ขันทีเจ้าดวงใจ
ทดลองอ่านนิยาย ขันทีเจ้าดวงใจ เล่ม 1 บทที่ 5
บทที่ห้า
หลังจากตกลงนัดหมายกันเรียบร้อยแล้ว จูจันจีก็เริ่มวางแผนการเป็นขั้นเป็นตอนในทันที ถึงแม้เขาไม่สามารถใช้ชื่อ ‘ชูรื่อ’ ชื่อนี้ในการตามหาคน แต่เขาก็สามารถใช้ ‘ขันที’ ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญนี้ร่วมกับฐานะของตนเองในการตามหาได้ เขาวางแผนที่จะใช้เวลาสองวันในการค้นหาราชสำนักฝ่ายในทั้งสิบสองหน่วย สี่กอง แปดฝ่าย รวมทั้งสิ้นยี่สิบสี่หน่วยงานขันทีให้ครบ เพื่อทำให้การละเล่นนี้จบลงก่อนกำหนดเสียที
เมื่อวานเขาทำการค้นหาไปเกินครึ่งเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่พบกับเด็กคนนั้น อีกสักพักเขาวางแผนจะไปยังหน่วยอาภรณ์ ไม่ว่าอย่างไรภายในวันนี้เขาจะต้องหาตัวคนออกมาให้ได้
“องค์…องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ” อู๋จิ่นอ้าปากอึกอักเอ่ย
“หืม?” จูจันจีไม่ได้หยุดฝีเท้าลง เขากำลังเดินอยู่ในอุทยานหลวง มองไปเหมือนเอื่อยเฉื่อย แต่แท้จริงแล้วความเร็วในการเดินกลับรวดเร็วยิ่ง
“กระหม่อมรู้สึกว่าหากองค์ชายต้องการตามหาคน เพียงสั่งให้บรรดาข้ารับใช้ไปทำเสียก็สิ้นเรื่องพ่ะย่ะค่ะ มิต้องลำบากให้องค์ชายเป็นผู้ออกตามหาด้วยตนเองไปเสียทุกที่ ว่าไปแล้ว…” เขาเองก็ไม่ได้คิดอยากตั้งคำถามต่อเรื่องของเจ้านาย แต่การเคลื่อนไหวคราวนี้ของเจ้านายค่อนข้างใหญ่โต ถึงแม้จะใช้คำว่าตรวจสอบเป็นข้ออ้าง แต่ชายารัชทายาทได้แอบมาสอบถามเขาเป็นการส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว เขาเองก็ไม่รู้เจตนาของผู้เป็นนาย จึงมิอาจไม่ถามได้ “องค์ชายต้องการค้นหาขันทีนามว่าชูรื่อผู้นั้นใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ความจริงเรื่องนี้เพียงตรวจสอบที่บัญชีรายชื่อ ก็สามารถหาตัวคนพบได้อย่างรวดเร็วแล้ว”
ก่อนหน้านี้ที่ผู้เป็นนายเคยพูดถึงชื่อขันทีผู้นั้นขึ้นมา เขาก็ได้จดจำเอาไว้ในใจแล้ว
ร่างของผู้เป็นนายหยุดเดิน ก่อนหันมากล่าว “อู๋จิ่น”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ากำลังตั้งคำถามต่อการทำงานของข้าหรือ” ยามนี้น้ำเสียงของจูจันจีเข้มงวดยิ่ง
“กระหม่อมมิบังอาจ” อู๋จิ่นตกใจจนลงไปนั่งคุกเข่าทันที ศีรษะก้มลงต่ำ หัวไหล่สั่นสะท้าน
เทียบกับผู้สูงศักดิ์คนอื่นภายในวังแล้ว เขาได้ติดตามหวงไท่ซุน ถือว่าได้ตามเจ้านายที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยง่ายมากแล้ว พระองค์มิมีทางต่อว่าตำหนิข้ารับใช้โดยไร้ที่มาและเหตุผล ยิ่งมิมีทางสั่งประหารเป็นว่าเล่น แต่การตั้งคำถามต่อหวงไท่ซุนเป็นเรื่องใหญ่เพียงใดกัน ดีไม่ดีศีรษะของเขาอาจหลุดออกจากบ่าไปเพียงเพราะเรื่องเล็กๆ ที่ชายารัชทายาทสั่งการให้ทำเช่นนี้เอง…
บรรยากาศหนักอึ้งไปครู่หนึ่ง อู๋จิ่นยังคงไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย ทำได้เพียงยืนยันจากรองเท้าเบื้องหน้าตนว่าผู้เป็นนายยังไม่ได้ไปที่ใด ยังคงกำลังยืนมองเขาอยู่ที่เดิม
“ใครใช้ให้เจ้ามาถาม” จูจันจีถามอย่างเฉียบขาดตรงประเด็น
