ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 2 #นิยายวาย – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 2 #นิยายวาย

คำพูดของถังฟั่นไหนเลยมิใช่ต้นตอแห่งความลังเลของพระองค์ เพียงแต่เวลานี้พระองค์ตัดสินพระทัยแน่วแน่ ดังนั้นคำขอร้องของอีกฝ่ายจึงมิอาจทำให้พระองค์คลอนแคลนได้

ในตำหนักเงียบกริบไร้สุ้มเสียง แม้แต่ขันทีทางด้านข้างก็พยายามหายใจอย่างแผ่วเบา ใคร่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านใจจะขาด

เวลานี้จักรพรรดิพระวรกายไม่แข็งแรง ดังนั้นจำเป็นต้องมีคนปรนนิบัติรับใช้ตลอดเวลา ขันทีหน้าที่ประทับถูกคัดเลือกเข้าวังตั้งแต่เด็ก ความซื่อสัตย์ภักดีไม่เป็นที่สงสัย หากก็มิได้หมายถึงเขายินดีรับฟังถ้อยคำเหล่านี้ ภายในวังเล่าขานสืบต่อกันมา ยิ่งรู้มากยิ่งไม่มีจุดจบที่ประเสริฐ

ไหวเอินกงกงคนก่อนหน้านี้มิใช่เพราะก้าวก่ายกิจการราชสำนักมากเกินหรอกหรือจึงถูกฝ่าบาทเนรเทศไปอยู่หนานจิง

ชั่วครู่ให้หลัง เขาได้ยินจักรพรรดิตรัสเนิบๆ “เราปรารถนาจะแต่งตั้งรัชทายาทองค์ใหม่ เจ้ายินดีร่างราชโองการแทนเราหรือไม่”

ขันทีอดเสียวสะท้านในใจมิได้

เขากำลังครุ่นคิด ถังเก๋อเหล่าจะตอบคำถามอย่างไร

เขากำลังครุ่นคิด หากตนเองเป็นถังเก๋อเหล่าจะตอบคำถามอย่างไร

หากคำตอบของถังเก๋อเหล่าสะกิดโทสะเจ้านายเหนือหัว ต่อให้นี่เป็นเจ้านายเหนือหัวที่พระทัยดีกว่าทุกรัชกาลที่ผ่านมา ผลลัพธ์อาจไม่เลวร้ายนัก แต่เป็นไปได้อย่างมากว่าเขาอาจไม่ได้อยู่ในสภาขุนนางต่อไป รวมทั้งภายหน้าก็จะไม่มีโอกาสเข้าสภาขุนนางอีกเลย

ขันทีครุ่นคิด หากเขาเป็นถังเก๋อเหล่าอาจจะยอมถอยลงมาก้าวหนึ่ง ไม่ช่วยฝ่าบาทร่างราชโองการ แต่ก็จะไม่คัดค้านการปลดรัชทายาท

ในภวังค์ความคิดอันวุ่นวาย เขาได้ยินถังฟั่นทูลว่า “ฝ่าบาทโปรดอภัย ขอพระองค์ทรงตรึกตรองซ้ำด้วย”

ไม่ดี ฝ่าบาทต้องกริ้วแน่

ขันทีตื่นเต้นตึงเครียด เขาได้ยินมาว่าถังเก๋อเหล่าเป็นคนรู้รักษาตัวรอด ไม่ใจร้อนเหมือนหลิวเก๋อเหล่า ไยจึงเลือกคำตอบที่เลวร้ายที่สุดเล่า

ปัญญาชนไม่ยืนใต้กำแพงทรุด คำนี้ไม่ผิด

ปัญญาชนแสวงโชคเลี่ยงเคราะห์ คำนี้ก็ไม่ผิด

แต่เขาไม่กระจ่าง บนโลกนี้มักมีบางเรื่องที่รู้ทั้งรู้มิอาจกระทำ ทว่ากลับมิอาจไม่กระทำ

