everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 3 #นิยายวาย
วังจื๋อขอเข้าเฝ้ากลางดึกนับว่าผิดปกติ ย่อมถูกสกัดไว้นอกวังเป็นธรรมดา คนของตำหนักบูรพาบอกเขาว่ารัชทายาทบรรทมแล้ว
แต่ใช่ว่าวังจื๋อจะไม่มีวิธีการ เขานำกระแสรับสั่งของพระพันปีมาด้วย “พระพันปีทรงกำลังสดับธรรม ขณะได้ยินถึง ‘บทสวดเย่าซือ’ ทรงเห็นว่ารัชทายาทประชวร จึงรับสั่งให้ข้านำพระคัมภีร์ที่ผ่านการปลุกเสกแล้วมาถวาย อาจช่วยให้รัชทายาทหายประชวรเร็วขึ้น”
ในเมื่อมีรับสั่งของพระพันปี นางกำนัลย่อมไม่กล้าขัดขวางอีกและเข้าไปรายงาน
ชั่วอึดใจผ่านไป นางกำนัลกลับออกมาแจ้งว่ารัชทายาทตื่นแล้ว ทรงยินดีพบเขา
ฟังว่าวังจื๋อรุดมา ตำหนักบรรทมซึ่งดับไฟหมดแล้วได้จุดเทียนไขแท่งใหญ่เท่าแขนขึ้นใหม่ เปลวแสงสั่นไหวส่องสว่างไปครึ่งโถง
ม่านหน้าแท่นบรรทมถูกตลบขึ้นครึ่งหนึ่ง รัชทายาททรงนั่งกอดผ้าห่มอยู่บนพระแท่น กำลังทำท่าจะลงมาผลัดฉลองพระองค์
วังจื๋อรีบห้ามไว้ “ทรงนั่งเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทก็ไม่ฝืน เพียงส่งยิ้มให้วังจื๋อ สีพระพักตร์อ่อนเพลียซูบเซียว “ลำบากวังกงกงแล้ว ฝากขอบพระทัยเสด็จย่าแทนข้าด้วย รออีกสองสามวันหายดีแล้วจะรุดไปขอบพระทัยเสด็จย่าด้วยตนเองอีกที”
กิริยาวาจาของรัชทายาทหามีความผิดปกติไม่ กระทั่งน้ำเสียงในยามพูดก็เหมือนเคย แม้วังจื๋อมิได้พบเจอรัชทายาททุกวัน แต่เขาก็สนทนากับอีกฝ่ายอยู่บ่อยๆ อย่างน้อยเท่าที่วังจื๋อสังเกตก็ไม่พบเห็นพิรุธอันใด
แต่หลายวันนี้รัชทายาทผ่ายผอมลงมาก สองแก้มซูบตอบ ขอบตาก็ดำคล้ำเล็กน้อย ชวนให้ตกใจอยู่บ้าง
“รัชทายาทไยต้องเกรงใจ ไหวกงกงเป็นห่วงพระองค์มาก หากทราบว่าพระองค์ประชวร เขาคงร้อนรุ่มใจมาก”
รัชทายาทได้ฟังก็ยิ้มหมอง “เป็นข้าไม่ได้ความ ปกป้องไหวเอินไม่ได้ ข้า…ข้าผิดต่อเขาจริงๆ”
คำนี้ปราศจากช่องโหว่ วังจื๋อคิดในใจ
จากนั้นเขาเห็นรัชทายาทไอโขลกอย่างรุนแรง การไอเช่นนี้แทบทำให้ผู้พบเห็นใจสั่นขวัญผวา
นางกำนัลด้านข้างรีบเข้ามาลูบหลังให้รัชทายาท
วังจื๋อกวาดตาชำเลืองแวบหนึ่งจึงถาม “องค์รัชทายาท ไฉนไม่เห็นชุยหย่ง”
ที่เขาถามถึงคือขันทีคนสนิทของรัชทายาท
รัชทายาทกล่าว “ข้าไอทั้งคืนจนนอนไม่หลับ เดิมทีหมอหลวงจัดยาลูกกลอนมาให้จำนวนหนึ่ง แต่กินหมดแล้ว ชุยหย่งจึงไปขอให้ข้าใหม่”
เขาหันถามซ้ายขวา “เขายังไม่กลับมาหรือ”
นางกำนัลตอบ “เพคะ ขันทีชุยไปได้ครึ่งชั่วยามแล้ว”
คำนี้ก็ไม่มีปัญหา จนถึงตอนนี้วังจื๋อยังจับผิดอันใดไม่ได้ เขาตัดสินใจออกจากตำหนักบูรพา แล้วไปสำรวจดูที่สำนักหมอหลวง
ขณะที่นางกำนัลพูดอยู่ เขาเหลือบเห็นนิ้วก้อยซ้ายของรัชทายาทโดยบังเอิญ
ร่างกายครึ่งล่างของอีกฝ่ายคลุมปิดด้วยผ้าห่ม สองมือย่อมวางอยู่ด้านข้างเป็นธรรมดา มือซ้ายกำผ้าห่มไว้หลวมๆ นิ้วก้อยถูกผ้าห่มบังไว้พอดี วังจื๋อจะเข้าไปคว้าขึ้นมาตรวจดูก็ใช่ที่
“วังกงกง?”