“ชา…ชายารัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ…”
ที่แท้ก็เป็นพระมารดา เช่นนั้นก็ไม่นับว่าเป็นอะไร เขาเพียงแค่ไม่อยากให้พวกสอดรู้หาโอกาสแต่งเรื่องมาใส่ความเขาเท่านั้น
“อู๋จิ่น เจ้ารู้ว่าตลอดชีวิตนี้เจ้ามีนายเพียงคนเดียวใช่หรือไม่”
ได้ยินแล้ว อู๋จิ่นรีบร้อนโขกศีรษะเสียงดังทันที “กระหม่อมเข้าใจแล้ว ถึงตายไปแล้วก็ยังเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
“พอแล้ว ลุกขึ้นเถอะ” จูจันจีไม่ได้มีท่าทีเข้มงวดเหมือนดั่งเมื่อครู่อีกแล้ว กลับกันยังเอ่ยกลั้วหัวเราะออกมา “มิใช่ไม่ให้พวกเจ้าช่วย เพียงแต่คำพูดเมื่อพูดออกไปแล้วก็มิอาจคืนคำได้อีก ข้าจะต้องกระชากจิ้งจอกตัวนั้นออกมาด้วยตนเองให้ได้ถึงจะนับว่าไม่ผิดกฎเกณฑ์ ส่วนทางด้านเสด็จแม่ เจ้าก็รายงานกลับไปว่าไม่มีอะไร ข้าแค่อยู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าอยากจะตามหาขันทีที่คล่องแคล่วฉลาดเฉลียวมาคอยรับใช้สักคน”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าใจแล้ว” อู๋จิ่นผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คำกล่าวว่า ‘อยู่ข้างกายฮ่องเต้มิต่างจากอยู่ข้างกายพยัคฆ์’ นั้นไม่ได้เป็นคำกล่าวที่ไร้เหตุผลเลยจริงๆ แต่ไหนแต่ไรสิ่งที่คาดเดาได้ยากที่สุดคือใจคน โดยเฉพาะใจของเชื้อพระวงศ์
จูจันจีหันกายกลับไปและมุ่งหน้าเดินไปยังเป้าหมายที่ต้องการต่อ
นึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาก็รู้สึกว่าตนเองเข้มงวดกับขันทีข้างกายเกินไปหน่อยแล้ว คนที่มีใจภักดีกับตนเองมาโดยตลอดอย่างอู๋จิ่น ไม่มีวันที่จะทรยศหักหลังเขาเป็นอันขาด คิดเช่นนี้แล้ว เขาก็พลันรู้สึกตัวว่าที่ผ่านมาตนเองผ่อนปรนกับชูรื่อเป็นอย่างมากจริงๆ เจ้าเด็กนั่นถึงได้มักขวัญกล้าเทียมฟ้ากับเขาอยู่เสมอ ส่วนตนเองก็ยอมอ่อนข้อให้กับอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า
“บ่าวถวายพระพรองค์หวงไท่ซุนเพคะ” ที่ด้านหน้ามีนางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้ามาหยุดยืนย่อตัวแสดงความเคารพเบื้องหน้าจูจันจี
“ลุกขึ้น” จูจันจีจำได้ว่าคนที่มาเป็นนางกำนัลรับใช้ข้างกายพระบิดา “มีเรื่องอะไรหรือ”
“ขอบพระทัยองค์ชายเพคะ” นางกำนัลยืดตัวขึ้น ก่อนค้อมศีรษะลงเอ่ยอย่างนอบน้อม “องค์รัชทายาทกำลังพักผ่อนอยู่ในศาลาหกเหลี่ยม เมื่อทราบว่าองค์หวงไท่ซุนเองก็มาชมทัศนียภาพของอุทยานหลวงแห่งนี้ จึงมีพระประสงค์เชิญพระองค์ไปร่วมชมด้วยกันเพคะ”
ได้ยินแล้ว จูจันจีก็หันมองไปยังทางออกของอุทยานหลวงคราหนึ่ง ก่อนลอบถอนหายใจกับตนเอง ดูท่าวันนี้เขาจะไม่มีโอกาสไปค้นหาคนต่อให้เสร็จแล้ว
เขาสะบัดมือพลางกล่าว “เจ้านำทางเถอะ”
เพียงแต่กลุ่มคนเพิ่งก้าวเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็พลันได้ยินเสียงคนดังแว่วมาจากทางศาลาหกเหลี่ยม เสียงเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมาด้วยความตระหนกตกใจ “แย่แล้ว! องค์รัชทายาทหมดสติไปแล้ว ตามหมอหลวง รีบตามหมอหลวงมาเร็วเข้า!”
