ขันทีเจ้าดวงใจ
ทดลองอ่านนิยาย ขันทีเจ้าดวงใจ เล่ม 1 บทที่ 2
บทที่สอง
“พ่อหนุ่ม เจ้าหายไปที่ใดมาทั้งวัน แม่เจ้าล้มหมดสติไปแล้ว บ้านเดิมของสวีหยวนเพิ่งส่งคนพานางกลับมา!” ป้าข้างบ้านดูเหมือนรอกัวอ้ายจนหมดความอดทนแล้ว รีบร้อนลากนางไปถึงหน้าประตูห้อง บอกกล่าวเป็นนัยให้นางเข้าไป
กัวอ้ายได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที วันนี้ตอนเช้าหวังหมัวมัวยังดูสดใส เหตุใดอยู่ๆ ถึงหมดสติไปได้ ชั่วขณะนั้นนางก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความ ยกผ้าม่านขึ้นเดินเข้าห้องไปในทันที
เมื่อเข้ามาในห้องก็ได้เห็นว่าที่ข้างเตียงมีบ่าวหญิงอาวุโสท่าทางทะมัดทะแมงคนหนึ่งกำลังดูแลหวังหมัวมัวอยู่ ที่ข้างกายนางยังมีสาวใช้ติดตามมาด้วยสองคน
“ท่านป้า แม่ข้าเป็นอะไรไป ไฉนอยู่ๆ ถึงหมดสติไปได้” กัวอ้ายขยับกายเข้าไปยืนชิดถึงขอบเตียง เห็นหวังหมัวมัวดวงตาปิดสนิทไม่รู้สึกตัว ใบหน้าซีดเซียว ศีรษะยังผุดเหงื่อเม็ดเล็กๆ เมื่อยื่นมือออกไปวางบนหน้าผากก็ต้องตกใจที่พบว่ามันเย็นเฉียบ
เห็นกัวอ้ายกลับมาแล้ว บ่าวหญิงอาวุโสคนนั้นจึงลุกขึ้นยืนเอ่ย “พ่อหนุ่มหวัง ตั้งแต่ช่วงบ่ายแม่เจ้าก็สีหน้าไม่ค่อยจะดี ซีดเผือดจนน่าตกใจ เมื่อครึ่งชั่วยามที่ผ่านมานางบอกว่าเวียนหัว แล้วอยู่ๆ ก็ล้มหมดสติไป พวกเราถึงได้พานางกลับมาบ้าน เจ้ารีบไปตามหมอมาตรวจแม่เจ้าเถอะ”
ได้ยินฝ่ายตรงข้ามบอกมาเช่นนี้ ลึกๆ ในใจนางคิดว่าช่วงนี้หวังหมัวมัวทำงานเหน็ดเหนื่อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเหนื่อยจนเป็นลม
บ่าวหญิงอาวุโสคนนั้นก่อนจากไปยังทิ้งเงินไว้ให้หนึ่งร้อยอีแปะ บอกว่าเป็นค่าเชิญหมอกับค่ายา ให้นางดูแลหวังหมัวมัวให้ดี ยังกล่าวอีกว่ารอให้หวังหมัวมัวร่างกายแข็งแรงดีแล้วค่อยกลับไปทำงาน จากนั้นถึงได้พาคนจากไป
อยู่ๆ ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้น ในใจกัวอ้ายเองค่อนข้างว้าวุ่น หลายวันที่ผ่านมานี้โชคดีที่มีหวังหมัวมัว นางจึงไม่ได้อาศัยอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยนี้ตามลำพัง และเพราะเหตุนี้ถึงได้เกิดความรู้สึกผูกพันกับหวังหมัวมัว นางย่อมเป็นกังวล ทั้งรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาอย่างกะทันหันที่ไม่ได้เลือกเรียนแพทย์แผนโบราณ ถึงแม้นางจะเป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ แต่หากขาดสิ่งที่จำเป็น ต่อให้มีความสามารถเพียงใดก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
นางฟังที่เพื่อนบ้านแนะนำถึงท่านหมอจางที่อยู่ข้างสะพานอู่ติ้งว่ามีฝีมือสูงส่ง ถึงขั้นสามารถยื้อชีวิตผู้ป่วยใกล้ตายกลับมาได้ ค่าตรวจรักษาเองก็ยุติธรรม จึงรีบไปหาทันทีโดยแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด
เพียงแต่มาถึงโรงหมอยังไม่ทันเข้าไป นางก็เห็นรถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดอยู่ด้านหน้า มีสาวใช้กำลังพาหมอท่านหนึ่งขึ้นรถไป ในใจอดที่จะร้อนรนขึ้นมาไม่ได้
ท่านหมอจางถูกคนพาตัวไปก่อนโดยไม่คาดฝันแล้ว สายตานางมองตามรถม้าคันนั้นไป ในใจกำลังคิดจะไปตามหาหมอคนอื่น หากอยู่ๆ ก็มีคนมาตบบ่านาง
“ท่านมาหาท่านหมอจางใช่หรือไม่” ลูกจ้างโรงหมอที่กำลังหอบกระเป๋ายาใบเล็กใบใหญ่ข้างละใบคนหนึ่งเอ่ยถาม กัวอ้ายหันหน้ากลับไปยังไม่ทันพูดอะไร ลูกจ้างคนนั้นเห็นนางแล้วอยู่ๆ ดวงตาทั้งสองพลันจ้องเขม็ง ขมวดคิ้วเอ่ยอย่างคับข้องใจ “พี่ชายท่านนี้มองไปแล้วคุ้นหน้าไม่น้อย ต้องการมาหาหมอตรวจอาการ หรือว่ามาเอายากัน” เขาคิดไปว่ากัวอ้ายเป็นคนที่ถูกส่งมาจากจวนใดสักจวน จึงเอ่ยอธิบาย “ท่านหมอจางเพิ่งถูกใต้เท้าผู้ดูแลกองพิธีบวงสรวงเชิญตัวไปแล้ว…”
เพียงได้ยินเขาบอกคุ้นหน้าตนเอง ชั่วพริบตานั้นกัวอ้ายตกใจจนหัวใจหล่นวูบ ไม่กล้าฟังเขาอธิบายต่ออีก เพียงโบกไม้โบกมือเอ่ย “ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้มาหาหมอ” พูดไปพร้อมก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งนางผลุบกายเข้าไปในตรอกเล็กๆ ตรอกหนึ่งแล้วถึงได้ถอนหายใจ ทั้งยังหันไปกวาดตาสำรวจข้างนอกอย่างระแวดระวัง โชคดีที่ลูกจ้างคนนั้นไม่ได้ตามมา
