everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 2 #นิยายวาย
วันรุ่งขึ้น ขณะถังฟั่นไปสภาขุนนาง ทุกอย่างเหมือนปกติไม่มีอันใดผิดแผก
ถึงแม้อิ่นจื๋อเห็นเขาก็สะบัดหน้าหนี ท่าทางไม่อยากเสวนาด้วย หากก็มีเพียงเท่านั้น ไม่ปรากฏท่าทีอื่นใด
ตามการสันนิษฐานของถังฟั่น บุตรชายเขาตอนนี้ยังอยู่ในที่ทำการองครักษ์เสื้อแพร ไม่ได้รับการปล่อยตัว แม้ไม่มีภัยถึงชีวิตแต่ย่อมถูกทารุณไม่น้อย โดยเฉพาะองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มนั้นยิ่งไม่เห็นอิ่นจื๋ออยู่ในสายตา ใคร่จะปั่นหัวคุณชายเจ้าสำราญพวกนี้ให้สาแก่ใจมานานแล้ว
ทว่าท่าทีเช่นนี้ของอิ่นจื๋อออกจะใจเย็นเกินไปแล้ว
เพราะอยากหยั่งเชิง ถังฟั่นจึงเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อน “พี่อิ่น เรื่องที่ข้ากับบุตรชายท่านบังเอิญพบกันในโรงเตี๊ยมเซียนเค่อ พี่อิ่นทราบหรือไม่”
อิ่นจื๋อน้ำเสียงเย็นชา “เวลานี้เขามิใช่ยังอยู่กับพวกองครักษ์เสื้อแพรหรอกหรือ จักรพรรดิทำผิดมีโทษเยี่ยงสามัญชน เจ้าลูกไม่รักดีนั่นชอบทำตัวเกเร กระทำเรื่องเหลวไหลอันใดก็ไม่แปลก ข้ากลับต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยอบรมเขาด้วยซ้ำ”
ไม่กี่คำของเขาปัดความผิดพ้นตัวจนเกลี้ยงเกลา ถังฟั่นจึงกล่าวอันใดไม่ได้
ยามนั้นคนทยอยมากันครบ ขาดเพียงราชเลขาธิการวั่นอัน หลังทุกคนรอจนใกล้ถึงเวลา คนถึงค่อยเยื้องกรายเข้ามา
“เมื่อครู่ฝ่าบาททรงเรียกตัว ทำให้มาสาย” วั่นอันกล่าว “การประชุมในวันนี้เอาไว้ก่อน เชิญทุกท่านตามข้าไปเข้าเฝ้าด้วยกัน”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน ล้วนไม่ทราบเกิดเรื่องอันใด จักรพรรดิทรงให้เข้าเฝ้า ไฉนก่อนหน้าไม่มีการแจ้งเตือน
ทว่าในเมื่อจักรพรรดิมีรับสั่ง ทุกคนย่อมไม่พูดพล่าม เดินตามกันออกจากหอเหวินยวน บ่ายหน้าสู่ตำหนักเฉียนชิง
หลิวเจี้ยนจงใจเดินรั้งท้าย ดึงถังฟั่นมากระซิบถาม “เจ้ารู้หรือไม่ไยฝ่าบาททรงให้พวกเราเข้าเฝ้า”
ถังฟั่นสั่นหน้า ตอบเบาๆ “ไม่ได้ยินข่าวอันใดเลย”
สวีผู่ก็ชะโงกเข้ามาร่วมวง “ข้ากลับได้ยินข่าวลือมาเล็กน้อย”
ถังฟั่นและหลิวเจี้ยนพลันหยุดเสียง รอคำต่อไปของอีกฝ่าย
สวีผู่กลับไม่พูดต่อ แต่ยื่นมือตนเองออกมา เขียนคำว่า ‘รัช’ บนอุ้งมือ
เกี่ยวข้องกับรัชทายาท?
หรือครานี้ฝ่าบาทจะเอาจริงแล้ว?