จักรพรรดิถูกกระตุ้นโทสะดังคาด พระสุรเสียงแปรเปลี่ยน “ถังฟั่น เจ้าอย่าคิดว่าตนเองสนิทกับสุยโจว เราก็จะเห็นแก่หน้าเขาไม่แตะต้องเจ้า! หลิวเจี้ยนเป็นเช่นนี้ เจ้าก็เป็นเช่นนี้ แม้แต่สวีผู่ก็เป็นเช่นนี้! พวกเจ้าแต่ละคนแย่งกันภักดีต่อรัชทายาท หรือนับวันรอให้เรามอดม้วยโดยเร็วจะได้มีผลงานค้ำชูจักรพรรดิขึ้นบัลลังก์ใช่หรือไม่”

ถังฟั่นทูลตอบอย่างเยือกเย็น “ฝ่าบาททรงปรักปรำกระหม่อมแล้ว ที่พวกกระหม่อมซื่อสัตย์ภักดีล้วนมีเพียงฝ่าบาท และก็เพราะเหตุนี้จึงต้องปฏิบัติหน้าที่ขุนนางอย่างสุดกำลัง ทูลทัดทานอย่างทันท่วงที เลี่ยงไม่ให้ฝ่าบาททรงกระทำเรื่องที่ต้องเสียพระทัยภายหลัง คิดถึงปีนั้น ฝ่าบาทก็แต่งตั้งรัชทายาทด้วยพระองค์เอง ฝ่ายในมีโอรสน้อยนิด ครั้งที่ฝ่าบาททรงเห็นรัชทายาทปรากฏตัว ในพระทัยคงโสมนัสเป็นที่ยิ่ง ยามนี้พระมารดาของรัชทายาทสิ้นพระชนม์ก่อนวัยอันควร ผู้ที่รัชทายาทสามารถพึ่งพิงได้ก็เหลือเพียงพระองค์แล้ว หากแม้แต่ฝ่าบาทยังทอดทิ้งรัชทายาท เช่นนั้นรัชทายาทจะทรงมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”

จักรพรรดิตรัส “เจ้าออกไปได้”

ถังฟั่นครวญเสียงสูง “ฝ่าบาท!”

จักรพรรดิทรงย้ำ “ออกไป”

ขันทีมิอาจไม่ขึ้นหน้า เอ่ยเบาๆ “ถังเก๋อเหล่า เชิญเถอะ”

ถังฟั่นเงยหน้า นิ่งมองจักรพรรดิแวบหนึ่ง

ฝ่ายหลังสีพระพักตร์เหนื่อยล้า ริ้วรอยที่หางพระเนตรกดลึก ไม่เหมือนบุรุษหนุ่มวัยสี่สิบผู้สุขสบายไร้กังวล กลับเหมือนอยู่ในวัยเดียวกับวั่นกุ้ยเฟย

เจ้าแผ่นดินที่ชราภาพอย่างรวดเร็วบันดาลให้ผู้คนอดไม่สบายใจมิได้

ถังฟั่นมิได้พิรี้พิไร เขาถอนสายตา ผุดลุกขึ้นถวายบังคม จากนั้นติดตามขันทีออกไป

หลิวเจี้ยน สวีผู่ และคนอื่นๆ นั่งรออยู่ในตำหนักข้างอย่างร้อนรุ่ม ทันทีที่เห็นเงาร่างถังฟั่นพลันลุกยืนพรวดพราด จ้องมองมาด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง

ไม่ต้องเอ่ยคำ ถังฟั่นก็ทราบว่าพวกเขาใคร่ถามอันใด

เขาส่ายหน้าเล็กน้อย

หลิวเจี้ยนและสวีผู่เผยสีหน้าผิดหวังทันที

ระหว่างเดินทางกลับ ทุกคนครุ่นคะนึงคนละทาง อารมณ์ที่แสดงออกก็แตกต่าง พวกวั่นอันและเผิงหวาย่อมย่างก้าวเบาสบาย เสวนาฮาเฮสมใจ พวกหลิวเจี้ยนและสวีผู่กลับประหนึ่งบุพการีม้วยมรณากระนั้น สีหน้าหม่นหมองซึมเซา ถังฟั่นแม้ไม่ถึงกับครวญคร่ำฟูมฟายเฉกเช่นสวีผู่เมื่อครู่ แต่สภาพจิตใจเขาก็ไม่ดีไปกว่ากันนัก

