everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 3 #นิยายวาย
บทที่ 3
แทบจะเวลาเดียวกับการสนทนาของจักรพรรดิและกุ้ยเฟย ภายในจวนสกุลวั่นกลับเป็นอีกบรรยากาศหนึ่ง
เสียงเพล้งดังสนั่น ถ้วยชาถูกปัดลงพื้นแตกกระจายเป็นเศษเสี้ยว บางส่วนกระเด็นถูกน่องของสาวใช้ ดีที่เป็นชิ้นไม่ใหญ่และมีเนื้อผ้าขวางอยู่จึงไม่ปรากฏเหตุเลือดตกยางออกอันใด
แม้จะเป็นเช่นนั้น สาวใช้ทั้งห้องโถงก็ยังคงเผยสีหน้าหวาดผวา กระทั่งลมหายใจยังผ่อนจนเบาที่สุด เกรงจะสะกิดโทสะผู้เป็นนาย
“บัดซบ! บัดซบสิ้นดี! ไยต้องเกิดแผ่นดินไหว! แต่เกิดแผ่นดินไหวแล้วอย่างไร หรือภัยธรรมชาติทั้งมวลก็สามารถเกี่ยวโยงกับการปลดรัชทายาทได้!” วั่นทงโกรธจนตัวสั่น
เขาจะไม่โกรธได้อย่างไร เดิมทีพร้อมพรักสรรพสิ่ง กระทั่งราชโองการก็ร่างเสร็จแล้ว สุดท้ายจู่ๆ พลิกผันกะทันหัน ฟังว่าคืนนั้นจักรพรรดิรับสั่งให้ทวงราชโองการที่ส่งถึงกองอุทธรณ์ฎีกากลับคืนไปทันที และไม่ทรงเอ่ยถึงเรื่องปลดรัชทายาทอีกเลย
วั่นอัน เผิงหวา และอิ่นจื๋อต่างสบตากัน ล้วนลอบถอนหายใจ
ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นทุกปี แต่จักรพรรดิกำลังจะปลดรัชทายาทก็พลันเกิดแผ่นดินไหว เหตุการณ์เช่นนี้แทบไม่เคยปรากฏ อีกทั้งจุดเกิดแผ่นดินไหวยังเป็นเขาไท่ซาน นี่ต่างหากคือประเด็นสำคัญของปัญหา หากเกิดแผ่นดินไหวที่อื่น ต่อให้พวกหลิวเจี้ยนพร่ำพูดจนเพดานถล่ม จักรพรรดิก็คงไม่ถึงกับเปลี่ยนพระทัย
แต่บัดนี้กล่าวอันใดล้วนสายเกิน ด้วยนิสัยเรรวนปรวนแปรของจักรพรรดิ เมื่อใดที่หดเข้ากระดอง ใคร่จะให้พระองค์ตัดสินพระทัยอีกคงยากเย็นแล้ว
ทั้งหมดที่พวกเขาวางแผนมาล้มเหลวสิ้นเชิง
วั่นทงยังสามารถบันดาลโทสะอยู่ที่นี่ แต่สิ่งที่วั่นอันประสบในสภาขุนนางวันนี้ยังชวนหนักใจกว่าเขาเสียอีก
ไม่ต้องพูดถึงพวกหลิวเจี้ยน สวีผู่ และถังฟั่นที่ยิ้มร่าหน้าระรื่นต่อหน้าเขาปานใด แม้กระทั่งหลิวจี๋ซึ่งเดิมตกลงกับตนเป็นอย่างดีก็ทำเป็นมองไม่เห็นเขาเช่นกัน ทั้งๆ ที่เป็นงานราชการที่ต้องนั่งลงหารือกันแท้ๆ หลิวจี๋กลับหาข้ออ้างหลบเลี่ยงหน้าตาเฉย แม้แต่หนังสือยังใช้เสมียนนำมาส่ง
นับแต่วั่นอันเป็นราชเลขาธิการมา ไหนเลยจะเคยประสบสภาพเช่นนี้ จึงโมโหจนจมูกบิดจมูกเบี้ยว
แต่แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า
ความจริงวั่นอันเองก็หวั่นใจ รัชทายาทดวงแข็งปานใดกันแน่ ครั้งยังเยาว์ได้รับความทุกข์ทรมานก็มิได้ลาโลกก่อนวัยเฉกเช่นรัชทายาทเต้ากง ยังคงเติบใหญ่อย่างไร้เภทไร้ภัย พวกเขาถึงขนาดเข็นเอาเรื่องการโคจรของดวงดาวออกมาแล้ว หากอีกฝ่ายยังคงรอดพ้นวิบัติไปได้
หรือรัชทายาทมีดวงชะตาแห่งโอรสมังกรแท้จริง?