ถังฟั่นและหลิวเจี้ยนสบตากันอย่างพรั่นพรึง บังเกิดความกระวนกระวายใจขึ้นมา
มาถึงตำหนักเฉียนชิง คนทั้งหมดล้วนถูกนำไปยังตำหนักข้าง
ขันทีหน้าที่ประทับกล่าวว่า “ใต้เท้าทุกคนโปรดนั่งรอสักครู่ ฝ่าบาททรงให้รองราชเลขาธิการเข้าเฝ้าก่อน”
มาตรว่ามหาเสนาบดีราชวงศ์หมิงถูกกระจายอำนาจ ไม่ทรงอิทธิพลเฉกเช่นยุคถังและซ่ง แต่สำหรับพวกถังฟั่น จักรพรรดิยังคงต้องรักษาธรรมเนียมปฏิบัติขั้นพื้นฐาน หากเปลี่ยนเป็นขุนนางทั่วไปมาเข้าเฝ้า ให้พวกเขายืนรออยู่ด้านนอกก็ใช้ได้ แต่มหาเสนาบดีหลายคนมาถึงก็ต้องมีเก้าอี้ให้นั่งและมีน้ำชารับรอง
ทว่ายามนี้ทุกคนหาได้คำนึงถึงธรรมเนียมยิบย่อยเหล่านี้ ความนึกคิดของทุกคนหนีไม่พ้นเรื่องจักรพรรดิจะตรัสอันใด หากถูกถามถึงรัชทายาทขึ้นมา ตนสมควรมีท่าทีเช่นไร
ตามหลักเหตุผล ไม่ควรมีการเรียกตัวสมาชิกคนใดคนหนึ่งของสภาขุนนางทั้งคณะเข้าเฝ้าตามลำพัง ทว่ายามนี้จักรพรรดิกลับทรงทำเช่นนั้นจริงๆ อาจเพราะทรงทราบว่าเรื่องบางอย่างความเห็นไม่เป็นเอกฉันท์ ดังนั้นจึงทรงแบ่งแยกกำลัง โจมตีรายตัว
ประมุขสูงสุดแห่งแผ่นดินใช้วิธีการเช่นนี้ต่อขุนนาง ออกจะชวนให้ผู้คนนึกขันและนึกเคือง
แต่หากเกี่ยวข้องกับรัชทายาทจริง จักรพรรดิทรงทำเช่นนี้ก็สามารถเข้าใจได้
หันมองท่าทีไม่อนาทรทุกข์ร้อนของพวกวั่นอัน ถังฟั่นรู้สึกไม่สบายใจอย่างไรชอบกล
หลังชั่วเวลาธูปไหม้หมดดอก หลิวจี๋ก็ออกมาแล้ว
สีหน้าเขาพิลึกยิ่ง สุดที่จะพรรณนา ทว่ามีพวกวั่นอันอยู่ในที่นั้น พวกถังฟั่นจึงไม่กล้าขึ้นหน้าสอบถาม
เมื่อหลิวจี๋นั่งลงก็มิได้เหลียวมองผู้ใด เพียงหลับตานิ่งๆ ราวอรหันต์เข้าฌาน
ถัดจากหลิวจี๋ ลำดับต่อไปเป็นเผิงหวาและอิ่นจื๋อ
พวกเขาเข้าไปไม่นาน อย่างน้อยก็ไม่นานเท่าหลิวจี๋ ไม่กี่อึดใจก็ออกมาแล้ว สีหน้าแม้ราบเรียบแต่กลับเจือรอยกระหยิ่มอยู่บ้าง
ขันทีขึ้นหน้า “ฝ่าบาทเชิญหลิวเก๋อเหล่าเข้าเฝ้า”
หลิวเจี้ยนลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้า ส่งสายตาให้พวกถังฟั่นแวบหนึ่งแล้วเดินตามขันทีไป
ยามนี้วั่นอันกลับเปิดปากแล้ว “รุ่นชิง ได้ยินว่าคืนวานเจ้าจับกุมพวกกากเดนลัทธิบัวขาวได้”
ถังฟั่นกล่าว “เพียงสงสัยเท่านั้น ข้าได้แจ้งให้องครักษ์เสื้อแพรรับทราบแล้ว เรื่องนี้ยังต้องรอการตรวจสอบจากพวกเขา”
อิ่นจื๋อแค่นหัวเราะ “ถังฟั่น เจ้าเป็นถึงเก๋อเหล่า กลับใกล้ชิดกับองครักษ์เสื้อแพรซึ่งเป็นทหารรักษาพระองค์ของโอรสสวรรค์เกินควร เจ้ารับคำสั่งจากผู้ใดมา หรือมีเจตนาอื่นแอบแฝง”