เพราะเขาแจ่มชัดอย่างยิ่ง โอกาสได้ผ่านพ้น การตัดสินพระทัยปลดรัชทายาทของจักรพรรดิมิอาจสั่นคลอน

ภายในสภาขุนนาง มีเพียงหลิวเจี้ยน สวีผู่ และถังฟั่นสามคนยืนกรานคัดค้านการปลดรัชทายาท

ทว่าพวกเขาล้วนประสบการณ์ต่ำสุดในสภาขุนนาง เมื่อใดที่รองราชเลขาธิการหลิวจี๋เห็นพ้องให้ปลดรัชทายาท เมื่อนั้นก็จะปรากฏสถานการณ์โน้มเอียงไปทางหนึ่ง

และจากท่าทีในวันนี้ หลิวจี๋มิได้แสดงออกว่าเห็นพ้อง แต่ก็มิได้แสดงอาการคัดค้าน ด้วยอุปนิสัยของเขา คะเนว่าคงเหมือนเมื่อคราหลี่จี้ตอบคำถามจักรพรรดิถังเกาจงเรื่องปลดรัชทายาทแต่งตั้งอู่เจ๋อเทียน กราบทูลจักรพรรดิเป็นทำนองว่า ‘เรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัวของฝ่าบาท ไยต้องไถ่ถามคนนอก’

ดังนั้นลำพังพวกถังฟั่นสามคนไม่มีทางควบคุมสถานการณ์ได้แม้แต่น้อย

หากไม่มีเหตุไม่คาดฝัน รัชทายาทก็ถูกปลดแน่แล้ว

คิดไม่ถึง เรื่องที่แม้แต่จักรพรรดิหย่งเล่อยังกระทำไม่สำเร็จ ถึงกับเป็นจริงในอุ้งพระหัตถ์โอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน ถังฟั่นลอบถอนใจ ไม่ทราบควรร้องไห้หรือหัวเราะดี

คนอื่นๆ กลับไม่มีอารมณ์เริงรื่นท่ามกลางความทุกข์เช่นเขา หลิวเจี้ยนและสวีผู่เอาแต่เหม่อลอยทั้งวัน เย็นย่ำถึงเวลาเลิกงาน พวกเขาก็ลากถังฟั่นออกไปทันที วั่นอันมิได้เหนี่ยวรั้งพวกเขาไว้ จะอย่างไรเรื่องปลดรัชทายาทก็เป็นที่แน่นอนแล้ว ลำพังแค่พวกหลิวเจี้ยนกระเสือกกระสนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

ประกอบกับกลุ่มอำนาจวั่นใช่ว่าไม่มีขุมกำลังในเหล่าขุนนางทัดทาน ถึงเวลานั้นหากมีคนถวายฎีกาคัดค้าน วั่นอันยังคงสามารถขับเคลื่อนขุนนางทัดทานออกมาสนับสนุนได้

“หรือเรื่องนี้ไม่มีที่ทางให้กอบกู้แล้วจริงๆ” สวีผู่ทอดถอนใจ

“ข้าจะไปเข้าเฝ้ารัชทายาทเดี๋ยวนี้” หลิวเจี้ยนกลับขยี้เท้ากล่าว แล้วหมุนตัวทำท่าผละไป

ถังฟั่นและสวีผู่รีบรั้งเขาไว้ “ท่านไปยังทำอันใดได้ หรือจะให้รัชทายาทไปทูลขอความเมตตาต่อฝ่าบาท นี่เพียงทำให้ผู้คนรู้สึกว่ารัชทายาทสมคบขุนนางผู้ใหญ่วางแผนกระทำมิดีมิร้าย”

หลิวเจี้ยนเข่นเขี้ยว “รู้สึกอันใด มีก็แต่พวกกลุ่มอำนาจวั่นถึงพลิกขาวเป็นดำเช่นนี้ได้”

สวีผู่กล่าว “เช่นนั้นยิ่งไม่สมควรไป”

ถังฟั่นก็กล่าว “เชียนไจกล่าวถูกต้อง พวกเราสุดกำลังแล้ว”