เช่นนั้นคนที่ฝืนลิขิตสวรรค์เฉกเช่นพวกเขาเหล่านี้นับเป็นตัวอันใด
ความประหวั่นระคนสนเท่ห์เหล่านี้ฝังลึกอยู่ในใจ วั่นอันไม่เคยบอกเล่าต่อผู้ใดมาก่อน
แต่เขารู้สึกว่าเผิงหวาและอิ่นจื๋ออาจคิดเช่นนี้เหมือนตน เพียงแต่ใครก็ไม่กล้าพูดออกมา
วั่นทงเห็นทั้งสามคนล้วนนิ่งเงียบ เพลิงที่สุมอกพลันโชติช่วงขึ้นมา เอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม “หยวนเวิง เวลานี้จะเอาอย่างไร ท่านช่วยออกความคิดอะไรสักอย่างเถอะ”
วั่นอันหัวเราะขื่น “เรื่องราวถึงขั้นนี้ ที่ควรทำล้วนทำแล้ว พวกเรายังมีวิธีอันใด ข้าหมดปัญญาแล้วจริงๆ”
วั่นทงเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ทุกท่านอย่าได้หลงลืม ก่อนนี้ตอนยุยงฝ่าบาทปลดรัชทายาท ทุกท่านล้วนแสดงท่าทีชัดเจน หากไม่รีบคิดหาหนทาง รอจนรัชทายาทขึ้นบัลลังก์ ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่ลาภยศเงินทองเลย กระทั่งชีวิตก็คงรักษาไม่อยู่แล้ว”
อิ่นจื๋อกระแอมคำหนึ่ง “รัชทายาทอุปนิสัยอ่อนโยนคล้ายพระบิดา เรื่องราวไม่แน่จะร้ายแรงถึงขั้นนั้น”
วั่นทงเดือดจัด “หมายความว่าพวกท่านตัดสินใจจะเอาชีวิตในวันหน้าประเคนใส่มือผู้อื่นแล้ว?”
เหตุที่วั่นทงตึงเครียดปานนี้เนื่องเพราะเขาเป็นพระญาติสายนอก พระญาติสายนอกโดยเนื้อแท้ไม่เหมือนกับขุนนางบุ๋น พวกวั่นอันยืนผิดฝั่ง คล้อยตามผิดคน อย่างมากก็ถูกริบตำแหน่งไล่ไปทำนา แต่หากจักรพรรดิสวรรคต วั่นกุ้ยเฟยปราศจากที่พึ่งพิง พวกเขาอาจต้องเผชิญกับจุดจบที่อเนจอนาถยิ่งกว่า
เฉกเช่นที่ตัวเขากล่าวไว้ ชะตากรรมในภายหน้าล้วนขึ้นอยู่กับความคิดชั่ววูบของเจ้าเหนือหัวคนใหม่
อิ่นจื๋อหัวเราะแห้งๆ “กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูก…”
วั่นทงแค่นเสียงฮึ “ท่านอย่าลืมว่าเวลานี้บุตรชายท่านยังถูกขังอยู่ที่หน่วยองครักษ์เสื้อแพร ข้าไปขอคน สุยก่วงชวนไม่ยอมให้ บอกว่ายังไต่สวนไม่เรียบร้อย สุยก่วงชวนเจ้าสุนัขรับใช้ฉวยโอกาสข่มเหงซ้ำเติม มิใช่เพราะสนิทสนมกับขุนนางบุ๋นกลุ่มนั้นหรือ ทุกวันนี้พี่สาวข้ายังอยู่ เขายังกล้าสามหาวปานนี้ หากรอถึงวันหน้า…ท่านคิดว่าบุตรชายท่านยังมีอีกกี่ชีวิตให้ทรมาน!”