ถังฟั่นหน้าไม่แปรสี “พี่อิ่นกล่าวหนักแล้ว องครักษ์เสื้อแพรมีหน้าที่จับกุมผู้ประสงค์ร้ายต่อราชสำนัก อย่าว่าแต่ข้า ถึงเป็นพี่อิ่น หากพบร่องรอยกากเดนลัทธิบัวขาวยังจะเก็บงำไม่รายงานหรือ”
อิ่นจื๋อหัวเราะเย็นชา “เกรงแต่ว่ามีคนคิดอาศัยงานส่วนรวมชำระแค้นส่วนตัว”
“คำว่าชำระแค้นส่วนตัวนี้หมายความว่ากระไร พี่อิ่นโปรดแถลงไข”
ทั้งสองโต้คารมกันไปมายกหนึ่งจึงเห็นหลิวเจี้ยนกลับออกมาพร้อมขันที
หากกล่าวว่าขณะหลิวจี๋กลับมาเพียงเผยสีหน้าพิลึก เช่นนั้นสีหน้าของหลิวเจี้ยนก็สามารถเรียกได้ว่าบูดบึ้งไม่ชวนมองอย่างยิ่ง
ฝ่าบาทรับสั่งอันใดกับเขา
ถังฟั่นสบตาสวีผู่ ล้วนฉงนสนเท่ห์
แต่หลิวเจี้ยนหาได้แลกสายตากับพวกเขา เขาไม่เหลียวมองใครด้วยซ้ำ ทรุดนั่งลงด้วยอาการหอบเล็กน้อยคล้ายผ่านการวิวาทะอย่างดุเดือดเลือดพล่านมาหยกๆ
เห็นสภาพเช่นนี้ สวีผู่เริ่มว้าวุ่นขึ้นมา ทว่ายังคงจำใจเดินตามขันทีไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิ
ช่วงเวลาเช่นนี้ถังฟั่นกลับสุขุมเยือกเย็น เขาไม่ไปแลกเปลี่ยนวาจาและสายตากับผู้ใดอีก เริ่มหลับตาทำสมาธิ
อิ่นจื๋อยังอยากเสียดสีเขาสองสามคำ ครั้นเห็นเข้าจึงได้แต่ปิดปากแล้ว
สวีผู่กลับมาในเวลาไม่นาน
สีหน้าเขายังบึ้งตึงกว่าหลิวเจี้ยน ถึงกับซีดขาวเล็กน้อย ฝีเท้าก็ซวนเซอยู่บ้าง
ถังฟั่นลืมตา เห็นท่าทางเขาไม่สู้ดีก็อดขึ้นหน้าประคองมิได้
มิคาด สวีผู่กำแขนเสื้อเขาแน่นพลางฟูมฟายเสียงดัง “รุ่นชิง เจ้าต้องเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้ได้!”
คนทั้งหมดล้วนตกใจจนตั้งตัวไม่ทัน แม้กระทั่งขันทีที่มาเชิญถังฟั่นไปเข้าเฝ้าก็ตะลึงลานแล้ว
ในความทรงจำของทุกคน สวีผู่เป็นบุคคลอัธยาศัยดีที่ไม่สันทัดการเจรจา เขาอาจปกป้องรัชทายาท แต่เขาไม่ถนัดโต้แย้งผู้อื่น ประกอบกับเป็นคนใจอ่อน ยามปกติมักทำงานเงียบๆ เทียบกับน้องเล็กที่อยู่ท้ายแถวเฉกเช่นถังฟั่นยังไม่โดดเด่นเท่า และนี่คือสาเหตุที่กลุ่มอำนาจวั่นเห็นพ้องให้เขาเข้าสภาขุนนางในตอนนั้น บุคคลเช่นนี้ไม่มีทางสร้างแรงกดดันอันใดต่อพวกเขา
แต่ผู้ใดจะคาดคิด บุคคลอัธยาศัยดีเมื่อถูกบีบจนตรอกก็สามารถปะทุขึ้นมาได้เช่นกัน
เผชิญหน้ากับสวีผู่ที่คุมสติไม่อยู่ ถังฟั่นไม่ทราบจะกล่าวอันใดดี “เชียนไจ…”
หลิวเจี้ยนเข้ามาประคองสวีผู่พลางบอกถังฟั่น “รุ่นชิง เจ้าไปเถอะ ที่นี่มีข้า”
ถังฟั่นผงกศีรษะให้เขา ก่อนรีบเดินตามขันทีไป
เพียงไม่กี่วันจากที่เห็นคราวก่อน จักรพรรดิคล้ายผ่ายผอมลงเล็กน้อย
แม้มีประชุมขุนนางทุกวัน แต่ระยะนี้พระองค์ประชวร สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการงดออกประชุมได้เป็นอย่างดี
