everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 2 #นิยายวาย
แผ่นดินไหวมีความหมายแสดงถึงภัยพิบัติ หากเกิดเหตุที่เขาไท่ซาน ความหมายยิ่งผิดแผกชัดเจน
ผู้เป็นราชันรับบัญชา เปลี่ยนแปลงรัชศก จักต้องขึ้นไท่ซานบวงสรวง
เพราะเหตุใด
เพราะนับแต่โบราณกาล ภาคตะวันออกถือเป็นแหล่งนิมิตดี เขาไท่ซานไม่เพียงตั้งอยู่ภาคตะวันออก ยังถูกมองว่าเป็นศูนย์รวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เริ่มจากคำว่า ‘ไท่’ ที่หมายถึงสงบ ตามด้วย ‘อัน’ ที่หมายถึงสันติ จึงเรียกที่นี่ว่าเขาไท่ซาน ก่อนยุคราชวงศ์ฉินและฮั่นได้มีเจ้าแผ่นดินขึ้นไปบวงสรวงที่เขาไท่ซานบ่อยครั้ง หลังยุคฉินสื่อหวงขนบประเพณีนี้ยิ่งได้รับการสืบทอดต่อกันมา จักรพรรดิทุกยุคทุกสมัยล้วนถือเป็นเกียรติสูงสุดเมื่อได้มาบวงสรวงถึงเขาไท่ซาน
แตกต่างจากคำพยากรณ์นานาชนิดของปรากฏการณ์ดาวหางเข้าดาวเหนือ หากเขาไท่ซานเกิดเรื่อง คนทั้งหมดเพียงครุ่นคิดประการเดียวก็คือสวรรค์เบื้องบนลงอาญาจักรพรรดิ
จักรพรรดิทรงกระทำผิดอันใด
สามารถผิดได้ร้อยแปดพันประการ
ต่อให้ไม่มีความผิด เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็มักยินดีเชื่อมโยงเรื่องนี้เข้าด้วยกันเพื่อดำเนินการตักเตือนในจุดบกพร่องของจักรพรรดิ ตัวอย่างเช่นไม่ควรทำการก่อสร้างใหญ่โต ต้องวิริยะในราชกิจ รักใคร่ราษฎรเป็นต้น มิหนำซ้ำเวลานี้ก็มีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งวางอยู่ตรงหน้า
จักรพรรดิใคร่ปลดรัชทายาท
ดูสิ จักรพรรดิเพิ่งทรงคิดจะปลดรัชทายาท ไม่ทันไรเขาไท่ซานพลันเกิดแผ่นดินไหว นี่มิใช่คำเตือนของสวรรค์เบื้องบนแล้วจะเป็นอันใด
หากจักรพรรดิยังทรงดึงดัน ถึงเวลานั้นอาจมิใช่เรียบง่ายเพียงแผ่นดินไหวเท่านั้น
ถังฟั่นย่อมไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปที่คิดว่าการปลดรัชทายาทเกี่ยวพันกับแผ่นดินไหว แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้ การตัดสินพระทัยอันแน่วแน่ที่จะปลดรัชทายาทในตอนแรกย่อมจะต้องสั่นไหวคลอนแคลน
และนี่ประจวบเป็นโอกาสงามที่พันปีจะมีสักหน
หากมิใช่วังจื๋อส่งคนออกมาแจ้งข่าว อย่างน้อยพวกถังฟั่นต้องรอกระทั่งไปถึงสภาขุนนางในวันพรุ่งนี้ถึงจะล่วงรู้ ถ้าเป็นเช่นนั้นย่อมสูญเสียโอกาสได้ง่าย
ถังฟั่นไม่พูดพล่าม ลุกขึ้นแต่งตัวทันที เตรียมไปเยี่ยมคารวะหลิวเจี้ยนและสวีผู่กลางดึก จากนั้นต่างคนต่างถวายฎีกาฉบับหนึ่ง เนื้อความย่อมเป็นการเอาภัยธรรมชาตินี้มาพรรณนาโวหาร สาธยายให้สยดสยองชวนสะพรึง ดีที่สุดคือทำให้จักรพรรดิล้มเลิกความคิดที่จะปลดรัชทายาท
ไม่ทราบเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใด ระหว่างทั้งสองจึงมีกระแสจิตต้องกันที่ยากรำพันชนิดหนึ่ง
แทบจะขณะแรกที่ถังฟั่นมีความเคลื่อนไหว สุยโจวพลันทราบว่าเขาใคร่ทำสิ่งใด
“ข้าไปส่งเจ้า”
