบหน้าและร่างกายของถังฟั่นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายหยุดแน่วนิ่งอยู่ที่อิ่นฉี แววตาเยียบเย็นแฝงรังสีสังหาร

“เป็นเจ้าแจ้งความ? ที่นี่มีกากเดนลัทธิบัวขาว?”

“ไม่ ไม่มีกากเดนลัทธิบัวขาว! ที่นี่ไม่มีลัทธิบัวขาว!” อิ่นฉีแม้พยายามวางมาดให้แลดูน่าเกรงขามเต็มที่ แต่ความน่าเกรงขามอันน้อยนิดของเขานี้ไม่นับเป็นอันใดในสายตาสุยโจว กลับยิ่งเผยอาการกระวนกระวายร้อนตัว

ยามนี้หากมีผู้ใดสังเกตดีๆ ไม่แน่อาจค้นพบว่าสองขาของเขาเริ่มสั่นแล้ว

“ผู้บังคับการสุย เป็นข้าแจ้งความเอง สตรีนางนี้รับคำสั่งจากผู้อื่น หมายก่อเหตุผิดทำนองคลองธรรม ข้าสงสัยว่านางพัวพันกับลัทธิบัวขาว”

ขณะกล่าววาจา เขาคลายมือออก สตรีนางนั้นทรุดนั่งลงไปอย่างอ่อนแรง ปล่อยโฮอย่างสุดระงับ “ข้าเปล่า! ข้าไม่ใช่ลัทธิบัวขาว คุณชายอิ่นสั่งข้าเฝ้าอยู่ตรงนี้ รอท่านเดินผ่านแล้วชนท่าน แสร้งเป็นมีสัมพันธ์กับท่าน เขาต้องการหยิบยืมเรื่องนี้ทำลายชื่อเสียงท่าน นี่ไม่เกี่ยวกับข้า ใต้เท้าโปรดวินิจฉัย”

คนที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้ย่อมแจ่มแจ้งในบัดดล คนตาแหลมกลับมิต้องให้เขาพูดก็มองออกถึงพิรุธในเรื่องราว

“คุณชายอิ่นเป็นบุตรชายอิ่นเก๋อเหล่า ไหนเลยจะกระทำเรื่องเช่นนี้ได้ เจ้าอย่าพ่นโลหิตปรักปรำคน จงสารภาพความจริงแต่โดยดี จะได้มิต้องรับความทรมานอีก” ถังฟั่นคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มเมื่อมองอิ่นฉี “คุณชายอิ่น ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่”

อิ่นฉีบังเกิดปฏิภาณขึ้นวูบ รีบกล่าว “ถูกๆๆ ท่านอาถัง สตรีนางนี้พัวพันลัทธิบัวขาวจริง นางไม่เพียงมีจิตคิดร้ายต่อท่าน เวลานี้ยังใคร่สาดโคลนใส่ข้า รีบจับกุมตัวนางเถอะ”

ครู่ก่อนยังจิกเรียกถังฟั่นอย่างเกรี้ยวกราด ยามนี้เปลี่ยนเป็นท่านอาถังแล้ว

สตรีผู้นั้นคิดไม่ถึง พริบตาเดียวตนกลายเป็นเบี้ยที่ถูกทิ้ง หลังอาการตื่นตะลึงพลันใคร่ไขว่คว้าเส้นฟางช่วยชีวิต…ถังฟั่น

ทว่าครานี้ไม่รอให้นางโผเข้าไป คอเสื้อด้านหลังก็ถูกคนจับไว้แน่นแล้วกระชากออกมา

สุยโจวเหวี่ยงร่างนางให้กับผู้ใต้บัญชาที่อยู่ข้างตัว

ถัดจากถังฟั่น กลับปรากฏผู้ไม่ทะนุถนอมหยกงามอีกคนหนึ่งแล้ว

แต่ก็ไม่มีผู้ใดอ้าปากพูดจาแทนนาง เพราะผู้ใดก็ไม่อยากถูกยัดข้อหาโจรกบฏ

กิตติศัพท์ด้านความโหดขององครักษ์เสื้อแพรมีประสิทธิภาพยิ่ง ทุกผู้คนในที่นั้นต่างเนื้อตัวสั่นเทา ไม่กล้าปริปาก

อิ่นฉีเห็นท่าไม่ดีจึงใคร่หมุนตัวย่องหนี

ทว่าอากัปกิริยาของเขาช่างเด่นชัดในสายตาผู้คน ดังนั้นจึงถูกองครักษ์เสื้อแพรสองคนซึ่งโผล่มาจากที่ใดไม่ทราบดักหน้าไว้

สุยโจวถาม “เจ้าชื่ออิ่นฉี?”