เมื่อครู่รีบร้อนไปเชิญหมอมาให้หวังหมัวมัว ชั่วขณะนั้นนางไม่ได้คิดอะไรมากมาย มาตอนนี้เห็นท่านหมอจางผู้นี้ที่ฝีมือการรักษาสูงส่งมีการไปมาหาสู่กับกลุ่มคนชั้นสูง เกรงว่าในอดีตอาจจะเคยไปตรวจรักษาให้คนในตระกูลซู หรือแม้กระทั่งรู้จักกับซูลี่ หากว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ การที่นางไปโรงหมอโดยไม่ระมัดระวังก็ถือเป็นการโยนตนเองเข้าตาข่าย* อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
แต่ว่าตอนนี้นางต้องรีบหาหมอให้หวังหมัวมัว ซ้ำยังต้องระวังไม่ให้ฐานะตนเองถูกเปิดเผย จึงร้อนใจจนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
“อา อาลี่…เจ้ากำลังทำอะไร เล่นซ่อนแอบหรือ” ในตอนนั้นเอง พลันมีเสียงคนเรียกนาง
“ชูรื่อ!” เพียงเห็นคนผู้นี้ นางก็ดีใจจนยิ้มกว้างออกมาทันที
ชูรื่อเป็นเด็กปัญญาอ่อนคนหนึ่ง อายุพอๆ กับซูลี่ แต่คำพูดคำจาและการกระทำกลับคล้ายเด็กน้อย เขามักจะชอบแอบหนีออกมาวิ่งเล่น แล้วก็จำทางกลับบ้านไม่ได้อยู่บ่อยๆ ก่อนหน้านี้กัวอ้ายเคยช่วยเขาที่กำลังหลงทาง ทั้งสองคนถึงได้ทำความรู้จักกัน
แล้วที่ตอนนี้กัวอ้ายรู้สึกดีใจ เป็นเพราะว่าลุงของชูรื่อเองก็เป็นหมอ เปิดโรงหมออยู่ไม่ไกลจากตรอกเจี้ยนอัน
ชูรื่อสูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่ยังเด็ก ได้ลุงของเขาคอยเลี้ยงดูมาจนโต เพื่อที่จะได้สะดวกดูแลหลานชายคนนี้ ท่านหมอเจียงจึงไม่ค่อยออกตรวจนอกสถานที่ เพราะฉะนั้นแต่แรกเริ่มนางเลยไม่ได้คิดไปขอความช่วยเหลือจากเขา แต่ตอนนี้ชูรื่ออยู่ข้างนอก จะต้องแอบหนีออกมาอีกอย่างแน่นอน นางคิดว่าบางทีเห็นแก่ที่นางช่วยพาชูรื่อกลับบ้าน ท่านหมอเจียงจะต้องยินยอมช่วยเหลือนางเป็นแน่
นางตัดสินใจทำตามความคิดนี้ หลอกล่อพาชูรื่อกลับบ้านในทันที ท่านหมอเจียงเห็นนางพาหลานชายกลับมาบ้านก็หันมาขอบคุณนางด้วยความดีใจตามคาด คำขอร้องของนางท่านหมอก็รับปากในคราวเดียว
หลังจากท่านหมอเจียงตรวจอาการแล้ว ก็บอกว่าที่หวังหมัวมัวล้มป่วยเป็นเพราะเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป จึงกำชับกัวอ้ายให้ดูแลผู้สูงอายุพักผ่อนมากๆ รวมทั้งเตรียมอาหารที่มีคุณค่าทางสารอาหารให้นางกิน เมื่อจ่ายยาเสร็จแล้วจึงกลับไป
ในใจกัวอ้ายรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงทำตามที่ท่านหมอเจียงสั่งเอาไว้ทุกประการ วันเวลาต่อจากนั้นล้วนคอยดูแลเอาใจใส่หวังหมัวมัวเป็นอย่างดี
แต่น่าเสียดายที่อาการป่วยของหวังหมัวมัวไม่มีท่าทีจะดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ไม่กี่วันก่อนหน้ายังพอลุกจากเตียงมาได้บ้าง แต่ในภายหลังกลับทำได้เพียงนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง ระหว่างนั้นท่านหมอเจียงได้มาตรวจอาการอีกหลายครั้ง เปลี่ยนตำรับยาหลายหน แต่กินเข้าไปแล้วล้วนไม่เห็นผล ผลสุดท้ายเพิ่งผ่านไปเพียงสองสัปดาห์ หวังหมัวมัวก็เหลือเพียงลมหายใจรวยรินแล้ว
“บ่าวทำให้ฮูหยินผิดหวัง ไม่สามารถดูแลคุณหนูให้ดีได้…คุณหนูได้โปรดให้อภัยด้วย…” หวังหมัวมัวผู้ซื่อสัตย์แม้ในยามใกล้ตายก็ยังไม่อาจปล่อยวางคุณหนูผู้เยาว์วัยได้ลง นางดึงมือกัวอ้ายมาเอ่ยขออภัยด้วยน้ำตานองหน้า
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ต่างฝ่ายต่างดูแลกัน กัวอ้ายเกิดความรู้สึกผูกพันอย่างลึกซึ้งกับหวังหมัวมัวมาแต่แรก ตอนนี้ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา
“หวังหมัวมัวอย่าได้พูดจาเช่นนี้ ท่านจะต้องสู้ต่อไป อย่าได้ทิ้งข้าเอาไว้ลำพัง” กัวอ้ายลองกระตุ้นนาง แต่หวังหมัวมัวกลับส่ายหน้า ทั้งฝืนพยายามลุกขึ้นมา กัวอ้ายเห็นนางยืนกรานไม่ยอมนอน จึงทำได้เพียงช่วยพยุงนางขึ้นมา
“วางใจได้เจ้าค่ะ บ่าวได้เตรียมการเอาไว้ให้คุณหนูแล้ว…” หลังของหวังหมัวมัวนั่งพิงหมอนอิงได้ มือไร้เรี่ยวแรงก็คลำหยิบเครื่องรางคุ้มครองอันหนึ่งออกมาจากใต้ฟูก ยัดใส่มือกัวอ้ายแล้วเอ่ยสั่งเสีย “ในเครื่องรางคุ้มครองมีจดหมายอยู่ฉบับหนึ่ง…”
หวังหมัวมัวหอบหายใจ อากาศที่ออกมามีมากกว่าส่วนที่ถูกสูดกลับเข้าไป หญิงอาวุโสพยายามเอ่ยคำสั่งเสียอย่างยากลำบาก กัวอ้ายมองนางจนรู้สึกปวดใจ น้ำตาไหลรินลงมาหลายหยด
“ทิ้งคุณหนูให้มีชีวิตอยู่ตามลำพัง บ่าวไม่อาจวางใจได้จริงๆ บ่าวมีน้องชายคนหนึ่งชื่อว่าหวังลู่ เขาทำงานรับใช้อยู่ในวังเป็นข้าหลวงใหญ่ประจำหน่วยอาภรณ์ ถ้าหากคุณหนูพบเจอความยากลำบากใดที่ไม่เหลือหนทางไปแล้วจริงๆ ให้นำจดหมายฉบับนี้ไปขอความช่วยเหลือจากเขา เขาจะช่วยดูแลคุณหนูแทนบ่าว…”