“หรือคำว่าสุดกำลังก็เพียงพอบดบังทุกสิ่งได้” สุ้มเสียงของหลิวเจี้ยนทั้งขุ่นแค้นและรันทด แต่มิได้มีต่อถังฟั่นหรือสวีผู่

สวีผู่และถังฟั่นอับจนถ้อยคำ ได้แต่ทอดถอนใจ

 

ทั่วทั้งราชสำนัก แม้ส่วนใหญ่พอจะทำนายความคิดของจักรพรรดิได้ แต่พวกเขายังไม่ทราบว่าจักรพรรดิได้ตัดสินพระทัยแล้ว เรื่องที่ทรงเรียกตัวสภาขุนนางเข้าเฝ้าทีละคนอาจต้องรอถึงพรุ่งนี้ค่อยแพร่กระจายออกไป

เวลาเช่นนี้ความสำคัญของมหาเสนาบดีสภาขุนนางจึงปรากฏชัด เพราะพวกเขาคือศูนย์กลางอำนาจของราชอาณาจักร ไม่มีใครล่วงรู้และยึดกุมข่าวสารได้รวดเร็วกว่าพวกเขา แต่ถังฟั่นกลับไม่รู้สึกดีใจสักนิด

กระทั่งอาหารค่ำเขาก็ไม่กิน เพียงหมกตัวอยู่ในห้องหนังสือ นั่งใจลอยอยู่หน้าโต๊ะตามลำพัง

จวบจนเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เข้ามา”

ที่ผลักประตูเข้ามาคือสุยโจว ในมือเขาถือบะหมี่น้ำชามหนึ่ง เบื้องหลังกลับเห็นวังจื๋อยืนอยู่

วังจื๋อเปิดปากอย่างสงบใจไม่อยู่ “เกิดเรื่องอันใดกันแน่ เมื่อเช้าฝ่าบาท…”

สุยโจวขัดจังหวะเขาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เมื่อครู่รับปากข้าว่าอย่างไร”

วังจื๋อจำต้องปิดปากอย่างไม่เต็มใจนัก

จบคำ เขาก็วางบะหมี่น้ำตรงหน้าถังฟั่น “กินก่อนค่อยคุย”

“ข้าไม่หิว” ถังฟั่นปั้นหน้าเศร้า ยากนักที่จะเห็นเขาพูดคำนี้ออกมา

“จะให้ข้าป้อนเจ้า?” สุยโจวคล้ายไม่ได้ยินคำพูดของเขา

“…ข้ากินเองได้” ถังฟั่นจำใจรับตะเกียบมา

จากกลิ่นหอมฉุยของบะหมี่น้ำสามารถวินิจฉัยถึงความตั้งใจของผู้ปรุงได้ ถังฟั่นไม่อาจใจดำทำลายความปรารถนาดีนี้

แต่ไรมาสุยโจวไม่พูดพล่ามไร้สาระ เพราะเขามักลงมือปฏิบัติโดยตรง

วังจื๋อมองดูถังฟั่นกินบะหมี่ด้วยความอดทน ไม่ง่ายเลยกว่าจะเห็นบะหมี่ชามนั้นหายไปกว่าครึ่ง เขาอดใจไม่ไหวอีกแล้ว “ข้าได้ยินว่าเช้านี้ฝ่าบาททรงเรียกตัวสมาชิกสภาขุนนางเข้าเฝ้าทีละคน?”

ด้วยนิสัยของวังจื๋อ สามารถมีขันติถึงบัดนี้ค่อยเอ่ยคำถือว่ามิใช่ง่ายแล้ว

“มิผิด” ถังฟั่นตอบ

“เกี่ยวกับรัชทายาท?” วังจื๋อเข้าประเด็นโดยตรง “ผลเป็นอย่างไร”