วังจื๋อคืนสติ “รัชทายาทมีรับสั่งใด”
รัชทายาทผุดยิ้มอ่อนใจ “เมื่อครู่ข้าถามว่าท่านดำรงตำแหน่งใหม่คุ้นเคยหรือไม่ จะให้ข้าทูลขอต่อเสด็จพ่อให้ท่านกลับมาอยู่สำนักทหารม้าส่วนพระองค์หรือไม่”
วังจื๋อสั่นหน้า “ขอบพระทัยในความปรารถนาดี เพียงแต่เรื่องนี้ให้พระองค์ไปทูลคงไม่เหมาะสม เลี่ยงมิให้เดือดร้อนถึงพระองค์ ยังคงอย่าได้เอ่ยถึงจะดีกว่า”
รัชทายาทพอฟังก็ถอนใจและมิได้กล่าวอันใดอีก
นางกำนัลทูลขึ้นเบาๆ “ถึงเวลาเสวยพระโอสถแล้วเพคะ”
วังจื๋อไม่กล้าดึงดันอยู่ต่อ ได้ยินเข้าก็รีบทูลลา
ระหว่างเขากับรัชทายาทอย่างไรก็ไม่สนิทสนมเช่นไหวเอินกับรัชทายาท หากไหวเอินยังอยู่ที่นี่จะยิ่งสามารถแยกแยะได้ดีกว่าเขาว่ารัชทายาทมีปัญหาหรือไม่
เสียดายไหวเอินเวลานี้ยังจุดธูปให้บรรพกษัตริย์ในหนานจิง เกรงว่าต่อให้ลงแส้เฆี่ยนม้าก็คงมาไม่ทันแล้ว
วังจื๋อออกจากตำหนักบูรพาแล้วเลยไปที่สำนักหมอหลวง
ชุยหย่งอยู่ที่นั่นจริง เพราะยาลูกกลอนต้องทำสด เขากำลังช่วยหมอหลวงอยู่ข้างใน วังจื๋อสอบถามเขาสองคำ ไม่พ้นเรื่องอาการประชวรของรัชทายาท พิจารณาจากน้ำเสียงของชุยหย่ง เขาก็ไม่รู้สึกว่ารัชทายาทมีอันใดผิดปกติไป
เที่ยวนี้วังจื๋อไม่ได้อะไรติดมือสักอย่าง
เขาเกือบสงสัยว่าเป็นเพราะตนชอบแกล้งถังฟั่นบ่อยๆ ดังนั้นอีกฝ่ายเสาะโอกาสพบจึงหันมาแกล้งตนคืนใช่หรือไม่
ทว่าความคิดนี้ผุดขึ้นเพียงวูบก็หายวับ วังจื๋อตระหนักดีว่าถังฟั่นมิใช่คนประเภทนั้น ในเรื่องเป็นงานเป็นการเขาไม่เคยเลอะเทอะมาก่อน
วังจื๋อกลับไม่ทราบ ถังฟั่นเองก็รับฟังมาจากองค์หญิงฉงชิ่งอีกที เนื่องเพราะการส่งต่อข่าวสารมีเว่ยเม่าคั่นกลาง เวลามีจำกัด ถังฟั่นหมดปัญญาแจกแจงรายละเอียดทั้งหมด เพียงให้เว่ยเม่าถ่ายทอดคำพูด ขอให้วังจื๋อสังเกตความผิดปกติของรัชทายาท
เพราะคำนี้ของถังฟั่น วังจื๋อจำต้องรุดไปหยิบคัมภีร์พระพุทธจากทางพระพันปีกลางดึกกลางดื่นแล้วนำส่งถึงตำหนักบูรพา ผลสุดท้ายกลับไม่พบเห็นพิรุธแต่อย่างใด
วังจื๋อกลับถึงที่พักของตนเอง ห้องพักในวังไม่สะดวกสบายเท่านอกวัง แต่ด้วยบารมีของวังจื๋อ ใคร่จะตกแต่งห้องหับของตนให้สุขสบายปานใดยังคงไม่เป็นปัญหา
