ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 3 #นิยายวาย – หน้า 5 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 3 #นิยายวาย

5 of 5หน้าถัดไป

แม้มีวัยเพียงยี่สิบกว่า กลับเข้าวังก็ไม่กี่ปี แต่เขารู้สึกว่าวันเวลาที่ตนเองผงาดง้ำเหนือทะเลทรายเหมือนเป็นเรื่องเมื่อชาติภพที่แล้ว

เติบโตในรั้ววังตั้งแต่เล็ก เขากลับไม่คุ้นเคยกับวังหลวง มาตรว่าตำหนักของที่นี่หรูหราอลังการ ในสายตาของวังจื๋อกลับไม่สราญรมย์เท่าทิวทัศน์ของภายนอก

หากสามารถเลือกได้ เขาย่อมไม่ยินดีกลับมา

นี่เป็นทิศทางสู่ตำหนักเหรินโซ่ว เขาจะไปเข้าเฝ้าพระพันปีเพื่อหยิบยืมพระเสาวนีย์ของพระองค์ หาคนไปเข้าเฝ้ารัชทายาท

เพราะลางสังหรณ์เล็กๆ ในใจ เขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ขันทีด้านหลังสองคนเกือบไล่ตามไม่ทัน ล้วนเหนื่อยจนเหงื่อไหลชุ่ม

ทันใดนั้นหัวเลี้ยวเบื้องหน้าก็ปรากฏเงาร่างขันทีนางกำนัลหลายคนโผล่พรวดออกมา พวกเขาวิ่งมาทางวังจื๋อด้วยสีหน้าซีดขาว ซอยเท้าเร็วรี่ ครั้นใกล้ถึงตัววังจื๋อก็วิ่งเฉียดไปเหมือนไม่เห็นเขากระนั้น

วังจื๋อจำพวกนั้นได้ คนเหล่านี้ล้วนเป็นนางกำนัลและขันทีของตำหนักเจาเต๋อ มีหน้าที่รับใช้วั่นกุ้ยเฟย

เรื่องที่สามารถทำให้คนเหล่านี้แตกตื่นลนลานต้องเป็นเหตุร้ายแรงอย่างไม่ต้องสงสัย

เขาฉวยมือนางกำนัลที่วิ่งผ่านข้างกายไว้คนหนึ่ง “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

นางกำนัลคล้ายเพิ่งสังเกตเห็นวังจื๋อ นางเหมือนจะปล่อยโฮอยู่รอมร่อ “วัง…วังกงกง…”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนแตกตื่นเช่นนี้” วังจื๋อยังหงุดหงิดกว่านาง

พวกพ้องของนางกำนัลคนนี้ได้วิ่งขึ้นหน้าไปไกลแล้ว ล้วนมิได้สังเกตว่ามีผู้ตกหล่นอยู่คนหนึ่ง นางหายใจหอบเมื่อกล่าว “กุ้ยเฟย…กุ้ยเฟยเกิดเรื่องแล้ว…”

“เกิดเรื่องอะไร” วังจื๋อใจหายวาบ บนหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์

นางกำนัลอึกๆ อักๆ “ก่อนหน้านี้…ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทบรรทมกับนางกำนัลคนหนึ่งของตำหนักเจาเต๋อ กุ้ยเฟยทราบเข้าก็โกรธจัด เรียกตัวนางกำนัลคนนั้นมาดุด่า นางกำนัลคนนั้นเปล่งวาจาจาบจ้วง ด้วยความกริ้วพระนางจึงลงมือตบตีนาง สุดท้าย…สุดท้ายตนเองกลับเป็นลมหมดสติไป…”

นี่คล้ายเป็นเรื่องที่วั่นกุ้ยเฟยสามารถกระทำได้จริงๆ

วังจื๋อรับใช้นางอยู่หลายปี ไม่มีใครเข้าใจวั่นกุ้ยเฟยเท่าเขาอีกแล้ว

นิสัยดุร้ายของนางครึ่งหนึ่งคือโดยกำเนิด อีกครึ่งหนึ่งเป็นจักรพรรดิบ่มเพาะออกมา

ทุกวันนี้ถึงแม้วั่นกุ้ยเฟยมิได้สั่งห้ามนางในให้กำเนิดราชโอรส แต่หากถูกนางค้นพบ อีกฝ่ายยังคงต้องโดนดุด่าถากถางอย่างเลี่ยงไม่ได้ ประสาอะไรกับการที่นางกำนัลคนนั้นโต้เถียงต่อหน้า ด้วยนิสัยของวั่นกุ้ยเฟยมีหรือจะไม่พิโรธโกรธเคือง