“หวังหมัวมัวท่านทำใจให้สบายเถิด ไม่ต้องพูดแล้ว…” กัวอ้ายกุมมือนางแน่น ทั้งยังพยักหน้าตอบรับคำขอของนาง
ความจริงแล้วกัวอ้ายละอายใจมาก ถึงขั้นอยากบอกหวังหมัวมัวว่าตนเองมิใช่ซูลี่ ไม่มีค่าพอให้หวังหมัวมัวทำเพื่อตนถึงเพียงนี้ แต่ในเวลาเช่นนั้น นางพูดไม่ออกจริงๆ
กลางยามจื่อ* หวังหมัวมัวก็สิ้นลม กัวอ้ายจัดพิธีศพแบบเรียบง่ายให้กับหญิงอาวุโสเท่าที่ความสามารถทั้งหมดของนางจะทำได้ นอกจากเพื่อนบ้านแล้ว แม้แต่ท่านหมอเจียงเองก็มาร่วมแสดงความเสียใจและคอยช่วยเหลือ
เย็นวันเดียวกันกับที่พิธีศพเสร็จสิ้น ท่านหมอเจียงกับชูรื่อรั้งอยู่เป็นเพื่อนกัวอ้าย เห็นกัวอ้ายดูไม่สดใสเพราะเหน็ดเหนื่อยทั้งยังมีอาการโศกเศร้าติดต่อกันหลายวัน เขาพลันเอ่ยถามขึ้นมาอย่างจริงใจ “อาลี่ ตอนนี้แม่เจ้าตายแล้ว วันข้างหน้าวางแผนไว้ว่าอย่างไร”
“ท่านหมอไม่ต้องเป็นห่วง หากข้าออกไปหางานทำก็คงจะพอหาเลี้ยงตนเองได้” กัวอ้ายเผยรอยยิ้มขมขื่น
ช่วงก่อนหน้านี้ให้หวังหมัวมัวรักษาตัว เสียค่าใช้จ่ายไปไม่น้อย นางสำนึกในสิ่งที่หวังหมัวมัวทำให้ จึงอยากให้ผู้สูงอายุได้จากไปโดยสบาย ดังนั้นถึงได้จัดงานพิธีศพอย่างเต็มกำลัง ทุกอย่างที่พอจะนำไปจำนำได้ล้วนนำไปจำนำหมดแล้ว ที่เก็บสะสมมาก็ใช้แล้วจนหมด เกี่ยวกับว่าอนาคตควรจะทำอย่างไรต่อไป นางไม่ได้มีแผนการวางเอาไว้จริงๆ ทำได้เพียงวางแผนเอาชีวิตรอดไปวันต่อวันเท่านั้น
“เช่นนั้นเจ้าย้ายออกมา อยู่ด้วยกันกับข้าและชูรื่อดีหรือไม่”
กัวอ้ายประหลาดใจมากที่เขายกข้อเสนอนี้ขึ้นมา เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ได้ทำความรู้จักกันจริงๆ เพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร…”
ท่านหมอเจียงโบกมือยับยั้งคำปฏิเสธของนาง แล้วจึงเอ่ยอธิบายอย่างอ่อนโยน
“เจ้าเป็นเด็กดีคนหนึ่ง ที่ผ่านมาก็ได้เจ้าคอยช่วยชูรื่อเอาไว้ไม่น้อย ข้าซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เด็กคนนี้เกิดมาปัญญาอ่อน มักจะถูกคนอื่นรังแกอยู่เสมอ ยากนักจะมีสหายเช่นเจ้าสักคน” ขณะที่พูดอยู่ก็พลันมองนางด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกคราหนึ่ง จากนั้นจึงอ้าปากเอ่ย “ยิ่งกว่านั้น เด็กสาวอย่างเจ้าจะอาศัยอยู่ข้างนอกตามลำพังได้อย่างไร”
กัวอ้ายนิ่งอึ้ง ดวงตาเบิกกว้างโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นโครมคราม ทำอย่างไรดี ท่านหมอเจียงรู้ความจริงได้อย่างไร ตอนนี้นางควรมีท่าทีอย่างไร ดีไม่ดีเขาอาจกำลังวางอุบายล่อหลอกนางอยู่ก็ได้
นางนิ่งไปนานก็ยังคิดคำปฏิเสธไม่ออก ท่านหมอเจียงเห็นท่าทีของนางก็นึกรู้ดีอยู่แก่ใจก่อนแล้ว จึงยิ้มอย่างเข้าใจแล้วเอ่ย “แม้ข้าจะแก่แล้ว แต่หูตายังไม่ฝ้าฟาง การปฏิบัติตัวของเจ้าถึงแม้จะไม่เรียบร้อยเหมือนเด็กสาวทั่วไป นิสัยก็เปิดเผย แต่จากรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังพอดูออกได้”
เมื่อเห็นว่าปิดบังเรื่องราวต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ นางจึงทำได้เพียงผงกศีรษะ สารภาพออกไปตามตรงว่าตนเองมีความจำเป็นบางอย่าง แต่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมาของนางกลับบอกออกไปแค่บางส่วน เพียงพูดว่าจริงๆ แล้วตนชื่อกัวอ้าย เป็นเพราะเจอศัตรูตามไล่ฆ่าถึงได้เปลี่ยนชื่อสกุลปิดบังตัวตน
กำลังคิดจะขอร้องให้ท่านหมอเจียงอย่าได้พูดเรื่องนี้ออกไป เขากลับเดาใจนางได้ แสดงความจริงใจออกมาก่อน “ในเมื่อรู้แล้วว่าเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ข้าย่อมไม่อาจนั่งอยู่เฉยๆ ทำเป็นไม่สนใจได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเปิดโปง คนเป็นหมอย่อมมีใจเมตตา เรื่องที่โหดร้ายถึงเพียงนี้แน่นอนว่ายิ่งไม่อาจทำได้ แต่ข้าก็ขอแนะนำให้เจ้าย้ายออกมาตามที่ข้าบอก มีข้าคอยดูแล ป้าหวังถึงจะวางใจได้อย่างแท้จริง”
เห็นเขาส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ กัวอ้ายในใจพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ดวงตาเองก็มีม่านหมอกบดบัง ภาพตรงหน้ากลับกลายเป็นพร่าเลือน
ชูรื่อที่อยู่ด้านข้างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่เห็นนางขยับมือปาดน้ำตาก็รู้จักที่จะพูดจาปลอบใจ รีบร้อนทำท่าทางเลียนแบบผู้ใหญ่ยกมือลูบศีรษะนาง ปากยังพึมพำเอ่ย “เด็กดี เด็กดีไม่ร้องไห้…”