เขาให้ขันทีใต้บัญชาต้มน้ำร้อน แช่น้ำอุ่นอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นขึ้นเตียง นั่งกอดผ้าห่มทบทวนเหตุการณ์
เพราะคลุกคลีกับถังฟั่นนานเข้า เขาก็พลอยเอาอย่างวิธีของอีกฝ่ายมาใคร่ครวญปัญหา ทว่าครุ่นคิดอยู่นานก็ยังคงไม่ได้อะไร
ช่างเถอะ เรื่องที่เปลืองสมองเช่นนี้สมควรยกให้ถังเหมาเหมา!
วังจื๋อดับไฟล้มตัวนอน
ทว่าเขากลับคิดไม่ถึง ยังไม่ทันรอให้ตนส่งข่าวออกนอกวัง วันรุ่งขึ้นหรือก็คือวันที่ห้า วันแรกของการเริ่มกลับไปปฏิบัติกิจวัตรของเหล่าขุนนางข้าราชสำนัก ถังฟั่นก็ถูกฟ้องร้องเสียแล้ว
มูลเหตุที่ถังฟั่นถูกฟ้องร้องเป็นเพราะมีคนเห็นเขาเข้าออกคฤหาสน์ของวังจื๋อซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวง และคืนวันนั้นเองวังจื๋อก็ไปตำหนักบูรพาเข้าเฝ้ารัชทายาท
สมาชิกสภาขุนนางกับขันทีไม่ควรใกล้ชิดเกินควร นี่เป็นกฎ
ไม่ต้องสนใจว่าระหว่างสองฝ่ายที่แท้มีความเกี่ยวพันโดยตรงหรือไม่ เฉพาะความประจวบเหมาะด้านเวลาก็เพียงพอทำให้คนที่มีอกุศลจิตเชื่อมโยงเข้าด้วยกันแล้ว ดังนั้นข้อกล่าวหาที่ขุนนางทัดทานฟ้องร้องถังฟั่นจึงชัดเจนมาก นั่นก็คือสอดแนมฝ่ายใน แฝงเจตนาร้าย
ตามกระบวนการถังฟั่นต้องอยู่บ้านสำนึกผิด ไม่อาจไปทำงานที่สภาขุนนาง จากนั้นถวายฎีกาแก้ต่างให้ตนเอง
ทว่าระหว่างทางเกิดความผิดพลาดอันใดขึ้นมิทราบ ฎีกาของเขามิได้ถูกนำถวายต่อจักรพรรดิ เรื่องนี้จึงยืดเยื้อไม่มีกำหนด และเมื่อถังฟั่นไม่ได้รับการตอบกลับจากจักรพรรดิจึงต้องอยู่แต่ในบ้านต่อไป
นี่เป็นเรื่องที่ชวนให้ผู้คนหัวเราะมิได้ร่ำไห้มิออกโดยแท้ หลิวเจี้ยนกับสวีผู่มิใช่ไม่เคยไปหาราชเลขาธิการวั่น ขอให้เขาออกหน้าช่วยกราบทูลแทนถังฟั่น วั่นอันรับปาก หากความจริงแล้วเขาได้ไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิหรือไม่นั้นล้วนไม่มีผู้ใดทราบ เพราะตราบใดที่จักรพรรดิไม่มีรับสั่ง ถังฟั่นก็ยังไม่อาจกลับสภาขุนนาง