หากวั่นกุ้ยเฟยหมดสติไปเพราะความโมโหสุดขีด นี่ยังพอเข้าใจได้

ก่อนหน้านี้สุขภาพของนางก็ไม่สู้ดี นานครั้งโรคหัวใจจะกำเริบ บางทียังมีอาการปวดศีรษะ ทว่าปกติไม่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อเฉกเช่นจักรพรรดิ ดังนั้นดูแล้วไม่ถึงกับร้ายแรงอันใด

หากถังฟั่นอยู่ที่นี่ย่อมจะเป็นกังวลในชะตากรรมของนางกำนัลคนที่กระตุ้นโทสะวั่นกุ้ยเฟยมากกว่า แต่วังจื๋อประสบเหตุการณ์ลักษณะนี้มามาก พอฟังจบก็มิได้นำพาใส่ใจ สิ่งที่เขาวิตกกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

วั่นกุ้ยเฟยอาการสาหัสหรือไม่

คิดถึงตรงนี้เขาก็คลายมือจากนางกำนัลคนนั้น ปล่อยให้นางวิ่งไล่กวดพวกพ้องไปด้วยน้ำตานองหน้า แน่นอนว่านางมิได้เป็นห่วงวั่นกุ้ยเฟย แต่กำลังทุกข์ร้อนต่อชะตากรรมของตนเองต่างหาก

วังจื๋อหยุดเท้า มิได้เดินหน้าต่อ เขาให้ขันทีข้างกายคนหนึ่งไปสืบข่าวที่ตำหนักเจาเต๋อ ตนเองกลับเลี้ยวเข้าห้องเก็บของห้องหนึ่งทางด้านข้างอย่างเจนทาง

“เจ้าไม่สงสัยหรือว่าไยข้าพาเจ้ามาที่นี่” วังจื๋อเอ่ยถามขันทีอีกคนหนึ่ง

อีกฝ่ายชื่อเหวินเซิ่ง เข้าวังมานาน อายุอ่อนกว่าวังจื๋อไม่กี่ปี เงียบขรึมพูดน้อย ก่อนหน้านี้ขึ้นตรงกับสำนักกิจการภายใน ทำหน้าที่ปัดกวาดฝ่ายใน ต่อมาถูกวังจื๋อโยกย้ายมาไว้ข้างกาย

เหวินเซิ่งนิ่งไปอึดใจ “วังกงกงกระทำสิ่งใดล้วนมีเหตุผล”

ความเงียบขรึมพูดน้อยของเขาความจริงแล้วก็คือพูดไม่เก่ง ทว่าสิ่งที่ถือที่สุดเมื่ออยู่ในวังก็คือพูดมากปากเปราะ วังจื๋อจึงถูกใจความซื่อสัตย์และพูดน้อยของเขานั่นเอง

วังจื๋อค้อนเขาทีหนึ่ง ขณะจะอบรมอันใด เหวินหย่วนขันทีที่เขาส่งไปสืบข่าวที่ตำหนักเจาเต๋อได้วิ่งกลับมาแล้ว

ไปกลับหนึ่งเที่ยว สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นปั้นยาก เกือบจะเทียบเท่านางกำนัลหลายคนเมื่อครู่ก่อนแล้ว

เห็นสีหน้าเขา วังจื๋อหัวใจหล่นวูบ ถ้อยคำที่เตรียมจะสั่งสอนเหวินเซิ่งพลันหายวับเข้ากลีบเมฆ

“เป็นอย่างไร”

“กุ้ยเฟย…กุ้ยเฟย…” ลิ้นของอีกฝ่ายถึงกับพันกัน ครึ่งค่อนวันค่อยกล่าวออกมาได้ “กุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์แล้ว”

เหวินเซิ่งหน้าถอดสี เขาอดมองวังจื๋อแวบหนึ่งมิได้

แวบหนึ่งที่มองไป เหวินเซิ่งพลันเลื่อมใสไม่สร่าง

เพราะวังจื๋อมิเพียงสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ถึงขนาดสุ้มเสียงยังมั่นคง “เจ้าแน่ใจหรือ”