หมอชราเห็นหลานชายมีจิตใจคิดปลอบคนก็หัวเราะออกมาอย่างอ่อนโยน ทั้งยังกล่าวกับกัวอ้าย “ให้เจ้าย้ายมาอยู่กับพวกเราสองลุงหลาน ความจริงแล้วทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นความเห็นแก่ตัวของข้า เพราะโรงหมอของข้ากำลังขาดลูกจ้างอยู่คนหนึ่งพอดี อยากให้เจ้ามารับงานนี้แล้วช่วยข้าดูแลชูรื่อไปพร้อมกัน อย่างไรข้าเองก็ไม่เกรงใจเจ้าล่ะ นอกจากที่พักกับอาหาร เบี้ยหวัดก็มีให้เดือนละห้าร้อยอีแปะ เจ้าอย่าได้รังเกียจว่าโดนเอาเปรียบเลย” เขาเอ่ยล้อเล่นจบ ยังตบบ่านางเป็นการให้กำลังใจ
กัวอ้ายเม้มปากเป็นรอยยิ้ม ชั่งน้ำหนักอย่างรอบคอบครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าข้อเสนอนี้ไม่เลวเลย ในเมื่อสิ่งที่ท่านหมอเจียงพิจารณาไว้นั้นความจริงแล้วถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้นที่ผ่านมานางเรียนแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่มีทักษะผลิตยากับอุปกรณ์ นางเองก็เป็นดั่งวีรบุรุษมือเปล่า มิสู้ติดตามอยู่ข้างกายท่านหมอเจียงเรียนวิชา ผสมผสานความรู้แพทย์แผนโบราณกับแผนปัจจุบันเข้าด้วยกันยังจะมีประโยชน์มากกว่า
มิหนำซ้ำนี่ยังดีกว่าการเข้าวังไปขอความช่วยเหลือจากหวังลู่อย่างเทียบไม่ติด อิงจากประสบการณ์ที่นางเคยดูละครโบราณมา สถานการณ์ภายในวังล้วนเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย มากด้วยแผนการอำมหิตทุกประเภท นับเป็นสถานที่ที่อันตรายเป็นที่สุด นางอย่าได้เข้าไปพัวพันในวังวนนั้นด้วยเลยเป็นดี!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว กัวอ้ายย้ายมาอยู่ที่ตรอกเจี้ยนอัน อาศัยอยู่กับสองลุงหลานได้สักพักหนึ่งแล้ว ภายใต้การสั่งสอนของท่านหมอเจียง นางเริ่มจากทำความรู้จักชนิดของสมุนไพรและการจัดเทียบยา ค่อยๆ เรียนรู้เพิ่มเติมไปเรื่อยๆ เพราะเรื่องพวกนี้สำหรับนางแล้วถือว่าค่อนข้างเป็นความรู้ที่แปลกใหม่ ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือทำงานนางจึงล้วนกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
ท่านหมอเจียงพอรู้ว่านางรู้หนังสือ ทั้งรู้สึกประหลาดใจและดีใจเป็นอย่างมาก ยิ่งเห็นนางตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ไม่เพียงแต่มอบความรู้ทั้งหมดที่มีให้ ยังให้นางยืมตำราหมอไปศึกษาเพิ่มเติมอีกหลายเล่ม
แม้โรงหมอจะเล็ก แต่ฝีมือการรักษาของท่านหมอเจียงกลับไม่ธรรมดา ค่าตรวจรักษาเองก็ไม่แพง ด้วยเหตุนี้ที่ห้องโถงจึงมักเต็มไปด้วยคนไข้ กัวอ้ายนอกจากจัดเทียบยาแล้ว บางทียังต้องคอยช่วยทำตามคำร้องขออันหลากหลายของคนไข้
วันนี้ก็เป็นเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา คนที่มาหาหมอ มาเอายา ล้วนหลั่งไหลกันมาไม่ขาดสาย โรงหมอในตอนนี้เบียดเสียดจนแทบไม่มีที่จะอยู่
“แค่กๆ เจ้าหนุ่ม ตกลงเมื่อไรจะถึงทีข้าสักที ข้าไอจนทรมานแล้ว…”
“เจ้าหนุ่ม หลายวันมานี้ข้านอนไม่ค่อยหลับ ช่วงกลางวันไม่มีกะจิตกะใจทำงาน ควรกินยาอะไรจึงจะดี”
“เจ้าหนุ่ม พวกเจ้ามียาห้ามเลือดหรือไม่ รีบนำออกมาเร็ว ลูกชายข้าเพิ่งหกล้ม ตอนนี้เลือดยังไม่หยุดไหลเลย”
ผู้คนอึกทึกโหวกเหวก กัวอ้ายแบ่งตัวยาในมือตามจำนวนใส่ห่อแล้วส่งให้กับคนไข้ที่รออยู่ หลังเสร็จจากงานที่ทำอยู่แล้ว ถึงได้รีบทำตามคำร้องขอของคนไข้คนถัดไป
“ญาติพี่น้องทุกท่านอย่าเพิ่งใจร้อน ได้โปรดอดทนรอก่อน มีอาการป่วยอะไรรอให้ท่านหมอตรวจเรียบร้อยแล้วกินยาตามคำแนะนำของท่านหมอย่อมสามารถหายดีได้ พวกท่านมาถามข้าตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด” มือยังไม่หยุดขยับห่อยา ปากก็พูดอย่างเร็วรี่ “ท่านลุงคนนั้น บาดแผลของลูกชายท่านต้องให้ข้าเห็นก่อน บอกก่อนว่าบาดเจ็บที่ใด อย่างไร ข้าถึงจะรู้ว่าควรจัดยาสมุนไพรแบบทาหรือว่าแบบ…”
นางยุ่งจนปลีกตัวไปที่ใดไม่ได้ ยังได้ยินเสียงท่านหมอเจียงตะโกนมาจากมุมที่นั่งตรวจวินิจฉัย “อาลี่ จัดตำรับยาต้มบำรุงปอดให้ผู้เฒ่าท่านนี้”
“ขอรับ” นางเปิดลิ้นชักยาที่ด้านหลัง หยิบตัวยาที่จำเป็นออกมาทีละตัวๆ
ในตอนนี้เองร่างคนผู้หนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาในโรงหมอ แหวกฝูงชนมายืนตะโกนอยู่เบื้องหน้าท่านหมอเจียง “แย่แล้ว! ท่านหมอ หลานชายปัญญาอ่อนของท่านตกแม่น้ำ เขาจมน้ำตายไปแล้ว!”