อิ่นฉีพยายามยืดเอววางมาดภายใต้สายตาจับจ้องอันเยียบเย็นของอีกฝ่าย “มิผิด บิดาข้าก็คือเสนาบดีกรมทหาร พระอาจารย์ในองค์รัชทายาท อิ่นจื๋อ”

สุยโจวคล้ายฟังไม่เข้าใจความนัยของเขา ร้องสั่งซ้ายขวา “นำตัวไปทั้งหมด”

“ช้าก่อน” อิ่นฉีหน้าแปรสี “ไม่ทราบข้าละเมิดกฎหมายข้อใด ท่านไม่มีอำนาจจับกุมข้า”

สุยโจวเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ในเมื่อสตรีนางนี้พัวพันลัทธิบัวขาว และเจ้าพานางมา ผู้ใดสามารถรับรองได้ว่าเจ้าไม่เกี่ยวพันกับลัทธิบัวขาว”

จบคำก็คร้านจะมากความอีก เขาโบกมือคราหนึ่ง องครักษ์เสื้อแพรทั้งซ้ายขวาขึ้นหน้าจับกุมอิ่นฉีแน่นหนาโดยไม่สนใจอาการดิ้นรนของอีกฝ่าย

รวมทั้งพวกพ้องของอิ่นฉี หนึ่งคนก็ไม่ละเว้น

“สุยก่วงชวน เจ้าสุนัขรับใช้! บังอาจจับกุมคนตามอำเภอใจ ข้าจะฟ้องท่านพ่อ เจ้าคอยดู ข้าจะให้เจ้ารับผลกรรมจากการกระทำในวันนี้!” อิ่นฉีแหกปากตะโกนลั่น

กลุ่มอำนาจวั่นให้อิ่นฉีมากระทำเรื่องนี้ เริ่มแรกมิอาจกล่าวว่าเป็นความผิดพลาด

เพราะหากถังฟั่นขาดสติเพียงนิดหรือตั้งรับไม่ทัน โคลนอ่างนี้คงสาดใส่ศีรษะเขาเรียบร้อยแล้ว รอถึงพรุ่งนี้คนทั้งเมืองหลวงก็จะทราบเรื่องถังฟั่นก่อเหตุวิวาทกับบุตรชายของอิ่นจื๋อเพื่อแย่งชิงสตรีนางหนึ่งในโรงเตี๊ยม อิ่นจื๋ออย่างมากก็ถูกวิพากษ์ว่าสั่งสอนบุตรไม่เข้มงวด ถังฟั่นกลับต้องแบกรับเสียงด่าทอว่าประพฤติตนไม่เหมาะสม หน้าไหว้หลังหลอกอะไรจำพวกนี้

ทว่าบัดนี้เรื่องราวเหนือความคาดหมาย ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าถังฟั่นจะต่อกรได้อย่างรวบรัดฉับไวปานนี้

“พี่ใหญ่ จะให้อุดปากเขาหรือไม่” เซวียหลิงกระซิบถาม

“ไม่ต้อง ให้เขาแหกปากต่อไป จะอย่างไรคนที่ขายหน้าก็คือบิดาเขา” สุยโจวกล่าว

“ประเสริฐยิ่ง เช่นนั้นข้าให้เขาตะโกนมากหน่อย!” เซวียหลิงหัวเราะหึๆ ในน้ำเสียงเจือรอยสมน้ำหน้า

เขาตบป้าบบนท้ายทอยของอิ่นฉี “แหกปากอันใด ไฉนอิ่นเก๋อเหล่ามีบุตรชายเยี่ยงเจ้า คงมิใช่แม้แต่ฐานะก็ปลอมแปลงมากระมัง กลับไปที่คุกหลวงของพวกเราก่อนแล้วกัน เอาตัวไป!”

อิ่นฉีพอฟังคำว่าคุกหลวงก็ตกใจจนขวัญบิน ร่ำร้องเสียงแหลม “ข้าเป็นบุตรชายของอิ่นจื๋อจริงๆ ไม่เชื่อไปถามที่จวนสกุลอิ่นก็ได้!”