อันที่จริงหลังจากสดับข่าวตั้งแต่เมื่อครู่ วังจื๋อก็เตรียมใจไว้ล่วงหน้า ดังนั้นไม่ถึงกับตื่นตระหนกเกินควร

เหวินหย่วนรีบตอบ “ไม่น่ามีอันใดผิดพลาด! ตอนนี้ในตำหนักเจาเต๋อร้องไห้กันระงม ข้าน้อยไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆ เกรงจะเป็นที่สะดุดตา ได้แต่แอบถามจากหลายคนแถวนั้น ล้วนบอกว่าหมดลมหายใจแล้ว”

วังจื๋อถามอีก “หมอหลวงรุดไปหรือยัง”

“ยังเลยขอรับ นี่ก็นานแล้ว…”

เหวินหย่วนมิได้กล่าวต่อ หากความหมายชัดเจนยิ่ง นี่ก็นานแล้ว…ต่อให้หมอหลวงเร่งไปถึง คะเนว่าคงช่วยชีวิตไม่ทันแล้ว

วังจื๋อฟังจบสีหน้าเคร่งขรึม ปราศจากวาจา

เหวินหย่วนเหวินเซิ่งสบตากัน ล้วนไม่กล้ารบกวนการครุ่นคิดของเขา

สำหรับวังจื๋อแล้ว วั่นกุ้ยเฟยมีพระคุณที่ช่วยส่งเสริมเขา ข่าวการตายกะทันหันของอีกฝ่าย เขานอกจากตื่นตระหนก หากกล่าวว่าไม่เสียใจสักนิดนั่นคือโกหก

แต่ความเสียใจหายวับในพริบตา สิ่งที่วังจื๋อต้องเผชิญหน้ากลับเป็นปัญหาที่ร้ายแรงยิ่งกว่า

ในฝ่ายใน การตายของสนมนางในคนหนึ่งเป็นเรื่องปกติมาก หากมิใช่พระอัครมเหสีก็ไม่สามารถตลบระลอกคลื่นอันใดได้

แต่แม้ว่าวั่นกุ้ยเฟยมิใช่พระอัครมเหสี ศักดิ์ฐานะกลับเหนือกว่าพระอัครมเหสีเสียอีก นางมิได้ก้าวก่ายการปกครองบ้านเมืองโดยตรง แต่อำนาจของกลุ่มอำนาจวั่นกลับปรากฏให้เห็นทุกที่

จริงอยู่กลุ่มอำนาจวั่นครองอำนาจทั่วราชสำนัก แต่พวกเขากลับปราศจากความสามารถและเงื่อนไขที่จะล้มบัลลังก์ นับแต่ก่อตั้งราชวงศ์หมิงก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ขุนนางผู้ใหญ่ก่อกบฏมาก่อน

ความโอหังของพวกเขาล้วนมาจากการให้ท้ายของโอรสสวรรค์

และเหตุที่โอรสสวรรค์ให้ท้ายพวกเขา กล่าวถึงที่สุดล้วนเป็นเพราะ ‘รักนางย่อมรักคนของนางด้วย’ ก็คือเห็นแก่หน้าวั่นกุ้ยเฟย

ปราศจากวั่นกุ้ยเฟย ทุนรอนในการโอหังของพวกเขาล้วนสูญสิ้นไม่มีเหลือ ประหนึ่งตึกตำหนักที่สร้างขึ้นจากหิมะ สุริยันฉายพลันมลาย

หลังการตายของวั่นกุ้ยเฟย คนจำนวนมากที่เคยถูกกลุ่มอำนาจวั่นกดขี่แต่ไม่กล้าส่งเสียงล้วนจะฉวยจังหวะโผล่หน้าออกมา มีทุกข์ก็ร้องทุกข์ มีแค้นก็ชำระสะสาง ต้นไม้ล้มลิงกระเจิง วิเคราะห์จากแนวโน้มนี้ดูเหมือนกลุ่มอำนาจวั่นใกล้พังพินาศเข้าไปทุกที

แต่คนของกลุ่มอำนาจวั่นหาใช่เจ้างั่ง ผู้ใดเล่ายินดีประเคนอำนาจในมือให้ผู้อื่น และผู้ใดเล่ายินดีนั่งรอความตาย