ท่านหมอเจียงได้ยินแล้วผุดลุกขึ้นด้วยความตื่นตระหนก ดวงตาเบิกกว้าง สองมือสั่นระริก พูดอะไรไม่ออก
กัวอ้ายห่วงว่าเขาจะทนรับแรงจู่โจมจากเรื่องนี้ไม่ไหว จึงรีบร้อนออกจากหลังโต๊ะเก็บเงินมาอยู่ข้างกายเขา
คนไข้เหล่านั้นรู้ว่านี่ถือเป็นสถานการณ์ร้ายแรงจึงต่างพากันแหวกทางให้
นางพยุงท่านหมอเจียง ต้องการให้เขานั่งลงก่อน ตอนนั้นเองที่เขาพลันกลับมามีสติ เอ่ยถามด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน “เด็กคนนั้นอยู่ที่ใด!”
คนที่มาบอกข่าวถูกเสียงตะโกนของเขาทำให้ตกใจ ตอบกลับเสียงสั่น “อยู่…อยู่ตรงสะพานไท่ผิง”
ท่านหมอเจียงหุนหันวิ่งออกไปในทันทีที่ได้ยิน คนแจ้งข่าวคนนั้นรีบร้อนตามไป แต่เดิมกัวอ้ายเองก็คิดอยากไปดูสถานการณ์ แต่ไม่สะดวกพอจะปล่อยให้คนออกันอยู่เต็มโรงหมอโดยไม่มีการดูแล จึงทำได้แค่อยู่จัดการเรื่องราวที่เหลือนี้ต่อให้เรียบร้อย คนไข้ที่อาการค่อนข้างเร่งด่วน นางก็รีบจัดการเท่าที่จะทำได้ นอกเหนือจากนั้นคือส่งพวกเขาไปยังโรงหมอแห่งอื่น
ถึงร่างกายยุ่งติดพันกับคนไข้แต่ในใจก็คอยเป็นกังวลต่อสถานการณ์ทางด้านท่านหมอเจียง กัวอ้ายรู้สึกว่าช่วงเวลานี้กำลังเคลื่อนผ่านไปนานเป็นปี กว่าคนไข้ในโรงหมอจะหมดลง ท่านหมอเจียงก็กลับมาพร้อมเกวียนลากคันหนึ่งพอดี
กัวอ้ายออกมารับ นางมองคนข้างเท้าท่านหมอเจียงที่มีผืนฟางปิดคลุมร่างกายอยู่ ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลทะลักออกมา
เมื่อตอนเช้าชูรื่อยังร่าเริงสดใส พูดว่าอากาศดีต้องออกไปเที่ยวเล่น เป็นเพราะในโรงหมอยุ่งวุ่นวายจริงๆ ท่านหมอเจียงถึงยอมอนุญาตให้เขาออกไปเล่นข้างนอกใกล้ๆ ได้ ใครจะรู้ว่าออกจากบ้านไปครานี้ กลับกลายเป็นการไปแล้วไปลับไม่มีวันได้กลับมาอีกแล้ว
ตั้งแต่กัวอ้ายข้ามมิติมาที่นี่ ได้ผ่านการพลัดพรากตายจากมาอย่างต่อเนื่อง โศกนาฏกรรมของมู่ซื่อและคนอื่นๆ เมื่อแรกเริ่มเป็นเพราะว่ากะทันหันเกินไป นางจึงไม่มีโอกาสให้ทันได้เศร้าโศก ตามมาด้วยหวังหมัวมัวล้มป่วย เห็นสภาพผู้สูงอายุแย่ลงไปทุกวันๆ ความรู้สึกนับถอยหลังรอความตายแม้ว่ายากจะทานทน แต่เมื่อเทียบกับเรื่องชูรื่อ คนแข็งแรงดีๆ คนหนึ่งกลายเป็นซากศพเย็นชืดในพริบตา ไม่มีวันพูดจาหรือยิ้มแย้มได้อีก นั่นยิ่งทำให้คนไม่อาจทนรับไหว
นางยื่นมือออกไปคิดอยากเปิดผืนฟางออกเพื่อดูชูรื่อ ทว่าถูกท่านหมอเจียงยั้งเอาไว้ “เห็นแล้วจะยิ่งทนไม่ได้ เจ้าอย่าดูเลย”
หลังได้ยินเขาพูดจบ กัวอ้ายปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาทันที ท่านหมอเจียงที่ร้องไห้ไปแล้วหลายรอบยามยืนยันตัวตนศพที่ริมตลิ่ง เมื่อถูกกระตุ้นอารมณ์ ดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาอีกหน เขาดึงกัวอ้ายเข้ามากอด เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบเครือ “เด็กคนนั้นช่างดื้อนัก…ข้ากำชับเขาแล้วว่าอย่าไปแถวริมตลิ่ง…เขาก็ยังเอาแต่เที่ยวเล่น ช่างไม่รู้ฟังจริงๆ”
กัวอ้ายเองก็ออกแรงกอดเขาตอบ เอ่ยปลอบไปร้องไห้ไป “ท่านหมอเจียงอย่าเสียใจไป ต้องระงับความเศร้าด้วย…”
เพราะชูรื่อยังไม่ถึงวัยผู้ใหญ่ ตามธรรมเนียมแล้วจึงทำได้แค่เพียงฝังศพอย่างลวกๆ เท่านั้น หลังจากผ่านการจัดงานศพอย่างเรียบง่ายมาแล้ว วันเวลาก็ผ่านไปอีกหลายวัน ความเจ็บปวดในใจกัวอ้ายเองก็ค่อยๆ เจือจางลง แต่ถึงอย่างไรท่านหมอเจียงก็ใช้เวลาอยู่ร่วมกับชูรื่อมาหลายปี มีความผูกพันลึกซึ้ง เขาจึงยังมีอาการซึมเศร้าอยู่เช่นเดิม อีกทั้งยังพูดจาน้อยลง ส่วนกิจการโรงหมอเขาก็ไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไรนัก
ทว่าวันหนึ่งจู่ๆ ก็มีชายชราท่าทางเคร่งขรึมจริงจังมายังโรงหมอ เขาไม่ได้มาเพื่อตรวจโรค แต่มาหาท่านหมอเจียงและอยู่พูดคุยร่วมกันเป็นเวลานาน
กัวอ้ายรู้สึกว่าชายชราคนนั้นมีบางอย่างแปลกๆ ก่อนจากไปยังหันมามองนางหลายหน ทำให้นางรู้สึกขนลุกอยู่บ้าง กลัวว่าเขาจะดูออกว่านางเป็นใคร
ครั้นตอนกลางวันผ่านไป ท่านหมอเจียงเห็นว่าวันนี้ไม่มีคนไข้เท่าใดนัก จึงสั่งให้นางเก็บของปิดโรงหมอเสียอย่างนั้น