“ท่านทราบคำตอบอยู่แล้ว ไยต้องถามข้า” ถังฟั่นส่ายหน้า วางชามลง

“ไฉนเจ้าไม่ยับยั้ง!” วังจื๋อรุกหนัก

ถังฟั่นสีหน้าสงบนิ่ง “ข้าสุดกำลังแล้ว หลิวเจี้ยนและสวีผู่ก็สุดกำลังแล้วเช่นกัน วั่นอันอาจทำข้อตกลงอันใดกับหลิวจี๋ ทำให้หลิวจี๋ไม่แสดงท่าทีคัดค้านต่อเรื่องนี้ ในเมื่อราชเลขาธิการและรองราชเลขาธิการมีความเห็นสอดคล้อง พวกเราสามคนคัดค้านไปจะยังมีประโยชน์อันใด”

วังจื๋อลุกขึ้นเดินวนไปมาอย่างงุ่นง่าน “เช่นนั้นตอนนี้ควรทำอย่างไร”

ถังฟั่นมองเขาพลางนึกในใจ ไม่ทราบอีกฝ่ายสำนึกเสียใจหรือไม่ที่ตอนนั้นเชื่อฟังคำเกลี้ยกล่อมของตนที่ให้หันมาอยู่ฝ่ายรัชทายาท

เขาถอนใจ “ตอนนั้นข้าเคยชักจูงให้ท่านขีดเส้นชัดเจนกับกลุ่มอำนาจวั่น คิดไม่ถึงกลับกลายเป็นให้ร้ายท่าน…”

วังจื๋อโบกมือค่อนข้างแรง ตัดบทเขา “วาจาเหล่านี้ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าแค่อยากรู้หนทางแก้ของเจ้า”

ถังฟั่นเอ่ยเนิบๆ “วางแผนขึ้นกับคน สำเร็จขึ้นกับฟ้า”

ความพะวงและความกดดันทั้งหมดของเขาคล้ายมลายหายไปกับบะหมี่น้ำชามนั้น เขารับผ้าเช็ดหน้าที่สุยโจวยื่นส่งให้ ซับมุมปาก “ข้ากับพวกเชียนไจได้หารือกันแล้ว หากฝ่าบาททรงยืนกรานเช่นนั้น พวกเราจะยื่นฎีกาขอลาออก”

วังจื๋อผงะ “นั่นจะมีประโยชน์อันใด พวกเจ้าไปแล้ว สภาขุนนางมิยิ่งกลายเป็นวั่นอันผูกขาดแต่ผู้เดียวหรอกหรือ”

ถังฟั่นถอนใจ “นี่เป็นขีดจำกัดสูงสุดที่พวกเราทำได้แล้ว หรือท่านยังมีวิธีอื่นที่ดีกว่า?”

วังจื๋อเดิมรุดมาหาถังฟั่นด้วยความหวังสายหนึ่ง

ในสายตาเขา ถังฟั่นมักมีทางออกที่ไม่สุดไม่สิ้น และอีกฝ่ายก็เหนือความคาดหมาย สร้างความตื่นเต้นดีใจแก่ผู้คนได้ทุกครั้งจริงๆ ทว่าทุกเรื่องราวยังคงมีข้อยกเว้น

อย่างไรถังฟั่นก็เป็นมนุษย์ หาใช่เทพเทวา เขามีช่วงเวลาที่อับจนหนทางเช่นกัน

วังจื๋อสิ้นหวังอย่างที่สุด

คนข้างกายรัชทายาทนับวันยิ่งลดน้อย

ไหวเอินไม่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว หากพวกหลิวเจี้ยนและถังฟั่นโดนบีบออกจากสภาขุนนางอีก คนอื่นที่เหลือไม่เพียงพอต่อการสร้างแรงคุกคามสักนิด

สำหรับตัววังจื๋อเอง เขาสามารถลอบพารัชทายาทหนี ทว่ากลับไม่มีทางเป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มอำนาจวั่นในที่แจ้งเฉกเช่นพวกถังฟั่นได้

ฐานะของสุยโจวก็จำกัดขอบเขตให้เขาต้องซื่อสัตย์ต่อโอรสสวรรค์ รัชทายาทแม้เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ หากอย่างไรก็ยังมิใช่จักรพรรดิ

หรือไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งการปลดรัชทายาทได้แล้ว

วังจื๋อออกจากบ้านสกุลถังอย่างหมดอาลัยตายอยาก

ส่งวังจื๋อเสร็จ ถังฟั่นก็เยาะหยันตนเองกับสุยโจวที่อยู่ด้านข้าง “หากมิใช่ข้ายุยงให้เขาใกล้ชิดรัชทายาท คะเนว่าเวลานี้เขาคงกำลังสุขสมภิรมย์ใจ ไม่ต้องมาร้อนรุ่มสุมทรวงเช่นนี้”