พวกเขาย่อมจะตอบโต้ กระทั่งถึงกับชิงลงมือก่อนเพื่อความเป็นต่อ

เมื่อข่าวการตายของวั่นกุ้ยเฟยแพร่กระจายออกไป ย่อมนำมาซึ่งความวุ่นวายทั้งนอกใน ขุมกำลังของแต่ละฝ่ายฮึ่มฮั่มเตรียมขยับ

แผ่นฟ้าผืนนี้กำลังจะเปลี่ยนแล้ว

หลังจากวังจื๋อสดับข่าวนี้ก็มิได้หยุดชะงักแม้สักครู่ พลันก้าวเดินไปยังทิศทางตรงข้ามของตำหนักเจาเต๋อ

“วังกงกง ตอนนี้พวกเราจะไปที่ใด” เหวินหย่วนโพล่งถาม

“ตำหนักบูรพา!” วังจื๋อตอบโดยไม่เหลียวหน้ามา

ก่อนหน้านี้ตอนถังฟั่นถูกฟ้องร้อง วังจื๋อคิดว่าหากไปตำหนักบูรพาอีกจะเป็นการตีหญ้าให้งูตื่น แต่บัดนี้เขาเปลี่ยนความคิดแล้ว

ฉับพลันที่วั่นกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์ ทางกลุ่มอำนาจวั่นย่อมมือเท้ายุ่งเหยิง หากรัชทายาทมีความผิดปกติ เวลาเช่นนี้ก็คือโอกาสเปิดโปงความจริงที่ดีที่สุด!

ทางตำหนักบูรพายังไม่ระแคะระคายเรื่องการสิ้นพระชนม์ของวั่นกุ้ยเฟย รัชทายาทประชวรลุกไม่ขึ้น หลายวันแล้วที่มิได้เชิญพระอาจารย์มาอรรถาธิบาย

เพราะเจ้านายประชวร เหล่าขันทีนางกำนัลแม้แต่หัวเราะพูดคุยยังไม่กล้าเสียงดัง เกรงจะรบกวนรัชทายาท

วังจื๋อมาถึงอย่างพลุ่งพล่าน ทำให้ทั้งหมดแตกตื่นมึนงง

ชุยหย่งที่อยู่ข้างกายรัชทายาทได้ยินข่าว รีบถลันออกมารับหน้า “วังกงกงสบายดีหรือ นี่ท่านจะ…”

วังจื๋อไม่มีเวลาทักทายเขา โพล่งถามขึ้นว่า “รัชทายาทเล่า”

อาจเพราะเขาท่าทางโผงผาง ชุยหย่งจึงมิกล้าปิดบัง “รัชทายาททรงพักผ่อนอยู่ด้านใน ข้าจะเข้าไปทูลให้ท่าน…”

เขายังพูดไม่จบ วังจื๋อกลับผลักเขาออก บุกเข้าไปทันใด

ชุยหย่งตกใจหน้าซีด เห็นวังจื๋อก้าวสวบๆ ถึงหน้าแท่นบรรทม กล่าวกับรัชทายาทซึ่งนั่งเอกเขนกอ่านตำราอยู่บนนั้น “องค์รัชทายาท เสียมารยาทแล้ว!”

แล้วคว้าข้อมือซ้ายของรัชทายาทที่ปั้นหน้าตกตะลึงขึ้นมา ก้มศีรษะพินิจดู

อาศัยเส้นแสงสว่างจ้าที่ส่องเข้ามาจากนอกตำหนัก วังจื๋อมองเห็นอย่างชัดเจนถึงลายเส้นบนอุ้งมือซ้ายของรัชทายาท รวมทั้งแผลเป็นจางๆ บนนิ้วก้อยที่หากไม่สังเกตถี่ถ้วนคงไม่มีทางพบเห็น

แผลเป็นยังอยู่!

วังจื๋อบอกไม่ถูกว่าโล่งอกปานใด และโมโหความไม่น่าเชื่อถือของถังฟั่น

ยามนั้นชุยหย่งได้ถลันเข้ามาผลักวังจื๋อออกห่าง ตั้งท่าพิทักษ์รักษารัชทายาทเต็มที่ “วังจื๋อ บังอาจนัก!”