“หลังยามอู่* ข้าจะออกไปข้างนอก” หลังกินอาหารกลางวันเสร็จ เขาพูดเพียงประโยคเดียวทิ้งท้ายเอาไว้ก็ออกไป
หลายวันที่ผ่านมานี้เขาแทบจะไม่ก้าวเท้าออกจากบ้าน หนนี้อยู่ๆ ก็ออกไป กัวอ้ายรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่พอคิดว่าวันนี้ตอนเช้าเขากับชายชราผู้นั้นมีท่าทีคุ้นเคยกัน บางทีท่านหมอเจียงอาจจะออกไปตามนัด นางจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
เพียงแต่ยามที่กัวอ้ายมองตามแผ่นหลังของท่านหมอเจียงที่ลับหายไป นางรู้สึกจริงๆ ว่าช่วงนี้เขาผอมลงมากจนเกินไปแล้ว นึกห่วงว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปผู้สูงอายุจะทนไม่ไหวได้ ดังนั้นนางจึงตั้งใจว่ารอเขากลับมาแล้วจะต้องพูดจาเกลี้ยกล่อมดีๆ สักหน
ใครจะคิดว่าเรื่องราวกลับเปลี่ยนไปในทางไม่คาดฝัน ราวๆ ยามโหย่ว* ท้องฟ้าส่วนใหญ่มืดลงแล้ว ทว่าท่านหมอเจียงยังไม่กลับมา กัวอ้ายกำลังเป็นห่วงว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่ ก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันดังมาจากประตูหน้า
นางเดินเข้าไปมองใกล้ๆ ที่แท้เป็นท่านหมอเจียงกลับมาแล้ว ข้างกายยังมีชายชราท่าทางเคร่งขรึมเมื่อตอนเช้าผู้นั้นตามมาด้วย
ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะไปดื่มสุรากันมา สีหน้าท่านหมอเจียงดูดีขึ้นไม่น้อย ไม่ได้ทุกข์ใจดังเดิมอีก พอเห็นกัวอ้ายเขาก็ตั้งใจส่งยิ้มมาให้ ชูห่อกระดาษมันในมือแล้วเอ่ย “อาลี่ ยังไม่กินข้าวสินะ ข้าเอาของกินอร่อยๆ กลับมาด้วย”
กัวอ้ายรับห่อกระดาษมันมา แม้ว่าจะแปลกใจ แต่ก็รู้สึกว่าการที่เขาอารมณ์ดีขึ้นถือเป็นเรื่องดี จึงเดินเข้าไปในห้องครัวจัดอาหารทั้งหมดใส่จานแล้วนำออกมา
กินข้าวกันไปหลายคำ ท่านหมอเจียงพลันหันมามองกัวอ้ายพร้อมเอ่ย “อาลี่ ชูรื่อไม่อยู่แล้ว วันข้างหน้าเหลือเพียงพวกเราให้พึ่งพาอาศัยกันแล้ว”
กัวอ้ายเห็นในแววตาเขาปรากฏความเสียใจพาดผ่านอีกครั้ง นางจึงรีบร้อนเอ่ยปลอบ “ท่านหมอเจียง ท่านวางใจได้ วันข้างหน้าข้าย่อมคอยทดแทนบุญคุณท่านแทนชูรื่อ”
“เด็กดี หลายวันมานี้ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว วันนี้ข้าได้ความคิดดีๆ มา รู้สึกว่าใช้ได้ เจ้าลองฟังดู” พูดพร้อมล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาส่งให้กัวอ้าย
เห็นบนหัวกระดาษเขียนไว้ว่า ‘ชูรื่อ’ สองคำ นางอดนิ่งอึ้งไปไม่ได้
เผชิญหน้ากับสายตาสงสัยของนาง ท่านหมอเจียงหัวเราะเอ่ย “ข้ามิมีบุตร หลานชายเพียงคนเดียวก็ด่วนจากไปเร็ว เลยคิดอยากรับเจ้ามาเป็นบุตรบุญธรรม อนาคตข้างหน้าสืบทอดกิจการโรงหมอข้าต่อไปดีหรือไม่ วันนี้ข้าเชิญหลี่เจิ้งมาเป็นพยาน หากเจ้าตอบตกลง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือบุตรชายของข้า”
กัวอ้ายประหลาดใจอย่างยิ่งยวด
หลี่เจิ้งที่อยู่ด้านข้างยิ้มแย้มกล่าวเสริมขึ้นมาในตอนนั้น “นี่เป็นข้อเสนอของข้า ข้าเห็นว่าตาเฒ่านี่อายุก็มากแล้ว ไม่มีคนคอยดูแลจะได้อย่างไร เกลี้ยกล่อมให้แต่งภรรยาก็ไม่ยอมแต่ง ยิ่งตอนนี้ชูรื่อไม่อยู่แล้ว หากต้องอยู่ตามลำพังไปจนแก่มิใช่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าหรอกหรือ ได้ยินมาว่าเจ้าทำงานในโรงหมอนี้ให้เขามาสักพักแล้ว ทั้งมีความสามารถและฉลาดเฉลียว เขาเองก็ค่อนข้างชื่นชมเจ้า ข้าถึงได้กล่อมให้เขาพิจารณารับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรม”
เมื่อเห็นกัวอ้ายมีท่าทีลังเลอยู่บ้างหลี่เจิ้งจึงเอ่ยต่อ “ได้ยินมาว่าเพราะสงครามเมื่อหลายปีก่อนทำให้เจ้าสูญเสียทะเบียนสำมะโนครัวไป ข้ากับเขาปรึกษากันแล้ว ตั้งใจให้เจ้ามาสวมรอยเป็นชูรื่อในทะเบียนสำมะโนครัวแทน หากเจ้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของข้า เห็นแก่ความสัมพันธ์ในหลายปีมานี้ระหว่างข้ากับท่านหมอเจียง ข้าจะช่วยในเรื่องนี้เอง ภายภาคหน้าเจ้าเองก็จะลดปัญหาไปได้อีกมาก”