“ดี” ถังฟั่นมิได้ปฏิเสธ ครุ่นคิดนิดหนึ่งจึงกล่าว “ฐานะท่านอ่อนไหวและเป็นที่ไว้วางพระทัยมาตลอด เรื่องนี้เป็นเรื่องของขุนนางบุ๋น ท่านอย่าได้เอาตัวพัวพัน”
สุยโจวกล่าววาจาตลกร้ายด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเข้าใจ หากเจ้าโชคร้ายสร้างความระคายเคืองต่อฝ่าบาท ข้ายังต้องไปช่วยพูดขอความเมตตาแทนเจ้า ไหนเลยจะเอาตัวพัวพันได้”
ถังฟั่นหัวเราะมิได้ร่ำไห้มิออก “ท่านจะพูดอวยพรข้าสักนิดมิได้หรือ”
วันรุ่งขึ้น เมื่อขุนนางส่วนใหญ่เพิ่งรู้ความคิดที่จักรพรรดิจะทรงปลดรัชทายาทและรุดมาสภาขุนนางด้วยเรื่องนี้ ก็ได้ยินข่าวแผ่นดินไหวที่เขาไท่ซานอีกข่าวหนึ่ง
ทั่วราชสำนักพลันวุ่นวายขึ้นมา ทว่าพวกเขายังไม่ทันตั้งตัว ฎีกาของหลิวเจี้ยน สวีผู่ และถังฟั่นต่างถวายขึ้นไปแล้ว ในฎีกาได้เกี่ยวโยงเรื่องแผ่นดินไหวกับเรื่องจักรพรรดิใคร่ทรงปลดรัชทายาทเข้าด้วยกัน เป็นการทัดทานจักรพรรดิอย่างรุนแรง ความว่ารัชทายาทคือผู้สืบทอดราชสมบัติซึ่งแต่งตั้งโดยพระองค์เอง ทั้งยังเคยบวงสรวงที่หอฟ้าเทียนถานแทนพระองค์ บัดนี้เขาปราศจากความผิด พระองค์กลับคิดจะปลดเขา ดังนั้นเขาไท่ซานเกิดแผ่นดินไหวก็คือคำเตือนที่มีต่อพระองค์ เพราะความชื่นชมโสมนัสส่วนตัวของพระองค์ส่งผลให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย หรือนี่คือสิ่งที่พระองค์ยินดีเห็น เกรงแต่ว่าจักรพรรดิหงอู่ในปรภพทรงทราบเข้าอาจรู้สึกไม่เป็นสุข
แม้ฎีกามีสามฉบับ โวหารก็ต่างกัน แต่สิ่งที่พูดกลับเป็นความหมายเดียวกัน จักรพรรดิทอดพระเนตรเสร็จก็ทรงเก็บงำไม่ส่งต่อ ทว่าแวดวงขุนนางเมืองหลวงหามีความลับไม่ ใจความในฎีกายังคงเล็ดลอดออกมาจากทางกองอุทธรณ์ฎีกา
คนที่สามารถเข้าเป็นขุนนางในหกกรมเก้ากอง ทั้งยังสำแดงความเก่งกล้าท่ามกลางการห้ำหั่นอันดุเดือดได้ล้วนมิใช่ตะเกียงขาดน้ำมันเด็ดขาด ดังนั้นจากฎีกาของพวกหลิวเจี้ยน ขุนนางเหล่านี้สามารถวิเคราะห์ได้ถึงปัญหาหลายประการ
ประการแรก สภาขุนนางเดิมมีเจ็ดคน เวลานี้ที่ถวายฎีกากลับมีแค่หลิวเจี้ยน สวีผู่ และถังฟั่นรวมสามคน เห็นได้ว่าในสภาขุนนางความเห็นไม่เป็นเอกฉันท์ อาจเป็นได้ว่าคนอื่นๆ สนับสนุนจักรพรรดิปลดรัชทายาท หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่คัดค้าน
ประการสอง หลิวเจี้ยนและพวกเลือกถวายฎีกาโดยตรงโดยมิได้กราบทูลต่อเบื้องพระพักตร์ก่อน เห็นได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาอาจล้มเหลวในการเจรจากับจักรพรรดิมาแล้ว
เฉกเช่นการโคจรของดวงดาวที่มีคำพยากรณ์หลายแบบ เขาไท่ซานแผ่นดินไหวก็เป็นเรื่องนานาจิตตังเช่นกัน ใช่ว่าจะต้องเกี่ยวพันกับการปลดรัชทายาทเสมอไป และสามารถใช้การไม่ใส่พระทัยในราชกิจของจักรพรรดิมาอธิบายได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าผู้อื่นจะกล่าวอย่างไร
พูดง่ายๆ ก็คือที่วางอยู่ตรงหน้าขุนนางราชสำนักทั้งหลาย อันที่จริงแล้วก็คือทางเลือกหลายทาง
พวกเขาจะถวายฎีกาเหมือนพวกหลิวเจี้ยน หรือแสร้งเป็นไม่รู้เรื่องดี?