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงมีพระวรกายแข็งแรง” ถังฟั่นประสานมือโค้งคำนับ
เว้นแต่การประชุมใหญ่หรือพระราชพิธี ปกติการเข้าเฝ้าลักษณะนี้ สมาชิกสภาขุนนางไม่จำเป็นต้องคุกเข่า
“ขุนนางถังตามสบาย นั่งเถอะ” จักรพรรดิตรัส พระสุรเสียงแหบแห้งอยู่บ้าง ตามด้วยไออีกสองคำ
“เป็นพระกรุณา” ถังฟั่นกล่าว
อันที่จริงในบรรดาสมาชิกสภาขุนนาง จักรพรรดิและถังฟั่นไม่นับว่าใกล้ชิดอันใด เพียงแต่ถังฟั่นเข้าสภาขุนนางโดยผ่านความเห็นชอบของขุนนางราชสำนัก หรือก็คือการลงคะแนนเสียงของหกกรมเก้ากอง และจักรพรรดิมิได้ทรงยับยั้งเท่านั้นเอง หลังเข้าสภาขุนนางโอกาสที่ถังฟั่นได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิตามลำพังมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเข้าเฝ้าพร้อมกับสมาชิกสภาขุนนางคนอื่นๆ
ความรู้สึกที่จักรพรรดิทรงมีต่อถังฟั่นบอกไม่ได้ว่าดีหรือไม่ดี พระองค์เพียงรู้สึกว่าคนผู้นี้บางทีอาจมีความสามารถสูง แต่ไม่ค่อยเข้าใจวิถีแห่งการเป็นขุนนาง หากมิใช่วันนี้จำเป็นต้องสนทนากับพวกเขาทีละคน จักรพรรดิคงไม่ทรงเรียกตัวถังฟั่นเข้าเฝ้าตามลำพัง
จักรพรรดิเผยพระพักตร์อ่อนโยนอย่างยากจะพบเห็น สนทนากับถังฟั่นด้วยเรื่องไร้แก่นสารอยู่เป็นนาน ทั้งยังตรัสถามว่าหลังเข้าสภาขุนนางปรับตัวได้หรือไม่ ผู้ไม่ทราบความนัย คะเนว่าคงตื้นตันน้ำตาไหลพรากไปกับความเอาใจใส่ของจักรพรรดิ
แต่ถังฟั่นปั้นหน้าเคร่งขรึม ตอบคำถามอย่างเป็นหลักเป็นการ ปราศจากอารมณ์เลือดร้อนของวัยหนุ่มแม้แต่น้อย ส่งผลให้จักรพรรดิทรงเบื่อหน่ายเป็นอันมาก
บทสนทนาที่แห้งแล้งไร้รสชาติเช่นนี้ สำหรับจักรพรรดิและขุนนางแล้วถือเป็นความทรมานชนิดหนึ่ง
“ระยะนี้เกิดปรากฏการณ์บนท้องฟ้าบ่อยครั้ง คิดว่าขุนนางถังคงเคยได้ฟังแล้ว”
ดังนั้นต้องขอบคุณฟ้าดินที่จักรพรรดิทรงหมดความอดทน ตรงเข้าประเด็นในที่สุด
มาแล้ว!
ถังฟั่นอดยืดหลังตรงมิได้
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ฟังแล้ว และเคยเห็นสาส์นที่ฝ่าบาททรงให้สภาขุนนางเวียนกันอ่านแล้วเช่นกัน”
จักรพรรดิโน้มพระวรกายขึ้นหน้าเล็กน้อย นี่คือการแสดงออกถึงความจดจ่อ “เช่นนั้นเจ้ามีความเห็นประการใด”
ถังฟั่นเม้มปาก “อภัยที่กระหม่อมโง่เขลา กระหม่อมไม่ทราบฝ่าบาททรงหมายความว่ากระไร”
“สำนักโหรหลวงบอกเราว่าปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนถึงตำหนักบูรพา”
“ความหมายของฝ่าบาทคือ? ตำหนักบูรพา?”