คนของกรมอาญาล้วนยืนอยู่ด้านข้าง กลับไม่มีที่ทางให้สอดมือ เพียงชมดูตั้งแต่ต้นจนจบ ยามนี้เห็นอิ่นฉีและอีกหลายคนโดนนำตัวไป กับดักซึ่งเดิมทีวางไว้สำหรับถังฟั่นได้กลายเป็นเหตุวุ่นวายไปแล้ว หามีความจำเป็นอันใดให้ชมดูอีกต่อไป

เผิงอี้ชุนค่อยโล่งอกได้ในที่สุด เขาเอ่ยน้ำเสียงละอาย “ใต้เท้า เรื่องในคืนนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะข้า หากข้าไม่เชิญท่านมา ก็คงไม่…”

ถังฟั่นโบกมือไปมา “ไม่มีคืนนี้ก็จะมีคืนอื่น ข้าเพิ่งฉีกหน้าพวกเขา พวกเขามีหรือจะยินยอมเลิกรา?”

เพลิงโทสะพลันลุกโชนขึ้นกลางใจเผิงอี้ชุน แม้แต่เขาซึ่งเป็นคนใจเย็นยังอดแค่นเสียงขุ่นแค้นมิได้ “กลุ่มอำนาจวั่นออกจะ…”

ถังฟั่นหยุดยั้งถ้อยคำถัดไปของเขา “ใต้เท้าเผิง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน ท่านอย่าเอาตัวมาพัวพัน”

เผิงอี้ชุนวัยหกสิบ ถังฟั่นเพียงสามสิบเศษ อายุของทั้งสองห่างกันมาก แต่เวลานี้ผู้ที่สดับฟังถังฟั่นอบรมและชี้แนะกลับกลายเป็นเผิงอี้ชุน ทว่าเขาหามีความไม่พอใจอันใดไม่

เผิงอี้ชุนตระหนักดี ถังฟั่นมีคุณสมบัติประการนี้

หากก็เพราะเหตุนี้นั่นเอง เผิงอี้ชุนจึงรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนถังฟั่น

“ใต้เท้า” เขาสงบสติอารมณ์ก่อนกล่าว “หากมีคนบงการขุนนางทัดทานยื่นฎีกาฟ้องร้องท่าน ข้ายินดีเอาตำแหน่งและความสุจริตของตนเองเป็นประกัน ออกหน้าเป็นพยานให้ท่าน”

“ใต้เท้า ผู้น้อยยินดีเป็นพยานเช่นกัน” ผู้กล่าวคือลู่ถงกวง ปีที่ถังฟั่นยังอยู่กรมอาญา พวกเขามีไมตรีต่อกันไม่เลว แต่ลู่ถงกวงเป็นคนขลาดกลัว ไม่ยินดีแบกความรับผิดชอบ ครานี้สามารถเป็นฝ่ายลุกขึ้นกล่าวคำนี้ นับว่ายากพบเห็นยิ่ง

“ใต้เท้า ผู้น้อยยินดีเช่นกัน” เฮ่อเซวียนกล่าว

“ใต้เท้า ผู้น้อยก็ด้วย”

“ใต้เท้า ผู้น้อยก็…”

ขุนนางกรมอาญาทั้งกลุ่มทยอยเปล่งเสียง ในจำนวนนี้อาจมีบางคนเพียงทำตามกระแส แต่ถังฟั่นยังคงรู้สึกตื้นตัน

ถึงแม้กลุ่มอำนาจวั่นโอหังลำพอง หากก็มิอาจมือเดียวปิดแผ่นฟ้า และคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ล้วนกอปรด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม

เขาประสานมือ “ขอบคุณทุกท่าน ทว่าเรื่องนี้ยังไม่เลวร้ายถึงขั้นนั้น หากต้องการความช่วยเหลือ ผู้แซ่ถังจะเป็นฝ่ายเปิดปากแน่นอน ขอบคุณทุกท่านแล้ว!”