หากถวายฎีกา ควรสนับสนุนฝ่ายใด
เอาเรื่องแผ่นดินไหวผูกกับเรื่องปลดรัชทายาท นั่นคือยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกลุ่มอำนาจวั่นอย่างไม่ต้องสงสัย เกิดสุดท้ายฝ่าบาททรงยืนกรานความคิดตนเอง รัชทายาทโดนปลดขึ้นมาจริงๆ เล่า
เช่นนั้นคนที่ถวายฎีกาในเวลานี้ ภายหน้ามิใช่ล่วงเกินรัชทายาทองค์ใหม่กันหมดหรือ
ไม่มีผู้ใดสามารถพยากรณ์ทิศทางของอนาคตได้
ก็เหมือนกับคนที่อยู่ในสำนักโหรหลวงชั่วชีวิต วันทั้งวันมีแต่พูดคุยกับดวงดาว คนเหล่านี้อย่าว่าแต่ปรุโปร่งลิขิตฟ้าเลย แม้แต่ชะตากรรมของตนเองยังไม่แน่จะมองออก
ทว่ากงล้อแห่งชะตาชีวิตไม่มีวันหยุดหมุนเพราะความพิศวงงงงวยของใครคนหนึ่ง แม้กระทั่งปณิธานของเจ้าแผ่นดินก็มิอาจพลิกเปลี่ยนได้
สำนวนที่ว่าพละกำลังและสติปัญญาของมนุษย์สามารถเอาชนะธรรมชาติ ความจริงแล้วคือทัศนะที่โง่เขลาและน่าขัน
จักรพรรดิพรั่นพระทัยในที่สุด
พระองค์ทอดพระเนตรฎีกาสามฉบับตรงหน้า การตัดสินพระทัยอันแน่วแน่ถูกเหตุการณ์แผ่นดินไหวจู่โจมพังทลายโดยสิ้นเชิง
ไม่ว่าพวกวั่นอันจะเพียรเกลี้ยกล่อมเช่นไรก็ไร้ประโยชน์ จักรพรรดิเองก็มีความคิดอ่าน พระองค์มิใช่หุ่นเชิดหรือเจ้างั่ง เรื่องแผ่นดินไหวก็เหมือนระฆังเตือนภัยอันหนึ่ง ปลุกให้พระองค์สะดุ้งตื่น
พระองค์มีหรือมิทรงทราบ เหตุที่พวกวั่นอันพยายามทุกวิถีทางผลักดันซิงอ๋องเป็นรัชทายาทก็เป็นเพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตนเท่านั้นเอง
ทว่าตั้งแต่แรกเริ่มถึงบัดนี้ จักรพรรดิทรงอยากปลดรัชทายาท ทั้งมิใช่เพื่อกลุ่มอำนาจวั่น และมิใช่เพราะรังเกียจรัชทายาท แม้นั่นจะเป็นหนึ่งในสาเหตุก็ตาม
มูลเหตุที่แท้จริงคือพระองค์ไม่อยากให้วั่นกุ้ยเฟยผิดหวัง
ปีนั้นบุตรชายของวั่นกุ้ยเฟยเสียชีวิต ทำให้ทั้งสองวิปโยคโศกศัลย์ กอปรกับหลังจากนั้นพระนางก็มิได้ให้กำเนิดทารกอีก ดังนั้นผู้แบกรับภาระการสืบราชสมบัตินี้จึงไม่มีทางเป็นบุตรชายของพวกเขาทั้งสอง
ในเมื่อวั่นกุ้ยเฟยชื่นชอบซิงอ๋อง ชิงชังรัชทายาท วาดหวังให้ซิงอ๋องได้เป็นทายาทสืบทอดบัลลังก์ จักรพรรดิจึงยินดีบรรลุความปรารถนาของนาง
ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองก็เป็นโอรสของพระองค์ คนใดเป็นทายาทสืบทอด สำหรับจักรพรรดิแล้วไม่มีอันใดแตกต่าง
เพียงแต่ครั้งนี้จักรพรรดิทรงเรรวนแล้ว นั่นมิได้เกิดจากการคัดค้านของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ แต่เกิดจากคำเตือนของสวรรค์เบื้องบน
หรือแม้แต่สวรรค์เบื้องบนก็ไม่ยินดีให้เรากับวั่นกุ้ยเฟยสมดังหวัง?