วังจื๋อย่อมไม่ยอมให้อีกฝ่ายผลัก ขณะชุยหย่งลงมือ เขาเป็นฝ่ายหลบวูบก่อนแล้ว

“องค์รัชทายาทโปรดอภัยที่กระหม่อมจาบจ้วงล่วงเกิน” วังจื๋อประสานมือ ไม่รอรัชทายาทตั้งคำถามก็บอกเล่าเรื่องราวที่ถังฟั่นไหว้วานเขามาตรวจสอบออกไปรอบหนึ่ง

รัชทายาทฟังจบมิได้ขัดเคือง เพียงนึกขัน “ถังเก๋อเหล่าสงสัยว่าข้าถูกสับเปลี่ยนตัวหรือ”

สีหน้าของชุยหย่งพลอยผ่อนคลาย “วังกงกงล้อเล่นเช่นนี้ออกจะรุนแรงเกินไปแล้ว ข้ารับใช้รัชทายาทตลอดเวลา หากพระองค์มิใช่ตัวจริง มีหรือข้าจะจับพิรุธไม่ได้”

วังกงกงส่ายศีรษะ สีหน้านิ่งขรึม “ข้ากลับยินดีให้เป็นการล้อเล่น แต่ถังฟั่นเป็นคนที่เชื่อใจได้ เขากล่าวเช่นนี้ย่อมต้องมีหลักฐาน หากเกิดเรื่องทำนองนี้จริง ผลลัพธ์สุดจะหยั่งคาด ดังนั้นข้าถึงได้สุ่มเสี่ยงกระทำผิดที่ประหารหมื่นครั้งยังมิอาจลบล้าง บุ่มบ่ามเข้ามาเสาะหาความจริง”

กล่าวถึงตรงนี้ สายตาของเขายังคงจับจ้องอีกฝ่ายเขม็ง คล้ายไม่ละทิ้งความคิดที่จะควานหาช่องโหว่

รัชทายาทสีหน้าผ่าเผย มิได้ตื่นตระหนกกับวาจาของวังจื๋อ กลับเป็นฝ่ายเอ่ยถาม “เมื่อเป็นเช่นนี้ วังกงกงมิสู้ทดสอบข้า เราสองรู้จักกันมาหลายปี ต่างฝ่ายย่อมมีวาจาที่รู้กันแต่เราสอง หากว่าเป็นตัวปลอมย่อมไม่มีทางล่วงรู้”

วังจื๋อพอฟังก็รู้สึกมีเหตุผล จึงถาม “วันนั้นตอนที่ไหวเอินแนะนำกระหม่อมต่อพระองค์ เขากล่าวถ้อยคำชุดหนึ่ง ทรงจำได้หรือไม่”

รัชทายาทครุ่นคิดก่อนตอบ “จำไม่ได้ทั้งหมด แต่ใจความสำคัญคือไหวเอินบอกว่าท่านมีวิทยายุทธ์เยี่ยมยอด และมีสายสัมพันธ์กับคนของทางวั่นกุ้ยเฟย หากข้าเผลอไปล่วงเกินวั่นกุ้ยเฟยเข้า สามารถขอให้วังกงกงช่วยไกล่เกลี่ยได้”

วังจื๋อยังไม่เชื่อจึงถามอีก “ตอนนั้นไหวเอินเคยใช้คำหนึ่งประเมินคุณค่าของถังฟั่น ทรงจำได้หรือไม่”

ครานี้รัชทายาทไม่จำเป็นต้องขบคิด เอ่ยตอบทันควัน “แม้เป็นขุนนางบุ๋น กลับซื่อสัตย์แกล้วกล้า สองบ่าเที่ยงธรรม สามารถเป็นนักปกครองที่ดี!”