ถูกเขาพูดเช่นนี้ อิ่นจื๋อจึงหุบปากแล้ว
เผิงหวาเห็นสีหน้าของทั้งสองจึงตั้งท่าจะกล่าวอันใดเพื่อไกล่เกลี่ย พลันเห็นด้านนอกมีคนผลุนผลันเข้ามารายงานต่อวั่นทง “นายท่าน มีคนมาจากในวังบอกต้องการพบท่าน”
วั่นทงถาม “ใคร”
อีกฝ่ายตอบ “เป็นเสี่ยวหลิว”
เห็นชัดว่าวั่นทงรู้จักคนผู้นี้ ทั้งยังค่อนข้างสนิทด้วย “ให้เขาเข้ามา”
ผู้มาคือขันทีหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดสีดำและสวมหมวกอย่างชาวบ้านทั่วไป
พอเข้าสู่ด้านใน วั่นทงจึงถาม “เสี่ยวหลิว เหลียงกงกงให้เจ้ามาหรือพี่สาวข้าให้เจ้ามา”
ขันทีที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวหลิวผู้นี้ ทุกวันนี้ปฏิบัติหน้าที่เหมือนวังจื๋อเมื่อครั้งอยู่ในตำหนักเจาเต๋อ ปรนนิบัติรับใช้วั่นกุ้ยเฟย แต่เขายังเป็นศิษย์ของเหลียงฟังขันทีรักษาลัญจกรสำนักตรวจฎีกาอีกด้วย ดังนั้นวั่นทงจึงถามเช่นนี้
เสี่ยวหลิวตอบ “ผู้น้อยรับคำสั่งเหลียงกงกง มีธุระหารือร่วมกับใต้เท้าทุกท่าน”
วั่นทงรู้สึกผิดหวัง เขาเข้าใจว่าเสี่ยวหลิวเป็นพี่สาวตนส่งมา แต่เขายังคงโบกมือให้บ่าวซ้ายขวาล่าถอย ก่อนกล่าวน้ำเสียงหงุดหงิด “เหลียงกงกงให้เจ้ามาแจ้งว่าฝ่าบาทไม่ยอมปลดรัชทายาทใช่หรือไม่ เรื่องนี้พวกเรารู้ตั้งนานแล้ว”
“ใต้เท้าเข้าใจผิดแล้ว เหลียงกงกงทราบว่าใต้เท้าทุกท่านล่วงรู้แล้ว ที่ผู้น้อยรุดมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
“รีบว่ามา อย่ามัวแต่อมพะนำ” วั่นทงขึ้นเสียง
เสี่ยวหลิวระบายยิ้ม ถ่ายทอดวาจาตามที่ตนได้รับคำสั่งออกมารอบหนึ่ง
วั่นอันฟังจบ สีหน้าแปรเปลี่ยนในบัดดล “เรื่องนี้ทำไม่ได้เด็ดขาด”
วั่นทงตอนแรกยังใคร่ครวญ ครั้นได้ยินวาจาของวั่นอันพลันไม่สบอารมณ์ขึ้นมา “มีอันใดกระทำไม่ได้ ข้าว่าความคิดนี้ไม่เลวทีเดียว”
เผิงหวากับอิ่นจื๋อสีหน้าปรวนแปรไม่แน่นอน หากก็มิได้โต้แย้งวั่นทง
วั่นอันถึงกับสุ้มเสียงเปลี่ยน “พวกเจ้าเสียสติไปแล้ว เรื่องนี้หากรั่วไหลออกไป เจ้า…พวกเราล้วนจบ…”
ท่าทีของทุกคนในที่นั้นผิดแผกกัน วั่นทงโหดเหี้ยม วั่นอันตื่นตระหนก เผิงหวาสงบนิ่ง อิ่นจื๋อรวนเร
เสี่ยวหลิวเห็นชัดในสายตา มิได้กระโตกกระตาก
วั่นทงปั้นหน้าเครียด “ขอเพียงวางแผนให้รัดกุม ย่อมปราศจากความเสี่ยงที่จะถูกเปิดโปง!” เขามองเผิงหวาและอิ่นจื๋อ “พวกท่านคิดว่าอย่างไร”
เผิงหวากลับถามเสี่ยวหลิว “เรื่องนี้พวกเรามั่นใจได้กี่ส่วน”
เสี่ยวหลิวตอบน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่แปดเก้าส่วน อย่างน้อยก็ต้องเจ็ดแปดส่วน เหลียงกงกงวางแผนไว้แล้ว ใต้เท้าทุกท่านโปรดวางใจ”