พร้อมด้วยขันทีผู้หนึ่งรีบร้อนวิ่งผ่านหน้าจูจันจีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้กระทั่งแสดงความเคารพ
จูจันจีใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้าไปในศาลาทันที
อู๋จิ่นเองก็ตกใจ รีบร้อนนำคนติดตามไป
ในตอนที่จูจันจีมาถึงศาลานั้น ก็ปะทะเข้ากับคนอีกกลุ่มที่มาจากทางเข้าอีกด้านของศาลา เป็นพระมารดาของเขานั่นเอง
เดิมชายารัชทายาทที่ตั้งใจมาหาพระสวามีอยู่แล้ว เมื่อได้ยินข่าวรัชทายาทหมดสติไปจึงรีบร้อนมายังศาลาหกเหลี่ยมนี้ทันที เพียงได้เห็นรัชทายาทนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่ โดยมีบรรดาข้ารับใช้คอยประคอง นางก็ยิ่งรู้สึกร้อนใจจนดวงตาแดงก่ำ
“เสด็จพี่! เสด็จพี่…” โดยมิคำนึงถึงฐานะ นางเดินเข้าไปกอดร่างพระสวามีซุกหน้าลงกับบ่าร่ำไห้เสียงดัง
ความจริงแล้วรัชทายาทจูเกาชื่อยังมีสติหลงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อย แต่นัยน์ตาของเขากลับไร้ซึ่งแวว ทั่วทั้งร่างอ่อนปวกเปียก ตัวก็เกิดอาการสั่นไม่หยุด อีกทั้งยังมิอาจเปล่งวาจาใดๆ ออกมาได้ ทำให้ผู้คนที่พบเห็นพระองค์ต่างล้วนหวาดวิตก
เห็นพระบิดาเป็นเช่นนี้ จูจันจีที่เป็นกังวลก็ถามขึ้นมาอย่างมีโทสะ “หลิวเป่า เจ้าดูแลเสด็จพ่ออย่างไรกัน ถึงกับทำให้พระองค์กลายเป็นเช่นนี้ไปได้! เจ้าสมควรตายนัก”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสมควรตาย” หลิวเป่าขันทีข้างกายรัชทายาททรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น เห็นเจ้านายตนเองใบหน้าซีดขาว เขายิ่งร้อนใจจนน้ำตาแทบไหลออกมา หากรัชทายาทสิ้นพระชนม์ไปเช่นนี้ เช่นนั้นเขาก็หนีโทษตายข้อหาถวายการดูแลไม่รอบคอบไม่พ้นอย่างแน่นอน “กระ…กระหม่อมสมควรตาย ยามที่พระองค์ออกมาจากตำหนักใหญ่ สีหน้าก็มิได้สู้ดีนักแล้ว สภาพจิตใจยังหดหู่ เอ่ยว่าต้องการมาผ่อนคลายยังอุทยานหลวง…กระหม่อมสมควรเกลี้ยกล่อมให้พระองค์กลับไปพักผ่อนยังวังบูรพาแทนจริงๆ”
ตำหนักใหญ่?
ได้ยินแล้วจูจันจีก็รู้ถึงเหตุผลที่ทำให้พระบิดาสภาพจิตใจหดหู่ขึ้นมาทันที ครั้งนี้คงหนีมิพ้นถูกพระอัยกาผู้มีกฎระเบียบที่เข้มงวดต่อว่าด้วยเรื่องบางเรื่องมาอย่างแน่นอน
“พอแล้ว เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง” ชายารัชทายาทมองใบหน้าของพระสวามีที่ยิ่งซีดเผือดลง ใจก็ยิ่งเป็นกังวลจนอ้าปากเอ่ย “หมอหลวงล่ะ เหตุใดยังไม่เห็นหมอหลวงมาอีก!”
“ทูลพระชายา กระหม่อมได้ส่งคนไปเชิญตัวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่…แต่ว่าจะให้มาถึงในระยะเวลาอันสั้นนั้น เป็นไปได้ว่าคงมาถึงไม่ทัน” หลิวเป่าตอบอย่างลำบากใจ
“สมควรตาย!” จูจันจีย่อตัวลง มองเห็นพระบิดาร่างกายอ่อนเปลี้ยอยู่บนพื้น ลมหายใจยังเปลี่ยนจากหอบกระชั้นเป็นอ่อนแรง เขาเกรงว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปพระบิดาอาจถึงตายได้
ในยามที่หมอหลวงยังไม่มา ร่างกายของจูเกาชื่อกลับชักกระตุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนตกใจจนสีหน้าแปรเปลี่ยนขนานใหญ่ ชายารัชทายาทและจูจันจียิ่งมีใบหน้าซีดเผือด
“พวกเจ้าถอยไปให้หมด อย่าขวางทาง ให้ข้าดูอาการของพระองค์หน่อย!” ฉับพลันคนผู้นั้นก็แทรกเข้ามาภายในศาลา พูดไปพร้อมกับออกปากไล่ทุกคนให้ไปอยู่บริเวณข้างนอก “พวกเจ้าอยู่ในนี้กันหมดมิใช่เรื่องดี ช่วยถอยออกไปข้างนอกกันก่อน”
บางทีอาจเป็นเพราะทุกคนกำลังตื่นตระหนกมากเกินไป จึงต่างพากันขยับถอยออกไปข้างนอกศาลาโดยเชื่อฟังกันหมด
และเพราะว่าคุ้นกับน้ำเสียงของผู้ที่มามากเกินไป อีกทั้งคำพูดคำจาที่ค่อนข้างไร้มารยาท จูจันจีจึงสังหรณ์ใจเงยหน้าขึ้นมองว่าใครกันที่เป็นผู้พูด ยามที่พบว่าเป็นชูรื่อนั้น เขาก็ตกใจอย่างแท้จริง