หรือสวรรค์เบื้องบนก็คิดว่าจูโย่วหยวนไม่อาจแทนที่จูโย่วเชิง?
ถึงอย่างไรจักรพรรดิเฉิงฮว่าก็มิใช่บุคคลที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบเสียทีเดียว
แม้พระองค์ไม่สนพระทัยในราชกิจ ยินดีเลี้ยงนกปลูกดอกไม้วาดภาพ ทว่าการอบรมสั่งสอนในตำหนักบูรพาที่ทรงได้รับมาตั้งแต่ครั้งเป็นรัชทายาทได้สลักลึกอยู่ในสมองของพระองค์นานแล้ว ห้วงเวลาคับขัน คานหาบระหว่างความปรารถนาของสตรีอันเป็นที่รักและแผ่นดินต้าหมิงสั่นคลอนอยู่ในพระทัยเนิ่นนาน ท้ายที่สุดยังคงเลือกประการหลัง
“พี่สาววั่น เราผิดต่อท่าน! มิใช่เราไม่อยากแต่งตั้งจูโย่วหยวน แต่เพราะเราไม่อาจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งบรรพชน!” จักรพรรดิทรงกุมมือวั่นกุ้ยเฟย ตรัสกับนางด้วยพระสุรเสียงเจือรอยขมขื่น
“ไยฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ เป็นเพราะหม่อมฉันบุญน้อย สวรรค์เบื้องบนไม่อยากให้บุตรของหม่อมฉันเป็นรัชทายาท ไม่อยากให้หม่อมฉันเป็นพระอัครมเหสี เวลานี้ยิ่งไม่อยากให้เด็กที่หม่อมฉันชื่นชมได้สมปรารถนา เกรงว่าชาตินี้หม่อมฉันคงไม่มีวาสนาอีกแล้ว” วั่นกุ้ยเฟยถอนใจเช่นกัน แม้นางมีนิสัยเจ้าอารมณ์ แต่มิใช่คนที่ชอบเกรี้ยวกราดตลอดเวลา หากเป็นเช่นนั้นนางก็คงไม่มีทางมอบความอ่อนโยนและการปลอบประโลมใจอย่างไม่รู้หน่ายต่อจักรพรรดิในช่วงที่ยังทรงพระเยาว์
สดับวาจาของนาง จักรพรรดิเพียงรู้สึกเจ็บปวดและละอายมากขึ้น พระองค์ทรงรักสตรีนางนี้อย่างลึกซึ้งจริงๆ ชั่วชีวิตของพระองค์ได้รับมากมายและสูญเสียมากมายเช่นกัน แต่ต่อให้สูญสิ้นตำแหน่งจักรพรรดิ พระองค์ก็ไม่ยินดีสูญเสียสตรีตรงหน้า ทว่าเวลานี้พระองค์ยังอยู่บนตำแหน่งจักรพรรดิของสกุลจู อุปนิสัยของพระองค์ก็ส่งผลให้พระองค์ไม่อาจกระทำเรื่องบ้าระห่ำโดยไม่คำนึงถึงเสียงคัดค้านได้
“ไม่หรอก ท่านไม่มีบุญวาสนา เราจะแบ่งบุญวาสนาให้ท่าน รอเมื่อเราครบร้อยปีจะเขียนราชโองการ ให้พวกเขาสถาปนาท่านเป็นพระพันปี เรารู้ว่าท่านไม่ชอบรัชทายาท แต่เขาเป็นเด็กกตัญญู ต้องไม่ขัดคำสั่งของเราแน่ เขาจะปฏิบัติต่อท่านด้วยดีแทนเรา ให้ท่านเสพสุขในบั้นปลายชีวิต”