อิ่นจื๋อกล่าว “เช่นนั้นวั่นกุ้ยเฟยเล่า ทราบเรื่องนี้หรือไม่”
เสี่ยวหลิวยิ้มๆ “ขอรับ กุ้ยเฟยเสนอความคิดนี้ต่อเหลียงกงกงตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อน ไม่มีผู้ใดรู้จักฝ่าบาทลึกซึ้งเท่าพระนางอีกแล้ว พระนางกล่าวว่าฝ่าบาทมิใช่คนเด็ดขาดมาแต่ไหนแต่ไร ใต้เท้าทุกท่านใช้ปรากฏการณ์ดวงดาวโน้มน้าวพระองค์ ผลสุดท้ายอาจล้มเหลวกลางคัน แต่เวลานั้นกุ้ยเฟยกับเหลียงกงกงล้วนยังมิได้ตัดสินใจ ดังนั้นจึงไม่ได้บอกเล่าให้ใต้เท้าทุกท่านทราบ เวลานี้กลับต้องทุบขวานล่มจมเรือ มิอาจไม่กระทำแล้ว”
วั่นทงตบโต๊ะดังปัง “มิผิด! พูดถูกต้อง เรื่องนี้เหมือนลูกธนูพาดอยู่บนสาย ไม่อาจไม่ยิง เวลาเช่นนี้หากใครยังหัวหด…” เขากวาดมองพวกวั่นอันแวบหนึ่งขณะกล่าวเสียงอำมหิต “…เท่ากับเป็นศัตรูกับข้าวั่นทง เป็นปฏิปักษ์ต่อพี่สาวข้า!”
วั่นอันเผยอริมฝีปากเล็กน้อย จนแล้วจนรอดก็มิได้เปล่งเสียงออกมา
จักรพรรดิไม่ทรงเอ่ยถึงเรื่องการปลดรัชทายาทอีกแล้ว
เว้นแต่พวกนักเสี่ยงโชคที่ใคร่แสวงหาความร่ำรวยเหล่านั้น คนอื่นๆ ล้วนผ่อนลมหายใจโล่งอก
รัชทายาทองค์นี้ได้รับแต่งตั้งเป็นประมุขตำหนักบูรพาตั้งแต่หกพรรษา ถึงบัดนี้เป็นเวลาสิบปีกว่าแล้ว เขาได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างที่ประมุขตำหนักบูรพาพึงได้รับ ตระหนักถึงกิจการงานที่ประมุขตำหนักบูรพาพึงกระทำหรือไม่พึงกระทำ เขาสุภาพนอบน้อม ไม่เคยวางมาดกดขี่ผู้อื่น ให้ความเคารพยำเกรงต่ออาจารย์และผู้อาวุโส ให้ความเอื้ออารีต่อบริวารซ้ายขวา นี่คือว่าที่กษัตริย์ผู้เปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรมที่เหมาะสมที่สุดในสายตาของทุกผู้คน
เขาอาจมิใช่ยอดคนจอมวางแผนเช่นจักรพรรดิหงอู่ และปราศจากความทะเยอทะยานแผ่ขยายอาณาเขต แต่นั่นกลับมิใช่ปัญหา เพราะที่อาณาจักรยิ่งใหญ่เกรียงไกรถึงทุกวันนี้ได้มีระบบการปกครองที่สมบูรณ์พร้อม ตั้งแต่มหาเสนาบดีสภาขุนนางจนถึงขุนนางแต่ละท้องถิ่น กล่าวอย่างจาบจ้วงคือต่อให้ไม่มีจักรพรรดิบัญชาการ ต้าหมิงยังคงสามารถดำเนินงานต่างๆ ได้ดุจเดิม ดังนั้นบทบาทสูงสุดของจักรพรรดิก็คือใดๆ ล้วนไม่ต้องกระทำ
โบราณกล่าวว่าโอรสสวรรค์ดำเนินตามกรอบของอดีตโอรสสวรรค์ นี่คือคติพจน์อันเป็นสัจธรรม