“เจ้า มาอยู่ที่นี่…” ได้อย่างไร แต่เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกอีกฝ่ายเอ่ยขัด
กัวอ้ายก็เอ่ยกับชายารัชทายาทอย่างนอบน้อม “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ก่อนที่กระหม่อมจะเข้าวังมาได้ศึกษาวิชาแพทย์กับหมอชราผู้หนึ่ง พอจะมีความรู้ความเข้าใจในด้านนี้อยู่บ้าง ด้วยเห็นว่าสถานการณ์ขององค์รัชทายาทอยู่ในช่วงที่เร่งด่วนนัก ขอให้กระหม่อมได้ลองดูอาการสักหน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ชายารัชทายาทกล่าวขึ้นอย่างกระวนกระวายทันที “ชูรื่อเจ้ารู้วิชาแพทย์หรือ ดี…ดียิ่ง เจ้ารีบลองดูเร็ว”
ได้ยินแล้วจูจันจีก็ขมวดคิ้ว ที่แท้พระมารดาเองก็รู้จักชูรื่อ ซ้ำยังถึงขั้นค่อนข้างไว้วางใจ มิอย่างนั้นจะยอมให้ข้ารับใช้ผู้หนึ่งกระทำเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ว่าตัวเขาเองก็อยากจะรอดูนักว่าเจ้าเด็กที่ชอบทำตัวลมเพลมพัด ไม่เอาการเอางานผู้นี้ จะมีฝีมือทางด้านนี้จริงหรือไม่
จูจันจีลุกขึ้นยืน เปิดพื้นที่ให้อีกฝ่ายเข้ามา
กัวอ้ายเดินเข้าไปใกล้จูเกาชื่อ ย่อตัวลง ชั่วครู่หนึ่งจึงเปิดเปลือกตาเขาขึ้นมอง อีกสักพักก็ง้างปากเขาออกดู จากนั้นจึงล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อของตนเองอย่างกะทันหัน ก่อนนำผ้าเช็ดหน้าที่ห่อของเอาไว้ออกมา หยิบของชิ้นหนึ่งที่อยู่ในนั้นใส่เข้าไปในปากของเขา
เห็นดังนั้น จูจันจีตกใจเป็นอย่างยิ่ง รีบร้อนถาม “เจ้าให้เสด็จพ่อเสวยอะไรเข้าไป”
“ทูลองค์หวงไท่ซุน เป็นเพียงก้อนน้ำตาลเล็กๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น วางใจได้พ่ะย่ะค่ะ” นางยังหยิบออกมาจากผ้าเช็ดหน้าอีกก้อนเพื่อยืนยันคำพูดของตนเอง จากนั้นหันไปทางจูเกาชื่อที่มิอาจพูดจา หากแต่ยังพอมีสติอยู่ “องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะให้พระองค์อีกหนึ่งก้อน เสวยเข้าไปแล้ว รอไปครู่หนึ่งอาการของพระองค์ก็จะดีขึ้นเองพ่ะย่ะค่ะ”
จูเกาชื่อมองอีกฝ่ายอย่างนิ่งอึ้ง ในแววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ถึงแม้คนรอบข้างเห็นแล้วจะไม่มีใครเข้าใจ แต่กัวอ้ายกลับเข้าใจได้ในทันที เพราะความแปลกใจของนางเองก็มีไม่ได้น้อยไปกว่าอีกฝ่าย นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนจริงๆ ว่าวันนี้จะได้เจอเรื่องน่าตกใจมากมายเพียงนี้
เริ่มจากหวงไท่ซุนที่ปลอมตัวเป็นองครักษ์ลับ ตามมาด้วยการค้นพบว่าก่อนที่นางจะเข้าวัง ชายอ้วนเศรษฐีที่เคยช่วยนางแก้ปัญหาด่วนเฉพาะหน้าผู้นั้นกลับเป็นถึงรัชทายาทองค์ปัจจุบัน! นางช่างมีวาสนาได้พบกับผู้สูงศักดิ์เสียจริง…แต่ว่าถ้าเป็นไปได้ นางไม่อยากได้ชะตาชีวิตเช่นนี้เลย
ในเมื่อความจริงแล้ว สำหรับ ‘ซูลี่’ เรื่องนี้มิใช่เป็นเรื่องที่ดีต่อความปลอดภัยในชีวิตนางสักนิด
จูเกาชื่ออมก้อนน้ำตาลเอาไว้ในปากปล่อยให้มันค่อยๆ ละลาย เพียงไม่นานหลังจากก้อนแรกละลายจนหมด กัวอ้ายก็ให้เขากินเข้าไปอีกหนึ่งก้อน
“เจ้าเพียงแค่ให้เสด็จพ่อข้าเสวยก้อนน้ำตาล?” เห็นนางไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก จูจันจีก็เอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“องค์หวงไท่ซุนอย่าได้ทรงดูถูกก้อนน้ำตาลเหล่านี้ หากใช้ถูกโรค ก็สามารถกลายเป็นของช่วยชีวิตได้พ่ะย่ะค่ะ” กัวอ้ายตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
พูดกันตามตรงแล้ว ถึงแม้นางจะมีท่าทีสงบนิ่ง แต่แท้จริงหัวใจกลับเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง
เมื่อครู่นางเพียงแค่มาส่งอาภรณ์ยังวังบูรพา แล้วถูกชายารัชทายาทเร่งรัดให้มาหารัชทายาทที่อุทยานหลวงด้วยกัน บอกว่าอยากให้นางเล่าเรื่องตลกสักเรื่องสองเรื่อง ให้รัชทายาทได้คลายความอัดอั้นใจ