หลิวเจี้ยนและสวีผู่เองก็มองออกว่าวั่นอันกระทำอย่างขอไปที จึงขอเข้าเฝ้าจักรพรรดิด้วยตนเอง ใคร่จะทูลถามให้ชัดเจน สุดท้ายกลับได้รับแจ้งว่าจักรพรรดิประชวร ไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น
เรื่องราวถึงขั้นนี้ ถังฟั่นไหนเลยยังไม่ทราบ ความเคลื่อนไหวของฝ่ายตนได้ถูกคนจับตาอยู่นานแล้ว
เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา การติดต่อระหว่างเขากับวังจื๋อจำต้องถูกตัดขาดด้วยความจำใจ
วังจื๋อตอนแรกยังหวังให้ถังฟั่นช่วยคลายข้อกังขาให้ตน กลับมิคาดกลุ่มอำนาจวั่นจะชิงลงมือก่อน จัดการสะบั้นความช่วยเหลือจากภายนอกของเขาทิ้งไป
ถังฟั่นหยุดการติดต่อกับเขาชั่วคราว แน่นอนหากจะติดต่อจริงๆ ย่อมกระทำได้ เพียงแต่ทำเช่นนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะกลายเป็นมลทินให้ผู้อื่นจับผิด ผลักถังฟั่นเข้าสู่แดนอันตรายโดยสิ้นเชิง
แม้วังจื๋อจะมิใช่ผู้วิเศษที่ตอบแทนความแค้นด้วยคุณธรรม หากก็มิอาจกระทำเรื่องที่สร้างความเดือดร้อนต่อสหายได้
บัดนี้ได้แต่พึ่งลำแข้งตนเองแล้ว
ชีวิตในสำนักรักษาลัญจกรสงบสบายกว่าอยู่รับใช้ข้างพระวรกายจักรพรรดิมากนัก แต่วังจื๋อก็มิอาจวิ่งไปเข้าเฝ้ารัชทายาทบ่อยเกินควร หากเอะอะก็เข้าออกตำหนักบูรพาอาจง่ายต่อการตกเป็นเป้าสายตาผู้อื่น ชักนำความยุ่งยากใส่ตัว
เขาจำเป็นต้องเสาะหาช่องทางอื่น
วังจื๋อหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข่าวสารที่ถังฟั่นส่งต่อให้เขานั้นจะผิดพลาด รัชทายาทปราศจากพิรุธแต่อย่างใด
ทว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่กลุ่มอำนาจวั่นกระทำมาทั้งหมดก็จะแปลกประหลาดอย่างชัดเจน
เพราะการให้รัชทายาทไปอธิษฐานขอพรแทนจักรพรรดิเป็นความคิดของวั่นกุ้ยเฟย และการชี้นำขุนนางทัดทานให้ฟ้องร้องถังฟั่น เบื้องหลังก็สามารถเห็นเงาดำของกลุ่มอำนาจวั่นอยู่รางๆ
สมมติว่าไม่มีแผนร้าย ไยกลุ่มอำนาจวั่นต้องวุ่นวายกระทำเรื่องเหล่านี้ด้วย
แต่ถ้าบอกว่ามีแผนร้าย หรือฝนตกจนทำให้รัชทายาทประชวรก็เป็นสิ่งที่กลุ่มอำนาจวั่นสามารถคาดคำนวณได้?