จักรพรรดิคร้านจะวกวนอ้อมค้อมกับเขา “สวรรค์ตักเตือนย่อมมีลางบอก เราใคร่สำนึกความผิดตนเอง แต่งตั้งรัชทายาทใหม่ ขุนนางถังคิดเห็นเช่นไร”
ตรัสถึงเพียงนี้ ถังฟั่นไม่อาจแสร้งโง่ต่อไป เขาผุดลุกขึ้นประสานมือ “ทูลถามฝ่าบาท รัชทายาททรงมีข้อผิดพลาดประการใด”
จักรพรรดิเริ่มรำคาญพระทัย เพราะก่อนหน้าถังฟั่น ทั้งหลิวเจี้ยนและสวีผู่ได้ตั้งคำถามนี้กับพระองค์มาแล้ว บทสนทนาที่ซ้ำซากเช่นนี้ทำให้จักรพรรดิรู้สึกหงุดหงิด แต่เพื่อมิให้เหล่าสมาชิกสภาขุนนางเหนี่ยวรั้งพระองค์ในเรื่องการปลดรัชทายาท ทรงจำเป็นต้องโน้มน้าวพวกเขาทีละคนอย่างมีขันติ
การรักษากฎมณเฑียรบาลของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชวงศ์นี้เข้มงวดกว่าทุกราชวงศ์ที่ผ่านมาทั้งหมด พึงทราบว่าปีนั้นจักรพรรดิหย่งเล่อทรงแข็งกร้าวปานใด สุดท้ายยังคงมิอาจปลดรัชทายาทเพื่อแต่งตั้งฮั่นอ๋องซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ได้สำเร็จ เวลานี้แม้กลุ่มอำนาจวั่นทรงอิทธิพลยิ่งกว่ารัชสมัยหย่งเล่อในอดีต แต่จักรพรรดิกลับมิได้แข็งกร้าวเท่าโอรสสวรรค์หย่งเล่อ พระองค์ถึงขนาดต้องสอบถามความเห็นจากสภาขุนนางก่อน
“รัชทายาทครองตำแหน่งถึงทุกวันนี้เป็นเวลาสิบปีเศษ ไหนเลยเคยประกอบวีรกรรมยิ่งใหญ่ ไหนเลยเคยเป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญ หรือนี่ยังมิใช่ความผิดพลาด? ยามนี้ปรากฏการณ์ดวงดาวแจ้งเตือน สาเหตุก็คือต้องการให้เราปรับปรุงแก้ไข” จักรพรรดิตรัส
ถังฟั่นทูล “แม้รัชทายาททรงเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ แต่กล่าวถึงที่สุดยังคงเป็นขุนนางของฝ่าบาท ในเมื่อเป็นขุนนางย่อมสมควรครองตัวสมถะ มิอาจล่วงล้ำก้ำเกินพระบรมเดชานุภาพ เพราะเหตุนี้รัชทายาทจึงมิเคยสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ พอดีสอดคล้องกับหน้าที่ของผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ไยฝ่าบาทจึงไม่พอพระทัย”
ความหมายของเขาคือรัชทายาทปราศจากผลงานนั่นก็ถูกต้องแล้ว มิฉะนั้นหากรัชทายาททำตัวโดดเด่น คนภายนอกเพียงรู้จักรัชทายาท ไม่รู้จักจักรพรรดิ หรือท่านยินดี?
ถ้อยคำชุดนี้แทงพระทัยจักรพรรดิอย่างไม่ไว้หน้าสักนิด ซ้ำยังแสดงออกถึงจุดยืนของตนเองอย่างชัดแจ้ง…‘ข้าคัดค้านการปลดรัชทายาท’
จักรพรรดิพิโรธ “ถังฟั่น ในเมื่อเจ้าลึกซึ้งในคำว่า ‘หน้าที่’ ย่อมสมควรตระหนัก ‘กษัตริย์นำขุนนางตาม’ เจ้าแก้ต่างแทนรัชทายาทตลอดเวลา หรือนี่คือหน้าที่ของผู้เป็นขุนนาง!”
ถังฟั่นหาเกรงกลัวไม่ ลุกขึ้นโค้งคำนับ “ฝ่าบาทโปรดอภัย กระหม่อมเล่าเรียนตำราปรัชญาเมธีตั้งแต่เล็ก แม้มิอาจเรียกได้ว่าภูมิความรู้ห้าเล่มเกวียน ทว่าหลัก ‘เทียนตี้จวินชินซือ’* ยังคงกระจ่างแจ้ง ที่ขงจื๊อไม่วิพากษ์สิ่งประหลาด พละกำลัง การกบฏ และภูตผีเทวดาก็เพราะคิดว่าด้วยกำลังของมนุษย์มิอาจมองเห็นลิขิตสวรรค์และผีสางเทวดา มิสู้อย่าพูดถึงจะดีกว่า เกิดการโคจรของดวงดาวบ่อยครั้งคือลางบอกเหตุก็จริง แต่เพียงอาศัยคำทำนายของสำนักโหรหลวงก็สามารถยึดถือเป็นหลักได้หรือ เกรงว่าในเรื่องราวอาจมีมูลเหตุอื่น ราษฎรทั่วหล้าล้วนทราบว่ารัชทายาทไร้ซึ่งความผิด ฝ่าบาทโปรดทรงตรึกตรองซ้ำด้วย!”
จักรพรรดิทรงหลับตา
* เทียนตี้จวินชินซือ หมายถึงห้าสิ่งซึ่งเป็นตัวแทนของการบูชายกย่องของชนชาวจีน แบ่งออกเป็น ฟ้า ดิน กษัตริย์ ผู้อาวุโส และครูบาอาจารย์