ตอนนั้นในใจคิดว่าสามีภรรยาที่ไม่มีเครื่องมือสื่อสารคู่นี้ ตกลงแล้วใช้วิธีใดกันแน่ถึงได้รู้ที่อยู่ของอีกฝ่าย หรือว่าจะใช้พิราบสื่อสารกัน? ผลคือเพียงนางเอ่ยถามออกไป ก็ถูกเหล่านางกำนัลที่คอยรับใช้ชายารัชทายาทหัวเราะเยาะเข้า
กล่าวกันว่าภายในวังหลวงนี้อย่างอื่นไม่มี ที่มีมากสุดคือคน เรื่องนี้จะยากอะไรกัน…คิดไปสักพัก นางถึงได้กระจ่างขึ้นมาโดยพลัน ดูท่าแล้วชายารัชทายาทคงวางหูตาเอาไว้ข้างกายรัชทายาท ถึงได้สามารถรู้ความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ตลอดเวลาโดยทันที
ชายารัชทายาทมีรับสั่งมานางเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ จึงได้ติดตามพระองค์มาด้วย ทว่ากลับไม่คาดคิดมาก่อนแม้แต่น้อยว่าจะได้เจอกับองครักษ์ลับที่มีวาสนาได้พบหน้ากันอยู่หลายหนผู้นั้น หลังจากนั้นตามที่เขาพูดจากับหลิวเป่า รวมถึงท่าทีที่ทุกคนมีต่อเขา หากนางยังไม่รู้ว่าเขาก็คือหวงไท่ซุนจูจันจี เช่นนั้นนางก็ได้เป็นคนโง่เง่าอันดับหนึ่งในแผ่นดินแล้ว
เดิมนางซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังเหล่านางกำนัลกำลังคิดอยากหนีไปให้ไกลยิ่งนัก แต่ยามที่เห็นว่าชีวิตรัชทายาทกำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ในฐานะนักศึกษาของคณะแพทยศาสตร์คนหนึ่ง นางจะทำเป็นไม่สนใจได้อย่างไร ถึงได้วิ่งเข้าไปในศาลาเช่นนั้น
ยังโชคดีที่นางมักเตรียมก้อนน้ำตาลเอาไว้ให้ตนเองกินแก้หิวอยู่เสมอ
“เช่นนั้นเจ้าก็บอกมาว่าเสด็จพ่อทรงมีพระอาการประชวรด้วยโรคอะไร” จูจันจียังคงเคลือบแคลงต่อวิธีการรักษาของชูรื่อ
“เบา…เป็นโรคเซียวเข่อ* พ่ะย่ะค่ะ” นางเกือบจะหลุดพูดศัพท์ทางการแพทย์ปัจจุบันออกไปแล้ว ยังดีที่ยั้งปากไว้ได้ทัน “กระหม่อมคาดว่าองค์รัชทายาทคงมิได้เสวยอะไรเข้าไปสักพักหนึ่งแล้ว สิ่งนี้สามารถทำให้พระองค์…อ่า พระอาการกำเริบได้พ่ะย่ะค่ะ”
กัวอ้ายมีความหงุดหงิดอยู่บ้าง หากว่าเป็นการพูดจาถกเถียงอาการกับคนในยุคปัจจุบัน เช่นนั้นนางก็สามารถพูดได้อย่างเป็นมืออาชีพมากกว่านี้
กล่าวโดยสรุปคือรัชทายาทป่วยเป็นโรคเรื้อรังที่เรียกว่าโรคเบาหวาน ทั้งดูจากสภาพที่เขาหัวหมุนตาลาย เหงื่อออกมือสั่น ยังมีอาการชักกระตุกร่วมด้วยแล้วนั้น น่าจะเกิดจากระดับน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำเกินไปจนทำให้เกิดอาการช็อกชั่วคราวขึ้นมา
พอมองไปที่ร่างกายของรัชทายาท สาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งคงหนีมิพ้นความอ้วนเป็นเหตุให้เกิด
“โรคเซียวเข่อ?” จูจันจียังคงสงสัย
“เชื่อกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ รออีกเพียงชั่วครู่ องค์รัชทายาทก็จะไม่…”
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น กัวอ้ายก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากอีก เมื่อมีคนช่วยยืนยันแทนนางแล้ว
“ชายารักอย่าร้องไห้ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว” เสียงของจูเกาชื่อดังขึ้น
เพียงได้ยินเสียงของพระบิดา จูจันจีก็รีบหันกลับไป “เสด็จพ่อ พระองค์ทรงไม่เป็นอะไรแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นอะไรแล้ว” จูเกาชื่อที่สติกลับมาแจ่มใสไม่น้อยแล้วพยักหน้าอย่างอ่อนแรง
ชายารัชทายาทที่เพิ่งเข้ามาประคองหัวไหล่ของพระสวามีเมื่อครู่ ถึงแม้นัยน์ตาจะยังชื้นแฉะ แต่ก็นับได้ว่ายามนี้สบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว นางพร้อมพระโอรสช่วยกันพยุงพระสวามีให้ลุกขึ้นยืน และพาเขาไปนั่งลงบนเก้าอี้
กลุ่มคนวุ่นวายกับการเช็ดเหงื่อ ยื่นน้ำชา ไถ่ถามสภาพร่างกาย รอจนกระทั่งจูจันจีนึกถึงชูรื่อขึ้นมาได้ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาคน อีกฝ่ายได้หายไปจากบริเวณนี้นานแล้ว
เจ้าเด็กนี่หนีไปอีกแล้ว!