นางฟังจบแล้วรับรู้ได้ถึงความทุ่มเทของท่านหมอเจียง ก็ซาบซึ้งขึ้นมาจนขอบตาแดงระเรื่อ “ท่านหมอเจียง ท่านเสียใจกับเรื่องของชูรื่อถึงเพียงนั้น เหตุใดถึงยังเตรียมการมากมายเพื่อข้าได้อีก…”
เดิมนางหลงคิดว่าที่ท่านหมอเจียงทำดีต่อนาง เป็นเพราะว่านางเคยช่วยเหลือชูรื่อเอาไว้ในอดีต ตอนนี้ชูรื่อจากไปแล้วก็เป็นไปได้ที่เขาจะพาไมตรีจิตไปด้วยไม่น้อย มิคาดว่าท่านหมอเจียงนอกจากความเสียใจต่อชูรื่อแล้ว ยังพิจารณาเรื่องราวแทนนางมากมายถึงเพียงนี้ เกี่ยวกับเรื่องทะเบียนสำมะโนครัว กระทั่งตัวนางเองยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตันใจเป็นพิเศษ
หลี่เจิ้งกล่าวยิ้มๆ “โตเป็นหนุ่มแล้วแท้ๆ เหตุใดถึงได้ร้องไห้ง่ายนักเล่า…”
ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น กัวอ้ายจึงหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ท่านหมอเจียงเองก็พลอยหัวเราะออกมาเช่นกัน
เรื่องท่านหมอเจียงรับกัวอ้ายเป็นบุตรบุญธรรม ผ่านไปไม่กี่วันเพื่อนบ้านข้างเคียงก็ล้วนรับรู้กันโดยทั่ว พวกเขาต่างรู้สึกชื่นชอบกัวอ้ายที่ทั้งเชื่อฟังและมีความสามารถกันแต่แรกอยู่แล้ว ทั้งทนเห็นท่านหมอเจียงเสียใจกับการจากไปของชูรื่อต่อไปไม่ไหว เมื่อรู้ว่าในที่สุดเขาก็กลับมาลุกขึ้นสู้ได้อีก ซ้ำวันข้างหน้ายังมีคนคอยดูแล ต่างก็รู้สึกดีใจแทนเขาด้วยกันทั้งนั้น
วันนี้หลังอาหารกลางวันผ่านไป กัวอ้ายถูกท่านหมอเจียงกำชับให้ไปซื้อของที่ร้านขายยาสมุนไพรฉางชุนที่อยู่ห่างไปสองช่วงถนน ถึงแม้ไม่ใช่ระยะทางที่ไกลนัก แต่ด้วยกลัวว่าท่านหมอเจียงอยู่คนเดียวจะยุ่งจนดูแลคนไข้ไม่ไหว จึงรีบเดินเร็วๆ ออกจากตรอกที่โรงหมอตั้งอยู่ นางรู้สึกว่าวันนี้คนบนถนนมีน้อยกว่าปกติ บรรยากาศวังเวงอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่านางเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ยังคงรีบมุ่งหน้าไปให้ถึงสถานที่ที่เป็นจุดหมายโดยเร็ว
มาถึงยังร้านขายยาสมุนไพรฉางชุน ลูกจ้างที่ดูแลร้านจำนางได้ เดินมาทักทายต้อนรับอย่างเป็นกันเองทันที นางหยิบรายการสมุนไพรที่ท่านหมอเจียงเขียนไว้เรียบร้อยแล้วออกมาส่งให้อีกฝ่าย จากนั้นหลบไปยืนดูสมุนไพรอื่นๆ ภายในร้าน
นางยืนอยู่บริเวณมุมร้านในตอนนี้ ทั้งหันหลังให้กับทางเข้า ดังนั้นจึงไม่ทันสังเกตเห็นนายทหารหลายคนกำลังเดินตรงไปยังโต๊ะเก็บเงินของร้าน
“เคยเห็นเด็กสาวคนนี้ในบริเวณใกล้เคียงมาก่อนหรือไม่” นายทหารที่เดินนำเข้ามามีน้ำเสียงเย็นชาดุดันยิ่ง
“ไม่เคยขอรับ” ลูกจ้างคนนั้นมองภาพวาดเสมือนในมือนายทหาร ทั้งเอ่ยต่อ “คนคนนี้ไม่ใช่บุตรสาวของท่านมหาราชบัณฑิตซูเฝิงหรอกหรือ เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้วเจ้าหน้าที่คนอื่นก็เคยมาถามหลายรอบแล้ว…”
“วาจาไร้สาระไม่ต้องพูด ถ้าพบเห็นคนคนนี้ให้รีบไปแจ้งทางการทันที หากกล้าหลอกลวง ช่วยปกปิดให้ที่หลบซ่อน ล้วนต้องโทษตามกฎหมายทั้งหมด”
ได้ยินบทสนทนาเหล่านี้ กัวอ้ายหัวใจเต้นระรัว มิน่าคนบนถนนถึงน้อยนัก ที่แท้เป็นเพราะทางการออกตามหาคนนี่เอง
แย่แล้ว หากนายทหารเหล่านั้นมาตรวจสอบนาง คงยากจะหลบพ้นแล้วแน่นอน
ในยามฉุกเฉิน นางอาศัยโอกาสที่นายทหารเหล่านั้นยังไม่ทันสังเกต ขยับไปยังประตูด้านข้างอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะหลบออกไปข้างนอกร้าน
มิคาดว่านางเพิ่งหนีมาได้ไม่ไกล ห่างออกไปยังมีนายทหารคนหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ เห็นนางตั้งท่าจะหลบหนีก็รีบร้อนตะโกน “นี่ เจ้าเด็กน้อยอย่าขยับ!”
กัวอ้ายรู้ว่าตอนนี้ห้ามวิ่งหนีโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะต้องดึงดูดนายทหารคนอื่นๆ ให้ไล่ตามนางมาแน่ๆ ถึงอย่างไรนางก็แต่งกายเป็นชาย หากอีกฝ่ายไม่เปรียบเทียบนางกับภาพวาดโดยละเอียด คงไม่มีทางจดจำได้ในระยะเวลาสั้นๆ แน่…
ทว่าความนึกคิดคือคิดไว้เช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกของนายทหารคนนั้น จิตใต้สำนึกของนางกลับไม่ยอมฟังเสียงความคิด เท้าขยับนำพาร่างก้าวไปข้างหน้าก่อนแล้ว!