ก่อนหน้านี้จักรพรรดิดึงดันจะปลดรัชทายาทให้ได้ คนจำนวนมากแม้ไม่ปริปาก หากในใจไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน ซิงอ๋องนับแต่เริ่มแรกก็มิได้ถูกเลี้ยงดูให้เป็นรัชทายาท การอบรมสั่งสอนที่เขาได้รับทั้งหมดย่อมมีความแตกต่างจากรัชทายาท ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องเพราะมารดาบังเกิดเกล้าของเขาคบหาใกล้ชิดกับวั่นกุ้ยเฟย ส่งให้ทุกคนบังเกิดความรู้สึกกริ่งเกรง เพียงแต่จักรพรรดิตัดสินพระทัยเด็ดขาด กอปรกับการโคจรของดวงดาวเกื้อหนุน ทุกคนคัดค้านไปก็ไร้ผล
ครานี้ประเสริฐแล้ว แม้กระทั่งสวรรค์เบื้องบนยังไม่สบอารมณ์ต่อความอยู่ไม่สุขของจักรพรรดิ ถึงอาศัยแผ่นดินไหวที่เขาไท่ซานมาเตือนสติ จักรพรรดิจึงไม่อาจดูดาย เรื่องราวพลิกผันเฉียบพลัน ทำให้ผู้คนอดอุทานมิได้ หรือรัชทายาทจะเป็นผู้ที่สวรรค์ลิขิตแท้จริง บททดสอบหลายต่อหลายครั้งยังไม่อาจสั่นคลอนฐานะของเขาได้
หลังความวุ่นวายเรื่องการปลดรัชทายาทยุติลง พวกถังฟั่นล้วนปรารถนาให้เรื่องราวยุติแต่เพียงนี้ หากเป็นไปได้พวกเขาอยากถลันถึงเบื้องหน้าจักรพรรดิแล้วบอกว่า ‘ฝ่าบาท พระองค์ก็วุ่นวายพอแล้ว พวกเรามาใช้ชีวิตกันอย่างสงบๆ สักหลายวันจะได้หรือไม่’
ทว่าหากโอรสสวรรค์องค์นี้อยู่นิ่งๆ เช่นนั้นก็ไม่ใช่นิสัยของเขาแล้ว
หลายวันผ่านไปพระองค์ก็ขับขานท่วงทำนองเดิม รับสั่งว่าในวันที่ตำหนักฉงเจินวั่นโซ่วแล้วเสร็จจะออกจากวังไปอธิษฐานขอพร
รับสั่งนี้พอออกมา แน่นอนข้าราชสำนักย่อมส่งเสียงคัดค้านระเบ็งเซ็งแซ่อีกคำรบหนึ่ง
เหล่าขุนนางไม่เพียงรู้สึกว่าจักรพรรดิเสด็จออกจากวังเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ สำคัญกว่านั้นคือจักรพรรดิพระวรกายไม่แข็งแรง หากเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดขึ้นมาระหว่างอยู่นอกวัง ถึงเวลานั้นคงโกลาหลยกใหญ่ ดังนั้นจึงคัดค้านหัวชนฝา โดยยกหลักการเหตุผลที่ว่าพิธีรีตองใดตัดออกได้ก็ตัดออก
หนนี้จักรพรรดิมิได้ดึงดัน กลับยอมถอยก้าวหนึ่งเป็นเชิงว่า ‘พวกเจ้าไม่ให้ข้าออกจากวังก็ย่อมได้ แต่อย่างน้อยต้องให้รัชทายาทออกจากวังไปอธิษฐานขอพรแทนข้า’ ช่วงก่อนมีปรากฏการณ์บนท้องฟ้าติดต่อกัน ตามด้วยเขาไท่ซานเกิดแผ่นดินไหว ในเมื่อสวรรค์เบื้องบนส่งคำเตือน ทั้งมุ่งหมายไปที่รัชทายาท หากตำหนักบูรพาสามารถออกไปอธิษฐานขอพรแทนพระบิดา ไม่แน่ว่าสวรรค์อาจเห็นแก่ความจริงใจของรัชทายาท ประทานพระพลานามัยที่แข็งแรงให้พระองค์ก็เป็นได้
แม้พวกถังฟั่นจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะเหลวไหลเกินไป แต่จักรพรรดิทรงอ่อนข้อให้ถึงเพียงนี้ ทุกคนจึงวิตกว่าหากบีบคั้นเกินควรจะทำให้จักรพรรดิเกิดท่าทีสวนทาง ดีไม่ดีอาจกระทำเรื่องที่ชวนให้ปากอ้าตาค้างยิ่งกว่านี้ ดังนั้นจึงมิได้คัดค้านอีก