แต่ว่าไม่เป็นไร ในวังก็กว้างอยู่เพียงเท่านี้ เขาจะต้องหาตัวคนออกมาให้ได้ในวันสุดท้ายของกำหนด!
วันนี้ในยามดึก ท่ามกลางความเงียบสงัดที่ชวนให้ผู้คนหวาดหวั่น กัวอ้ายมิอาจข่มตาหลับลงได้อีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพราะนางรู้สึกว่ามีเสียงหนวกหู หากเป็นเพราะในใจกำลังมีเรื่องคิดไม่ตกต่างหาก นางไม่อยากรบกวนหวังเจิ้นที่เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว จึงนอนอยู่บนเตียง ลืมตาค้าง เป็นกังวลอยู่กับตนเองเพียงลำพัง
ตอนนี้นางรู้สึกเสียใจกับนิสัยที่เห็นแก่กินของตนเองเป็นอย่างยิ่ง นางไม่ควรท้าพนันกับจูจันจีเพียงเพื่อขนมหวานไม่กี่ชิ้น จนทำให้นางต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างนี้
ไม่ ควรพูดว่านางโชคร้ายเกินไปแล้วจริงๆ ไฉนถึงได้ไปเจอเข้ากับหวงไท่ซุนที่แกล้งปลอมตัวเป็นองครักษ์ลับได้! ที่บุรุษผู้นั้นจงใจปิดบังฐานะเป็นเพราะเหตุใดกัน
เฮ้อ…ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีเจตนาอย่างไร ที่สำคัญก็คืออะไรที่เป็นการล่วงเกินนางล้วนทำไปหมดแล้ว ลองคิดให้ละเอียดถึงภาพเหตุการณ์การพบกันหลายครั้งระหว่างทั้งสองคน นางทั้งลบหลู่เบื้องสูง พูดจาสามหาว ลงไม้ลงมือ…
สวรรค์…นางรู้สึกว่าขาตนเองข้างหนึ่งก้าวลงไปอยู่ในโลงศพเรียบร้อยแล้ว!
ที่เลวร้ายที่สุดคือนางยังเคยเชื่อมั่นว่าในวังกว้างใหญ่ผู้คนมากมายแห่งนี้ อีกฝ่ายจะต้องหานางไม่พบแน่นอน
ฮือ สมควรตาย! ด้วยฐานะอย่างเขาแล้วต้องการจะหานางมีอะไรยากกัน นางช่างโง่เขลาเสียจริง!
เพียงแต่ลองคิดไปในทางที่ดี จูจันจียังนับได้ว่าเป็นคนรักษาสัจจะผู้หนึ่ง ดูจากที่เย็นวันนี้ยังไม่มีการมาตามหาตัวถึงที่ แสดงว่าเขาน่าจะไม่ได้ใช้ ‘ชูรื่อ’ ชื่อนี้ในการตามหานาง มิฉะนั้นเพียงถามชายารัชทายาทสักคำ นางก็หนีไปที่ใดไม่พ้นแล้ว
แต่สิ่งนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าเขาเป็นคนดื้อรั้นผู้หนึ่ง จะต้องคิดหาวิธีอะไรสักอย่างมาทำให้นางพ่ายแพ้อย่างยินยอมพร้อมใจ คนผู้นี้จัดอยู่ในกลุ่มคนที่รับมือด้วยยากที่สุดแล้ว
ช้าก่อน นางนึกออกแล้ว ห่างจากวันครบกำหนดเหลืออีกเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น หากพรุ่งนี้ตนเองยังมีวิธีซ่อนตัวให้พ้น มิใช่ว่าจะสามารถพ้นคราวเคราะห์คราวนี้ไปได้แล้วหรือ
อืม มิผิด หากต้องเข้าไปอยู่ในวังหวงไท่ซุน คอยรับใช้อยู่ข้างกายจูจันจี วันเวลาอันสงบสุขของนางก็ไม่เหลือแล้ว ทั้งยังต้องคอยหวาดกลัวกับการถูกเปิดโปงอยู่ตลอดเวลา จะให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้โดยเด็ดขาด