หากพวกนั้นขวัญกล้าถึงขั้นสับเปลี่ยนรัชทายาท แล้วโอกาสนั้นมาจากที่ใด
เขายังจำได้ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำพิธี ตอนนั้นเขากับถังฟั่นและคนอื่นๆ ยังได้ประเมินสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นกับรัชทายาทเอาไว้ล่วงหน้า
สุดท้ายพวกเขาพบว่าความสุ่มเสี่ยงที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือช่วงเวลาหนึ่งก้านธูปที่รัชทายาทเข้าสู่ตำหนักฉงเจินวั่นโซ่ว
เพราะนั่นจะมีเพียงรัชทายาทอยู่ในห้องทำสมาธิตามลำพัง หากมีคนแฝงตัวอยู่ในนั้นแต่แรก ฉวยโอกาสลอบสังหาร ผู้ใดล้วนมิอาจป้องกันได้
ด้วยเหตุนี้คืนก่อนวันเดินทาง สุยโจวได้นำกำลังคนตรวจสอบทั้งนอกและในของห้องทำสมาธิรอบหนึ่งให้มั่นใจว่าที่นั่นไม่มีผู้ใดซุ่มอยู่ รวมทั้งไม่มีกลไกหรือห้องลับใดๆ
นอกจากนี้ตลอดการเดินทางของรัชทายาทล้วนมีคนประกบซ้ายขวา ภายใต้สายตาฝูงชน เรื่องราวจำพวกสับเปลี่ยนรัชทายาทนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นอันขาด
เมื่อวังจื๋อครุ่นคิดถึงตรงนี้จึงกระหวัดถึงคำหนึ่งซึ่งถังฟั่นเอ่ยขึ้นบ่อยๆ
แต่ไหนแต่ไรบนโลกนี้ก็ไม่มีใครหรือเรื่องใดที่เพียบพร้อม อันคำว่าเพียบพร้อมเป็นไปได้ว่าก็คือช่องโหว่ที่พวกเราไม่เคยตั้งใจไปสังเกตมันเท่านั้นเอง
วังจื๋อลองเลียนแบบแนวทางวิเคราะห์ของถังฟั่น ย้อนไปทบทวนทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น
จากนั้นเขาพลันคิดถึงประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งขึ้นมา
ประเด็นสำคัญที่คนทั้งหมดอาจมองข้าม
ราชรถ
ใช่แล้ว ราชรถ
เมื่อความสนใจของทุกคนล้วนพุ่งไปที่ความเสี่ยงและช่องโหว่ที่อาจจะเกิดขึ้นมากที่สุด ความเสี่ยงอีกชนิดหนึ่งจึงถูกละเลยไป
หลังจากรัชทายาทเสด็จออกจากวัง นอกจากในห้องทำสมาธิ โอกาสที่อยู่ตามลำพังเพียงหนึ่งเดียวก็คือบนราชรถ หนำซ้ำยังกินเวลายาวนานกว่าตอนอยู่ในห้องทำสมาธิอีกด้วย
ขบวนรถยิ่งใหญ่อลังการ เคลื่อนที่อย่างอึกทึกครึกโครม หากในรถม้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นโดยที่สามารถควบคุมเสียงไว้ได้ ย่อมเป็นไปได้อย่างมากว่าจะไม่มีผู้ใดค้นพบ
สำคัญกว่านั้นคือรถม้าคันนั้นมีการดัดแปลงเสริมแต่งเลียนแบบราชพาหนะของโอรสสวรรค์เป็นการเฉพาะ ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีรูปแบบและโครงสร้างราชรถสำหรับรัชทายาทเป็นพิเศษแต่อย่างใด
คิดถึงตรงนี้วังจื๋อก็นั่งไม่ติดแล้ว เขาเรียกหาคนสนิทของตนเอง อีกฝ่ายเป็นขันทีในสำนักกิจการภายในซึ่งเป็นผู้แบ่งสันงานทำความสะอาดภายในวัง
“เจ้าไปที่สำนักราชพิธีเที่ยวหนึ่ง หาทางค้นดูราชรถที่รัชทายาทประทับนั่งออกจากวังในวันนั้นว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่”
“ใต้เท้าใคร่ตรวจสอบอันใด” คนผู้นั้นไม่กระจ่าง “ราชรถของรัชทายาทนานทีจะใช้สักหน ก็ไม่ทราบครั้งหน้ารัชทายาทจะเสด็จออกจากวังเมื่อใด ผู้น้อยคิดว่าราชรถคงถูกถอดเป็นชิ้นไปแล้ว”
วังจื๋อกลับมิได้คิดถึงจุดนี้ พอฟังก็ตะลึง “เช่นนั้นยังหาชิ้นส่วนเจอหรือไม่”
คนผู้นั้นยิ้มเจื่อน “ได้นั้นได้อยู่ แต่ล้อรถเอย ตัวรถเอย ย่อมถูกเก็บเข้าโรงเก็บของสำนักราชพิธีแล้วแน่นอน ท่านใคร่ตรวจสอบส่วนใดวานบอกผู้น้อย จะได้เป็นแนวทาง”
วังจื๋อจึงกล่าว “เจ้าไปตรวจดูว่ารถม้าคันนั้นมีส่วนใดหรือกลไกอันใดที่พอจะซุกซ่อนคนได้”
คนผู้นั้นตะลึงตาค้าง “หา?”