สุยโจวยื่นมือจับปอยผมที่ลุ่ยลงมาเพราะลมพัดทัดหูให้เขาพลางกล่าวคำหนึ่งที่กินความหมายลึกล้ำ “เมื่อครู่เจ้าก็พูดเอง สำเร็จขึ้นกับฟ้า ฤทธานุภาพแห่งสวรรค์สุดจะหยั่งคาด ไหนเลยมนุษย์ปุถุชนแค่คนสองคนจะสามารถพลิกผันตามอำเภอใจได้”

 

กลางดึก ขณะถังฟั่นยังตกอยู่ในห้วงนิทรารมณ์ก็ถูกสุยโจวเขย่าปลุกและได้รับทราบข่าวคราวเรื่องหนึ่ง

ที่ซานตงเกิดแผ่นดินไหว

และจุดเกิดเหตุคือเขาไท่ซาน

“แผ่นดินไหว?” ถังฟั่นยังไม่ตื่นดี เขาในยามนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพฉลาดเยือกเย็นเช่นทุกวัน นัยน์ตาดำขลับมัวหม่นปกคลุมด้วยไอหมอกบางๆ ชั้นหนึ่ง เสื้อตัวในเอียงโย้อยู่บนร่างเผยให้เห็นทรวงอกเปลือยเปล่าด้านใน

แม้เป็นชนชั้นบัณฑิต แต่ถังฟั่นไม่ถึงกับขาดการออกกำลังโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยศาสตร์หกแขนงแห่งปัญญาชน* ง้างคันศรยิงธนูเขายังพอชำนาญอยู่บ้าง ดังนั้นรูปกายจึงนับได้ว่าชื่นตาชื่นใจ ไม่เหมือนบัณฑิตอ่อนแอที่ไม่มีแม้แต่แรงเชือดไก่เหล่านั้นที่ถอดเสื้อผ้าก็เห็นซี่โครงบาน

สุยโจวกลับรักที่จะชมดูอีกมุมหนึ่งของถังฟั่นที่เผยให้เห็นเป็นครั้งคราว นี่ทำให้เขาบังเกิดความรู้สึก ‘คนผู้นี้เป็นของข้า มุมนี้ของเขามีเพียงข้าที่สามารถเห็นได้’

น้อยคนจะทราบว่าความปรารถนาครอบครองแต่เพียงผู้เดียวของท่านป๋อสุยความจริงแล้วแข็งกล้ามาก

“เมืองไท่อัน มณฑลซานตง” สุยโจวเอ่ยเน้นจุดเกิดเหตุอีกครั้งพลางยื่นมือผูกสายรัดเอวให้อีกฝ่าย ก่อนคลุมเสื้อตัวนอกให้เขาเหมือนปกติ

ถึงแม้สุยโจวเองก็มิได้แต่งกายเรียบร้อยไปกว่ากัน ทว่าที่สำคัญคือเขาไม่อยากให้ถังฟั่นโดนไอเย็น

บ่าและแผ่นหลังอบอุ่นแล้ว แต่ต้นคอยังหนาวสั่นเพราะถูกอากาศเย็นเฉียบ ถังฟั่นขนลุกซู่ สติแจ่มใสในที่สุด

“ท่านรู้ได้อย่างไร”

“ตอนนี้ข่าวแพร่ถึงในวังแล้ว วังจื๋อส่งคนมาบอกอีกที”

เสียงเคาะประตูเมื่อครู่แม้ไม่ดังนักแต่กลับก้องหูเป็นพิเศษในยามดึก ถังฟั่นหลับลึกไม่ได้ยิน สุยโจวกลับต่างกัน

 

* ศาสตร์หกแขนงแห่งปัญญาชน ประกอบด้วยธรรมเนียมมารยาท ดนตรี ยิงธนู ขี่ม้า พู่กัน คำนวณ

Comments

comments

Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com