ว่าไปแล้ว…เหตุใดนางถึงมีชะตาได้พบเจอฮ่องเต้สมัยราชวงศ์หมิงในอนาคตต่อเนื่องกันถึงสองคนได้อย่างนี้
จูเกาชื่ออ้วนท้วนและเคลื่อนไหวชักช้าเหมือนดั่งในคำเล่าขานมิมีผิด ส่วนจูจันจีพระโอรสของเขารูปลักษณ์องอาจผึ่งผายแลสูงศักดิ์ หากเกิดมาในยุคปัจจุบัน จะต้องเป็นบุรุษรูปงามในครอบครัวเศรษฐี ยามเดินไปตามท้องถนนจะต้องเป็นมารร้ายรูปงามที่ดึงดูดให้กลุ่มหญิงสาวพากันกรีดร้องไม่หยุด
บอกได้เพียงว่าเขาโชคดีไม่น้อยที่รูปลักษณ์ภายนอกค่อนไปทางมารดา หากกลับมีกลิ่นอายแบบบุรุษเพิ่มเข้ามาด้วย
ได้ยินว่าตอนนี้เขาเพิ่งจะอายุสิบแปดปี แต่นางก็ได้เห็นกับตาแล้วว่าบุคลิกกับการกระทำของคนคนนี้ล้วนเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว มิน่าแปลกที่เขาจะอยู่ในตัวเลือกของคนที่จะได้เป็นฮ่องเต้ หนำซ้ำตอนนี้เขาเองก็ครองใจคนได้ไม่น้อย โดยเฉพาะความโปรดปรานของฮ่องเต้ที่มีต่อพระราชนัดดาคนนี้มีแต่จะเพิ่มมิมีลด ไม่เพียงสั่งให้ข้าราชบริพารคอยอบรมสอนสั่งเขาอย่างเต็มที่ ยังเป็นผู้สอนศาสตร์แห่งเจ้าแผ่นดินผู้ทรงคุณธรรมและปัญญาให้ด้วยพระองค์เอง
จูจันจีนับได้ว่าเป็นโอรสที่ได้รับความรักอย่างท่วมท้นจากสวรรค์ แต่ในประวัติศาสตร์แม้คำวิจารณ์ที่มีต่อเขาส่วนใหญ่จะเป็นไปในด้านที่ดี หากฮ่องเต้พระองค์นี้ก็ดูเหมือนจะมีพระชนมายุไม่เกินสี่สิบพรรษาเท่านั้น
เกี่ยวกับว่าราชวงศ์หมิงในภายหลังจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นบ้างนั้น หรือว่าจูจันจีจะทำความดีความชอบในเรื่องใดบ้าง นางล้วนไม่รู้ทั้งสิ้น
ในเมื่อแต่ก่อนตอนเรียนหนังสือ เรื่องราวในประวัติศาสตร์ล้วนเป็นของที่นางต้องพยายามยัดเยียดจดจำเข้าไปเพื่อไว้ใช้ในการสอบ หลังสอบครั้งใหญ่เสร็จนางก็ล้วนลืมเลือนไปจนเกือบจะหมดสิ้นแล้ว
พูดมาถึงตรงนี้ มิรู้ว่ามีการบันทึกถึงขันทีผู้หนึ่งนามชูรื่อว่าถูกตัดสินประหารชีวิตเอาไว้หรือไม่ แย่จริง ถึงเวลาจำเป็นต้องใช้นางจึงเพิ่งตระหนักว่าความรู้ตนเองช่างน้อยนิด อยากจะทำนายถึงอนาคตดูสักหน่อย หลีกเลี่ยงหายนะให้ตนเองก็ยังกระทำมิได้ ยิ่งไม่ต้องคิดเรื่องอยากเข้า Google ค้นหาข้อมูลดูเลย
ในใจกัวอ้ายมีความคิดมากมายวาบผ่านไปมา คิดไปคิดมา ในที่สุดก็รู้สึกง่วงนอน จวนจะเข้าสู่ห้วงฝันอยู่แล้วเชียว
“ชูรื่อ ตื่นๆ ตื่นเร็วเข้า” หวังเจิ้นสะกิดนางไม่หยุด
“อย่าเสียงดัง ขอนอนอีกสักพักก็พอ” กัวอ้ายยังนอนไม่เต็มอิ่ม กระทั่งเปลือกตายังไม่ยอมลืม นางปัดมือคิดอยากให้อีกฝ่ายจากไป
ทว่าหวังเจิ้นไม่ยอมจากไป ยังคงพยายามปลุกนางต่อ “ชูรื่อ ไม่ต้องนอนแล้ว รีบตื่นเร็วเข้า องค์หวงไท่ซุนมาตรวจสอบแล้ว หวังลู่กงกงให้พวกเรา…”
องค์หวงไท่ซุน?!