ทุกคนรีบคำนับตอบ “ใต้เท้ามิต้องเกรงใจ นี่เดิมเป็นสิ่งที่พวกเราพึงกระทำ”

ส่งเผิงอี้ชุนและคนอื่นๆ เสร็จ ถังฟั่นก็ออกจากโรงเตี๊ยมเซียนเค่อพร้อมกับสุยโจว

“สตรีนางนั้นน่าจะเป็นผู้บริสุทธิ์ ไว้ไต่สวนสองสามคำก็ปล่อยคนไปเถอะ เรื่องคุกหลวงข้าแค่ขู่อิ่นฉีเท่านั้น” ถังฟั่นเอ่ยขึ้น

สุยโจวผงกศีรษะ “ข้ารู้ แต่เรื่องในคืนนี้จะส่งผลกระทบกับเจ้าหรือไม่”

“หืม?” ถังฟั่นเอียงคอ ไม่กระจ่างว่าอีกฝ่ายหมายถึงผลกระทบอันใด

ทว่าสีหน้างุนงงของเขากลับทำให้สุยโจวห้ามใจไม่อยู่ ต้องคว้ามือดึงเขาเข้ามาแล้วกัดริมฝีปากล่างของเขาทีหนึ่ง

ใต้เท้าถังเจ็บจนร้องโอ๊ย ร่างถดถอยไปสองก้าว

แสงเทียนวูบไหวสะท้อนดวงหน้ากึ่งเคืองกึ่งอายออกมา

“สุยก่วงชวน!” เขาขึ้นเสียงสูงเป็นเชิงตักเตือน

“ก็เหมือนกับที่เจ้าเห็นของกินแล้วระงับใจไม่อยู่ ข้าเห็นเจ้าก็หักห้ามใจไม่อยู่เช่นกัน” สุยโจวหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ

ใต้เท้าถังค้อนขวับคราหนึ่ง หากก็มิได้ออกแรงสลัดมือจากอีกฝ่าย ปล่อยให้เขาจับจูงตนเดินหน้าต่อไป

“เจ้าต้องระวัง” สุยโจวเอ่ย เงาร่างเกือบครึ่งหนึ่งกลืนอยู่ในความมืด แสงโคมริบหรี่กลับสะท้อนเงาของทั้งสองทอดยาวเป็นเค้าโครงสนิทแนบโดยแท้ “เรื่องราวจบลงเช่นนี้ กลุ่มอำนาจวั่นคงไม่ยอมรามือเป็นแน่”

ถังฟั่นถอนใจ “อันที่จริงข้าเป็นแค่ผลพลอยได้ เป้าหมายแท้จริงของพวกนั้นยังคงเป็นรัชทายาท แต่เพราะคราวก่อนข้าฉีกหน้าวั่นทงกลางที่ประชุม เขาถึงให้อิ่นฉีมากลั่นแกล้งข้า ตราบใดที่รัชทายาทยังครองตำหนักบูรพา ตราบนั้นพวกเขาก็ไม่มีวันแบ่งสมาธิมาไว้ที่ตัวข้า คนที่ต้องระวังคือรัชทายาทต่างหาก”

สุยโจวตอบอืมคำหนึ่ง กุมมือเขาแนบแน่น “สรุปแล้วข้าไม่ปรารถนาให้เจ้ามีเรื่อง บางครั้ง…”

ถังฟั่นฟังคำพูดถัดไปของเขาไม่ถนัด อดเงี่ยหูมิได้ “อะไร”

“บางครั้งข้าอยากเอาเจ้าผูกไว้กับเอวใจจะขาด”

ถังฟั่นหัวเราะร่า “ทำเช่นนั้นไม่กลัวกางเกงหลุดลงมาหรือ”

“เหมือนกับที่เมื่อครู่สตรีนางนั้นกอดต้นขาเจ้า กางเกงเจ้าก็ไม่เห็นหลุดลงมานี่นา”

“ท่านเห็นแล้ว?”

“เปล่า ได้ยินคนด้านข้างซุบซิบ เสียดายมาช้าไปก้าวหนึ่ง”

ถังฟั่นอมยิ้ม เอ่ยเสียงเนิบช้า “ช่างน่าเสียดาย อันที่จริงรูปโฉมนางก็ไม่เลว หากมิใช่พัวพันกับอิ่นฉี ข้าอาจผลักเรือตามน้ำ ถักทอสายใยสวาทชั่วคืนกับนางไปแล้ว!”

สุยโจวตอบอืมคำหนึ่ง คล้ายไม่ได้ยินวาจาอีกฝ่าย “เดี๋ยวกลับไปถอดกางเกงให้ข้าตรวจดูว่าสตรีนางนั้นทิ้งรอยอันใดเอาไว้หรือไม่”

ถังฟั่นกระตุกมุมปาก หากตอนนี้กล่าวว่าตนมิได้แตะเนื้อต้องตัวนางแม้แต่น้อยยังทันหรือไม่

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com