วังจื๋อกล่าว “เรื่องสำคัญใหญ่หลวง มิอาจแพร่งพรายต่อภายนอก ไม่อย่างนั้นเจ้าและข้าอาจย่ำแย่ เข้าใจหรือไม่”
คนผู้นั้นพยักหน้าหงึกหงัก รับคำแล้วจากไป
วันนี้คือเดือนหนึ่งวันที่เก้า วันที่ปกติธรรมดาที่สุดวันหนึ่ง
แต่บนปฏิทินหวงลี่* กลับเขียนว่า ‘ทุกประการไม่ราบรื่น’
นี่เป็นวันที่ห้าซึ่งถังฟั่นถูกฟ้องร้องและคงกำลังว่างจัด จากที่วังจื๋อคบหามานาน คะเนว่าคนผู้นี้กำลังปริ่มเปรมที่ได้อู้งานอยู่กับบ้าน
อาการประชวรของรัชทายาทยังคงรุมเร้าต่อเนื่อง ไม่ถึงกับร้ายแรง หากก็ไม่หายสนิทเสียที คำบอกเล่าของหมอหลวงยังคงคลุมเครือ นี่คือท่าทีอันเป็นปกติของพวกเขา
เนื่องจากระบบวันหยุดของขุนนางต้าหมิงไม่เหมือนกับราชวงศ์ก่อนๆ วันหยุดของขุนนางเริ่มตั้งแต่วันเทศกาลปีใหม่กระทั่งหลังเทศกาลหยวนเซียวก็จริง แต่ระหว่างนั้นยังต้องกลับมาเข้าเวร ดังนั้นวันนี้เป็นวันทำงานของหน่วยราชการต่างๆ เช่นกัน
เนื่องเพราะจักรพรรดิทรงอ้างอาการประชวรไม่เข้าประชุมทั่วไปมาหลายวันแล้ว กิจการงานทั้งหมดล้วนให้สภาขุนนางตัดสินใจ เหล่าสมาชิกสภาขุนนางในเวลานี้คงกำลังง่วนกับการตรวจอ่านหนังสือราชการที่ส่งมาจากทั่วสารทิศในห้องทำงานของตนเอง
แน่นอน พวกเขาอาจกำลังประชุม แต่หลิวเจี้ยน เผิงหวา และอิ่นจื๋อมักจะโต้เถียงเพราะความเห็นไม่ลงรอย ปราศจากถังฟั่นในที่นั้น พวกหลิวเจี้ยนยิ่งตกเป็นเบี้ยล่าง ส่วนหลิวเหมียนฮวารองราชเลขาธิการยังคงพลิกพลิ้วไปมาระหว่างสองฝ่ายไม่แสดงจุดยืน
ดูไปแล้วไม่มีอันใดแตกต่างจากวันอื่นๆ อาจเพราะบรรยากาศรื่นเริงท้ายปียังไม่จางหาย ความแช่มชื่นบนใบหน้าของเหล่าชาววังยังไม่ลบเลือน แม้แต่เครื่องแต่งกายก็คล้ายจะฉูดฉาดกว่าปกติอยู่มาก เครื่องประดับเรือนผมก็ใหม่เอี่ยม ทั่วสารทิศเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งฤดูใบไม้ผลิ
คนสนิทที่ช่วยไปสืบข่าวถึงสำนักราชพิธีให้เขายังไม่กลับมารายงาน แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด วังจื๋อรู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล
ความสังหรณ์ใจชนิดนี้เกิดจากปรีชาญาณที่เขาดำผุดดำว่ายอยู่ในวังหลวงมาหลายปี
คล้ายมีเรื่องอันใดกำลังจะอุบัติขึ้น
เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย?
วังจื๋อแหงนหน้ามองฟ้า
ท้องนภาสีครามเข้มสุดขอบ ปุยเมฆเดี๋ยวเกาะกลุ่มเดี๋ยวกระจาย ไอเย็นของฤดูหนาวเริ่มสลาย แม้แต่ฝูงห่านป่าก็เริ่มปรากฏ บินผ่านเหนือศีรษะ ทิ้งเสียงกู่ร้องยาวไกลสะท้อนก้องริมหู
* ปฏิทินหวงลี่ คือปฏิทินที่ระบุลักษณะฤกษ์ว่าเป็นวันดี วันร้าย วันปะทะ (ชง) ของคนในราศีใดบ้าง