วั่นกุ้ยเฟยไม่อาจไม่ซาบซึ้ง บุรุษผู้อ่อนกว่านางสิบเก้าปีเต็มๆ คนนี้ช่างดีต่อนางอย่างไร้ที่ติจริงๆ
นางเคยอาละวาดกราดเกรี้ยวกับจักรพรรดิเพราะเรื่องสนมนางในและราชโอรสที่ผุดขึ้นในฝ่ายในไม่หยุดไม่หย่อน ถึงขนาดลงมืออำมหิตต่อสตรีและทารกเหล่านั้น แต่ทั้งๆ ที่จักรพรรดิทรงทราบ กลับหลับพระเนตรข้างหนึ่งลืมพระเนตรข้างหนึ่ง
บางครั้งนางเคยคิดว่านี่ใช่เป็นการลงทัณฑ์ของสวรรค์เบื้องบนหรือไม่ เพราะนางสังหารผู้คนมากมาย ดังนั้นจึงลิขิตให้นางไม่มีบุตรและไม่อาจเป็นพระอัครมเหสี
แต่บางครั้งความรู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจก็ทะลักขึ้นในใจนาง รู้สึกว่าข้าอุตส่าห์ทุ่มเทประคับประคองท่านจนเติบใหญ่ ในขณะที่ท่านตกต่ำเสื่อมโทรม แม้แต่มารดาบังเกิดเกล้ายังไม่กล้ามาเยี่ยมดูท่าน หากมิใช่ข้า ดีไม่ดีท่านอาจตายอยู่ในวังร้างโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่ครั้นถึงเวลากลับเป็นเพราะมารดาท่านคัดค้าน ท่านเลยไม่กล้าแต่งตั้งข้าเป็นพระอัครมเหสี!
ความย้อนแย้งในใจชนิดนี้ส่งผลให้ความรู้สึกที่วั่นกุ้ยเฟยมีต่อจักรพรรดิเป็นรักปนแค้นมาตลอด ตอบไม่ถูกว่าแค้นมากกว่าหรือรักมากกว่า
“ในเมื่อฝ่าบาทตัดสินพระทัยแน่วแน่ก็ไม่ต้องกล่าวมากความแล้ว คิดเสียว่าข้าไร้วาสนาเถอะ” นางบีบพระหัตถ์จักรพรรดิ ตบบนหลังพระหัตถ์เบาๆ เผยรอยยิ้มปลอบโยน “เพียงแต่มีอีกเรื่องหนึ่ง”
จักรพรรดิเวลานี้ละอายพระทัยจนใคร่จะเอาสิ่งที่ดีที่สุดในโลกหล้ามาประเคนให้นางใจจะขาด ได้ยินเช่นนั้นจึงตรัส “ท่านพูดเถอะ”
วั่นกุ้ยเฟยทูลว่า “ตอนนี้ตำหนักฉงเจินวั่นโซ่วใกล้แล้วเสร็จ ก่อนหน้านี้ทรงอยากเสด็จออกไปบวงสรวงด้วยพระองค์เอง พวกขุนนางใหญ่กลุ่มนั้นก็อ้างนั่นอ้างนี่ไม่ยอมให้พระองค์ไป เช่นนั้นมิสู้ให้รัชทายาทเสด็จแทน พวกเขาก็พูดอันใดไม่ได้แล้ว ฝ่าบาทพระพลานามัยไม่แข็งแรง หม่อมฉันอยากให้รัชทายาทไปอธิษฐานขอพรแทนพระองค์”
จักรพรรดิตื้นตันพระทัยไม่น้อย “พี่สาววั่น มีเพียงท่านที่ห่วงใยข้าเช่นนี้”
วั่นกุ้ยเฟยเม้มปาก ยกมือลูบไล้พระเกศาของเขาเบาๆ “หม่อมฉันเลี้ยงดูฝ่าบาทมากับมือ ย่อมห่วงใยฝ่าบาทเป็นธรรมดา”