ครานี้วังจื๋อไม่มีอันใดเคลือบแคลงอีกแล้ว

เพราะวันนั้นขณะไหวเอินกล่าวถ้อยคำชุดนี้ มีเพียงรัชทายาทและเขาอยู่ที่นั่น ต่อให้มีคนปลอมแปลงเป็นรัชทายาท แสดงได้สมบทบาทปานใด ก็ไม่มีทางลอกเลียนถ้อยคำชุดนี้ได้ทั้งหมด

วังจื๋อผ่อนลมหายใจ “ขอบพระทัยรัชทายาทที่คลี่คลายข้อกังขา เป็นกระหม่อมหุนหันพลันแล่น พระองค์โปรดอภัย”

รัชทายาทกล่าว “ท่านกับถังเก๋อเหล่าล้วนทุ่มเทกำลังความคิดเพื่อข้า ข้าตื้นตันยังไม่ทันด้วยซ้ำ ไหนเลยจะตำหนิติเตียนได้ เพียงแต่วันนี้ข้านอนป่วยบนเตียง เพิ่งได้ยินชุยหย่งบอกเรื่องถังเก๋อเหล่าถูกไล่กลับบ้าน มีเรื่องนี้จริงหรือไม่ ข้าสามารถช่วยอันใดเขาได้บ้าง ไปทูลขอให้เสด็จพ่อทรงพระเมตตาดีหรือไม่”

วังจื๋อกล่าว “เกรงแต่ว่าเวลานี้ฝ่าบาทคงไม่ทรงมีเวลาพบพระองค์แล้ว”

รัชทายาทผงะ “เพราะเหตุใด”

วังจื๋อเอ่ยเสียงเนิบๆ “เพราะเมื่อครู่นี้เอง วั่นกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์แล้ว”

รัชทายาทกับชุยหย่งล้วนอุทานดังอา ตะลึงลานแล้ว

ไม่ทันรอพวกเขาหายตกใจ ทางตำหนักบูรพาก็มีคนมารายงานข่าวการสิ้นพระชนม์ของวั่นกุ้ยเฟย

เรื่องนี้กะทันหันเกินไป อย่าว่าแต่รัชทายาท แม้แต่กลุ่มอำนาจวั่นคะเนว่าก็คงมิได้เตรียมตัวเตรียมใจ

ในความคิดของทุกคน หากกล่าวว่ามีคนจะล่วงลับเพราะความเจ็บป่วย คนผู้นั้นย่อมต้องเป็นจักรพรรดิที่อยู่ในอาการประชวร มิใช่คนที่แลดูยังแข็งแรงกว่าอย่างวั่นกุ้ยเฟย

เหตุที่วั่นกุ้ยเฟยปรารถนาจะปลดรัชทายาทให้ได้เนื่องเพราะหลังจักรพรรดิสวรรคต ตนเองจะได้ขึ้นเป็นพระพันปี เรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝน

ปรากฏว่าจักรพรรดิยังทรงอยู่ดี รัชทายาทก็ยังคงอยู่ดี คนที่คิดจะครอบครองทุกสิ่งไว้ในกำมือกลับล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง

ความเหลวไหลอันไร้ค่าบนโลก ไม่มีใดเกินกว่านี้

เวลาเช่นนี้ในรั้ววังย่อมชุลมุนวุ่นวาย วังจื๋อไม่มีเวลาว่างไปใส่ใจท่าทีของรัชทายาท เมื่อแน่ใจว่ารัชทายาทมิใช่ตัวปลอม เขาจึงออกจากตำหนักบูรพาอย่างเร่งร้อน กลับถึงสำนักรักษาลัญจกร

ขันทีที่วังจื๋อสั่งให้ไปสืบข่าวที่สำนักราชพิธีกลับมาแล้วเช่นกัน เขาบอกข่าวสารที่สำคัญมากต่อวังจื๋อข่าวหนึ่ง ราชรถคันที่รัชทายาทโดยสารไปตำหนักฉงเจินวั่นโซ่วนั้นมีปัญหาจริงๆ

ปัญหาก็อยู่ที่ใต้ท้องรถถูกจัดสร้างเป็นช่องสี่เหลี่ยมขนาดสี่ห้าเชียะ เพียงพอให้คนผู้หนึ่งลงไปขดตัวอยู่ในนั้น

วังจื๋อซึ่งเดิมทีเข้าใจว่าถังฟั่นอยู่ดีไม่ว่าดี ยังไม่ทันวางศิลายักษ์ในใจลง พลันถูกข่าวนี้ทำให้สะเทือนขวัญอีกครั้ง

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดใน รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 ฉบับเต็ม

ที่งานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 23 บูธเอเวอร์วาย Y05 โซน Hall A, บอลรูม

ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป, JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ JamShop

5 of 5หน้าถัดไป

Comments

comments

Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com