เพียงนางออกวิ่ง นายทหารคนนั้นรีบติดตามมาทันที กัวอ้ายไม่ค่อยสันทัดเรื่องวิ่ง ได้แต่อาศัยที่ตนเองคุ้นเคยลู่ทาง มุดหลบเข้าไปในตรอกเล็กๆ ตรอกหนึ่งอย่างมีไหวพริบ
ด้วยความที่ในตรอกมีของวางระเกะระกะมากมาย ทางทั้งแคบ ทั้งยังมีตรอกเล็กตรอกน้อยเคี้ยวคดนับไม่ถ้วน ถึงนายทหารคนนั้นจะฝีเท้าว่องไวแต่ก็ไร้หนทางไล่ตามนางได้ทัน แต่สิ่งที่ติดตามมากับเสียงตะโกนของเขา กลับไปดึงดูดความสนใจของนายทหารคนอื่นเข้า พวกเขาจึงต่างพากันมาเข้าร่วมในการไล่จับนางครั้งนี้กันหมด
สุดท้ายกัวอ้ายวิ่งออกจากตรอก โผล่มายังสถานที่ที่ผู้คนค่อนข้างพลุกพล่าน แต่คิดจะฉวยโอกาสนี้สลัดเหล่านายทหารให้หลุดไปกลับไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงเพื่อจับคน บรรดานายทหารได้เริ่มขับไล่กลุ่มคนออกไป
กัวอ้ายในใจหวาดกลัว มองเห็นรถม้าที่กำลังเคลื่อนที่คันหนึ่ง ก็ขยับมือเท้ามุดเข้าไปเป็นพัลวันโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด
รอจนกระทั่งนางปีนเข้าไปในตัวรถ ค่อยๆ สงบสติ ถึงได้สังเกตว่าภายในรถมีกลุ่มเด็กอายุตั้งแต่สิบถึงสิบห้าปีนั่งรวมกันอยู่
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงได้ลอบเข้ามา” เด็กค่อนข้างโตคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“รถ…รถคันนี้จะไปที่ใด” นางไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรจึงถามกลับไปส่งๆ
“วังหลวง พวกเราล้วนถูกเรียกตัวเข้าวังไปเป็นขันที”
เด็กชายอายุสิบปีคนหนึ่งตอบคำถามของนางกลับมา ทว่ากลับถูกคนที่พูดขึ้นมาคนแรกตวาดใส่ “เจ้าอย่าไปบอกอะไรมากกับคนที่มีความเป็นมาไม่ชัดเจนเช่นนี้!”
“ข้า…ข้าเองก็ต้องการเข้าวังไปเป็นข้ารับใช้ เป็นเพราะมาสายจึงคลาดรถม้าคันก่อนหน้าไป เห็นคันนี้ถึงได้มุดเข้ามา…” ไม่มีทางเลือกแล้ว นางทำได้เพียงแก้ตัวไปส่งๆ
เด็กค่อนข้างโตคนนั้นมีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง นิ่งคิดไปสักพักจึงเอ่ยขึ้นมาอีก “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องบอกกงกงก่อน ถึงจะมานั่งรถคันนี้กับพวกเราได้” กล่าวจบ เขาก็เคาะกำแพงรถตรงฝั่งคนขับอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ไม่นานรถม้าก็ค่อยๆ จอดลง ตามมาด้วยขันทีน้อยคนหนึ่งขึ้นมา เพียงเขาเห็นกัวอ้ายก็ขมวดคิ้วทันที
กัวอ้ายกลัวตนเองถูกไล่ลงจากรถ ดังนั้นก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมาจึงรีบดึงรั้งชายเสื้อของเขา คุกเข่าลงสองข้างแล้วโค้งคำนับ ทั้งแอบหย่อนตำลึงเงินสองก้อนเข้าไปในชายเสื้อขันทีน้อย นั่นเป็นเงินที่แต่เดิมนางจะนำไปซื้อสมุนไพร
“คารวะกงกง ผู้น้อยชูรื่อ ต้องการเข้าวังไปเป็นข้ารับใช้” ในยามฉุกเฉิน นางยืมใช้ชื่อของชูรื่อออกมา
ในสมัยโบราณ ลูกหลานของครอบครัวยากจนมากกว่าครึ่งล้วนคาดหวังจะได้เข้าวังไปเป็นข้ารับใช้ ด้วยเหตุนี้ขันทีน้อยเห็นการกระทำเช่นนี้ของกัวอ้ายแล้วจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ทั้งเห็นท่าทางตุ้งติ้งของนาง ยังคิดไปว่านางผ่านการตอนมานานแล้ว ที่มุดเข้ามาในรถม้าคันนี้ยิ่งเป็นเรื่องที่วางแผนมาเป็นอย่างดี ขันทีน้อยขยับก้อนตำลึงเงินทั้งสองชั่งน้ำหนักแล้วก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ถึงด่านตรงหน้าจะฝืนผ่านไปได้แล้ว แต่กัวอ้ายขี่หลังเสือแล้วก็ยากจะลงได้ ตามระยะทางของรถม้าที่ยิ่งเคลื่อนห่างออกไปไกลจากถนนที่คุ้นเคย จิตใจนางเองก็ยิ่งยากจะสงบมากขึ้นเรื่อยๆ
ขันทีทุกคนต้องผ่านการตอน หากถูกจับได้ขึ้นมา เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะต้องตายสถานเดียว หวังเพียงแค่ให้นางหาหวังลู่ น้องชายของหวังหมัวมัวพบก่อนที่เรื่องราวจะเป็นไปเช่นนั้น
กัวอ้ายทอดสายตามองไปยังถนนที่อยู่เบื้องหลัง นางค่อยๆ ไกลออกมาจากที่ที่นางเคยอยู่มากขึ้นทุกที
ขออภัยด้วยท่านพ่อบุญธรรม โปรดให้อภัยที่ข้ามิอาจกลับไปได้อีกแล้ว เพราะว่าหากข้ายังอยู่ที่โรงหมอต่อไป ไม่ช้าก็เร็วจะต้องนำพาหายนะร้ายแรงถึงแก่ชีวิตมาสู่ท่าน
เมื่อเผชิญหน้ากับอนาคตอันไร้ทางเลือกเช่นนี้ กัวอ้ายจึงถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงคราหนึ่ง…
* โยนตนเองเข้าตาข่าย หมายถึงเข้าไปติดกับดักของผู้อื่นด้วยตนเอง หรือพาตนเองไปตาย
* ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.
* ยามอู่ คือช่วงเวลา 11.00 น. ถึง 13.00 น.
* ยามโหย่ว คือช่วงเวลา 17.00 น. ถึง 19.00 น.