รัชศกเฉิงฮว่าปีที่ยี่สิบสาม เดือนหนึ่ง วันที่สอง รัชทายาทเสด็จตำหนักฉงเจินวั่นโซ่วทำพิธีอธิษฐานขอพร
นี่เป็นการออกจากวังครั้งแรกในชีวิตของรัชทายาท ตั้งแต่สภาขุนนางยันหกกรมเก้ากองล้วนเตรียมการอย่างรัดกุม โดยเฉพาะกรมพิธีการยิ่งระดมสรรพความคิด ด้วยเกรงว่าระหว่างทางจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน ขบวนเสด็จยิ่งใหญ่อลังการ โดยเฉพาะราชรถที่วัดขนาดตัวและสั่งทำเพื่อการนี้เป็นพิเศษคันนั้น ทั้งสูงใหญ่กว้างขวาง รัชทายาทอย่าว่าแต่นั่งอยู่ภายใน ต่อให้นอนกลิ้งหลายตลบก็ไร้ปัญหา
จากวังหลวงไปถึงตำหนักฉงเจินวั่นโซ่วขี่ม้าเป็นระยะเวลาราวหนึ่งชั่วยาม หากนั่งรถก็ยิ่งนานขึ้น เพราะถึงเวลานั้นจะมีขันทีนางในที่เดินเท้าตามเสด็จหลังราชรถอีกจำนวนมาก นี่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนเกียรติยศ ในเมื่อไปอธิษฐานขอพร มิใช่อพยพหนีภัย การเยื้องย่างของบรรดาชาววังย่อมต้องชดช้อยสวยงามเป็นสำคัญ เพื่อให้ราษฎรตลอดทางได้ชื่นชมพระบารมีอย่างทั่วถึง
ดังนั้นพิจารณาถึงจุดนี้ ราชรถจึงต้องกว้างขวางนั่งสบายเป็นพิเศษ เลี่ยงมิให้รัชทายาทต้องเหนื่อยล้ากับการเดินทางไปกลับที่กินเวลาเกือบสี่ชั่วยาม
แต่ถังฟั่นและพวกครุ่นคิดพิจารณามากกว่านั้น
สำหรับความรอมชอมกะทันหันของกลุ่มอำนาจวั่น พวกเขากลับมิได้ชะล่าใจ คนโดยมากหลังทราบข่าวรัชทายาทจะเสด็จออกจากวัง ง่ายมากที่จะคิดโยงไปถึงว่ากลุ่มอำนาจวั่นจะดิ้นรนสุดฤทธิ์หรือไม่ จะฉวยโอกาสนี้ลอบปลงพระชนม์รัชทายาทหรือไม่
ความจริงแล้วนี่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะตั้งแต่รัชทายาทลงจากราชรถ โดยรอบจะโอบล้อมด้วยทหารรักษาพระองค์หลายชั้น พวกเขาเตรียมพร้อมพลีชีพเพื่อปกปักรัชทายาททุกที่ทุกเวลา สุยโจวและวังจื๋อถือเป็นยอดฝีมือที่มีจำกัดในแผ่นดิน แต่ต่อให้เป็นพวกเขาก็ไม่มีทางลุล่วงภารกิจลอบสังหารรัชทายาทที่ยากเข็ญเช่นนี้ได้ และเป็นไปได้อย่างมากว่าก่อนอาวุธของพวกเขาจะถึงตัวรัชทายาทก็ถูกทหารรักษาพระองค์ที่กรูเข้ามาทั้งหน้าหลังบั่นทอนพละกำลัง จากนั้นก็หมดแรงขาดใจตาย
นับแต่สถาปนาราชวงศ์หมิงไม่เคยมีจักรพรรดิหรือรัชทายาทองค์ใดสวรรคตเพราะถูกลอบปลงพระชนม์ เนื่องเพราะระดับความยากของการนี้ค่อนข้างสูง หากมีผู้ใดใคร่กระทำ นั่นถือเป็นพฤติการณ์ที่โง่เขลามากอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้การลอบปลงพระชนม์ระหว่างทางถูกกำหนดให้ไม่มีวันเป็นจริง แต่มิได้หมายความว่าจะไม่มีหนทางอื่นแล้ว เพราะการซ่อมสร้างตำหนักฉงเจินวั่นโซ่วตั้งแต่ต้นจนเสร็จล้วนผ่านมือกลุ่มอำนาจวั่นทั้งสิ้น ถังฟั่นและพวกจึงวิตกว่ากลุ่มอำนาจวั่นจะฉวยโอกาสเล่นตุกติกอันใดหลังจากรัชทายาทเข้าสู่ตัวตำหนัก ดังนั้นจึงยกระดับความตื่นตัวขึ้น วังจื๋อถึงขนาดเสนอตัวตามเสด็จใกล้ชิดขณะที่รัชทายาทเข้าสู่ภายในตำหนัก ต่อมาจักรพรรดิก็ทรงเห็นชอบ
มีวังจื๋อคุ้มครองด้านข้างย่อมไม่ต้องวิตกว่ารัชทายาทจะมีอันตรายใด
ถึงกระนั้นก็ตาม ในนี้ยังอาจมีช่องโหว่เล็กๆ น้อยๆ ดำรงอยู่
ตัวอย่างเช่นตามหมายกำหนดการมีช่วงตรงกลางราวหนึ่งชั่วยาม รัชทายาทจำเป็นต้องรั้งอยู่ตามลำพังในห้องทำสมาธิ อธิษฐานต่อสวรรค์เบื้องบนเพื่อพระพลานามัยของจักรพรรดิและความสงบร่มเย็นของแผ่นดิน ขั้นตอนนี้ไม่อาจมีผู้ใดรบกวน ต่อให้เป็นวังจื๋อและขุนนางผู้ใหญ่อื่นๆ ก็จำต้องรอคอยอยู่นอกห้อง
เวลาหนึ่งชั่วยามนี้ ภายในห้องทำสมาธิเกิดเหตุอันใดล้วนไม่มีผู้ใดทราบ
หลิวเจี้ยนและถังฟั่นอยากตัดขั้นตอนนี้ออกใจจะขาด โดยให้รัชทายาทแค่จุดธูปกราบไหว้ต่อหน้าฝูงชน แล้วเดินทางกลับวังก็พอ
แต่จักรพรรดิทรงคิดว่าพระองค์ยอมถอยให้หลายก้าวแล้ว ครานี้จึงยืนกรานไม่ยอมให้ลดขั้นตอนอีก
ในฐานะพระโอรส รัชทายาทไม่เพียงมิอาจโต้แย้ง ตรงข้ามยังต้องเป็นฝ่ายถวายฎีกาแสดงออกว่าตนเองเต็มใจอธิษฐานขอพรเพื่อพระบิดา
เรื่องราวติดขัดอยู่นาน ทุกคนต่างถอยก้าวหนึ่ง ปรับจากหนึ่งชั่วยามเป็นหนึ่งก้านธูป รัชทายาทเพียงรั้งอยู่ในห้องทำสมาธิเป็นเวลาชั่วธูปไหม้หมดก็ใช้ได้ และก่อนรัชทายาทเข้าตำหนัก องครักษ์เสื้อแพรจะตรวจสอบทั้งในและนอกตำหนักอย่างละเอียดรอบหนึ่งเพื่อรับรองว่าไม่มีบุคคลต้องสงสัยแฝงตัวอยู่
หลังการจัดเตรียมอันชุลมุนวุ่นวาย ในที่สุดเดือนหนึ่งวันที่สองก็มาถึง
เนื่องจากรัชทายาทเป็นตัวแทนพระบิดาไปบวงสรวงบูชา ดังนั้นขุนนางเมืองหลวงตั้งแต่ขั้นสามขึ้นไปล้วนต้องตามเสด็จ ถังฟั่นก็อยู่ในรายชื่อเช่นกัน
ทว่าระหว่างขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งบุ๋นบู๊และราชพาหนะของรัชทายาทถูกคั่นกลางด้วยขบวนชาววังยาวเหยียด จนกระทั่งบรรลุถึงตำหนัก เริ่มทำพิธีเซ่นไหว้ สองฝ่ายจึงได้สมทบกัน
ตลอดเส้นทางยังมีประชาชนไม่น้อยได้ยินข่าวว่ารัชทายาทจะเสด็จผ่าน จึงพร้อมใจออกมาคุกเข่าเฝ้าชมพระบารมี
ทหารรักษาพระองค์ตั้งแถวเป็นกำแพงมนุษย์ กันผู้คนไว้นอกถนน เพียงอนุญาตให้ชมดูอยู่ห่างๆ แต่พวกชาวบ้านตื่นตาตื่นใจกับความอลังการของขบวนเสด็จ ถูกบรรยากาศแพร่ระบาดใส่ พากันตะโกนคำ ‘จักรพรรดิทรงพระเจริญ’ ‘รัชทายาททรงพระเจริญ’ อย่างอดใจไม่อยู่ ตื้นตันน้ำตาปริ่ม สุดระงับยับยั้งความรู้สึก บรรยากาศอึกทึกครึกโครมยิ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือภาพที่สร้างความเปรมปรีดิ์และปลาบปลื้มต่อเจ้าแผ่นดินไม่ว่าองค์ใดก็ตาม มนุษย์ทุกคนเกิดมาล้วนมีด้านหนึ่งที่ศิโรราบกราบกรานต่อพลังอำนาจ ดังนั้นบัลลังก์มังกรตัวหนึ่งจึงมีผู้แก่งแย่งกันจนหัวร้างข้างแตกมาตั้งแต่อดีตกาล เพียงเสียดายเพราะเสียงคัดค้านของเหล่าขุนนาง สุดท้ายจักรพรรดิเฉิงฮว่าก็มิได้เสด็จออกมา ไม่เช่นนั้นหากทอดพระเนตรเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ คะเนว่าต่อไปพระองค์ต้องทรงยินดีเสด็จออกมาทุกเดือนเป็นแน่
พระจริยวัตรของรัชทายาทตลอดการเดินทางล้วนเป็นที่พึงพอใจของทุกคน หากเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบกว่าทั่วไป เกรงว่าช่วงเวลาเช่นนี้คงอดใจไม่อยู่ต้องชะโงกหน้าออกมานอกรถเพื่อชมดูความครึกครื้นแล้ว แต่อย่างไรรัชทายาทก็มิใช่เด็กหนุ่มทั่วไป บนตัวเขาแบกรับชะตากรรมในอนาคตของทั้งแผ่นดินอยู่ ประกอบกับผ่านวัยเด็กอันเต็มไปด้วยอุปสรรคยากเข็ญเช่นนั้น จึงส่งผลให้รัชทายาทสุขุมลุ่มลึกกว่าปกติ กิริยามารยาทไม่มีขาดตกบกพร่อง เจรจาพาทีเหมาะสมไร้ที่ติ เมื่อเปรียบเทียบกับโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันซึ่งพึ่งพาไม่ได้ ความรู้สึกตื้นตันที่อนาคตของแผ่นดินมีความหวังพลันจุดประกายขึ้นในจิตใจมวลชน
ต่างจากความรู้สึกตื่นเต้นยินดีของเหล่าขุนนางที่ยามปกติแทบไม่เคยเจอะเจอรัชทายาท พวกหลิวเจี้ยนและถังฟั่นล้วนตื่นระวังตลอดการเดินทาง เกรงจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใด
ทว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน พิธีสักการะราบรื่นมาก ไม่ปรากฏสถานการณ์วุ่นวายเฉกเช่นที่ผู้คนวิตก เหตุไม่คาดฝันหนึ่งเดียวก็คือขณะรัชทายาทเสด็จเดินทางมีฝนตกโปรยปรายลงมา เสื้อผ้าอาภรณ์ของทุกคนล้วนเปียกชื้น บวกกับอากาศเย็น ช่างเป็นรสชาติที่สุดพรรณนาจริงๆ ขุนนางจำนวนมากหลังกลับไปต่างล้มป่วย ถังฟั่นก็ไม่ยกเว้น
นี่ส่งผลให้เขาต้องลาหยุดอยู่กับบ้าน ทั้งวันถูกสุยโจวจับจ้องให้ดื่มยา ความขมขื่นเกินรำพัน ไม่อาจบอกกล่าวต่อผู้ใด
“ข้าหายดีแล้วจริงๆ ไม่ต้องดื่มยาแล้ว ท่านดูสีหน้าข้า เทียบกับวันก่อนแตกต่างมากใช่หรือไม่” ถังฟั่นห่มตัวด้วยเสื้อคลุมหนาเตอะ…นี่เป็นสุยโจวบังคับให้เขาใส่ ปั้นหน้าขื่นขมพลางกล่าว
น้อยคนนักที่สามารถเอาความรู้สึกว้าวุ่น ทุกข์ขม ปวดร้าว วิงวอน และน้อยใจมาผสมกลมกลืนอยู่บนใบหน้า ทว่าถังฟั่นทำได้แล้ว
เพียงเสียดาย คู่สนทนาของเขาไม่อนาทร “ข้าป้อนเจ้าได้”
ใช้อะไรป้อน
แน่นอนว่าไม่ใช่ช้อน