คำสำคัญนี้ทำให้กัวอ้ายตาสว่างขึ้นมาได้ไม่น้อย นางลุกขึ้นนั่งในทันที ดึงตัวหวังเจิ้นมาถาม “เจ้าพูดว่าอะไร ช่วยพูดอีกทีให้ชัดๆ ซิ”
“เอ๋? เจ้าไม่รู้หรือ” หวังเจิ้นมองนางอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง “สองวันมานี้องค์หวงไท่ซุนต้องการตรวจสอบหน่วยงานขันทีทั้งหมดของฝ่ายใน เจ้าไม่รู้หรือไร”
กัวอ้ายส่ายหน้าด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ “ไม่มีใครบอกข้ามาก่อนนี่”
คนอย่างนางเรื่อยเฉื่อยจนชินแล้ว ไม่ค่อยเป็นฝ่ายถามเกี่ยวกับเรื่องราวภายในวังขึ้นมาก่อน เรื่องส่วนมากล้วนได้มาจากการพูดคุยไปทั่ว เหตุใดไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“สองวันก่อนมิใช่หวังลู่กงกงเคยพูดขึ้นมาแล้วหรือ เจ้าจะต้องไม่ได้ตั้งใจฟังแน่ๆ เดิมเมื่อวานก็ควรจะมาถึงหน่วยอาภรณ์ของเราแล้ว แต่ได้ยินมาว่ามีเรื่องอื่นมาขัดจังหวะเอาไว้ก่อน” หวังเจิ้นมองนางอย่างจนปัญญา “สองวันมานี้เจ้าล้วนไปหาบรรดานางกำนัลเพื่อพูดคุยเล่น เรื่องตรวจสอบขันทีเช่นนี้ พวกนางจะพูดถึงขึ้นมาได้อย่างไร ว่าไปแล้ว ขันทีกับนางกำนัลก็ไม่ควรใกล้ชิดกันมาก ตัวเจ้าเองก็ควรระวังหน่อย”
ได้ยินแล้ว ใบหน้ากัวอ้ายก็แดงขึ้นมาเล็กน้อย
เดิมนางเองก็เป็นสตรี ดังนั้นเมื่อเทียบกับขันทีด้วยกัน นอกจากหวังเจิ้นแล้ว นางค่อนข้างชอบไปอยู่กับบรรดานางกำนัลตำหนักต่างๆ มากกว่า พวกนางกำนัลก็ล้วนมองนางเป็นดั่งพี่สาวน้องสาว แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางมีเรื่องรักใคร่ที่ผิดต่อกฎระเบียบของวังหลวงขึ้นมาอย่างแน่นอน
แต่หนนี้ถูกหวังเจิ้นพูดถึง ไฉนฟังดูแล้วเหมือนกับว่านางได้กลายเป็นขันทีเจ้าสำราญผู้หนึ่งไปเสียแล้ว
“เอาเถอะๆ เจ้ารีบจัดการตนเองเสียหน่อย คนอื่นๆ ล้วนออกไปรอต้อนรับหมดแล้ว เหลือแค่พวกเราสองคน เห็นว่าจะมีการขานชื่อด้วย เจ้าก็อย่าได้ถ่วงเวลาอยู่อีกเลย” เห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งอึ้งอย่างโง่งม หวังเจิ้นจึงรีบดึงตัวคนให้ลุกขึ้น
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชูรื่อจะหลับไม่ยอมตื่นจริงๆ ยามเช้าตอนเขาลุกก็เคยปลุกอีกฝ่ายไปหนหนึ่งแล้ว ชูรื่อยังพึมพำพูดว่าอีกสักพักค่อยตื่นแล้วก็หลับต่อ แต่หลังจากเขาจัดการตนเองเรียบร้อยแล้วออกไปรอต้อนรับด้านนอก ถึงเพิ่งได้รู้ตัวว่าชูรื่อยังไม่ได้ออกมา
พอเขากลับมาตามหาคน ก็พบว่าชูรื่อยังนอนหลับอยู่ดังคาด
“เหลือแค่พวกเราแล้ว?” กัวอ้ายหันมองไปรอบๆ คราหนึ่ง ที่เหลืออยู่มีเพียงแค่พวกเขาสองคนจริงๆ เสียด้วย
ทันใดนั้นความคิดนางก็แล่นวาบ นึกวิธีการดีๆ ขึ้นมาได้แล้ว
นางยื่นมือออกไปดึงหวังเจิ้นเข้ามา พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “น้องชายที่แสนดี หนนี้ช่วยพี่ชายสักครั้งเถิด ได้หรือไม่”
“ช่วยอะไร”
“เจ้าตอบตกลงก่อนข้าถึงจะบอก พี่ชายยืนยันว่าจะไม่เป็นการทำร้ายเจ้า”
ได้ยินกัวอ้ายพูดเช่นนี้ หวังเจิ้นก็สังหรณ์ใจไม่ค่อยดีอยู่บ้าง แต่ยามปกติอีกฝ่ายดีต่อเขาถึงเพียงนี้ เขาย่อมรู้สึกไม่ดีที่จะปฏิเสธ จึงพยักหน้าตอบตกลงไปอย่างลำบากใจ
“ดีมาก อีกครู่หนึ่งเจ้าไปหาหวังลู่กงกงก่อน พูดว่า…” กัวอ้ายกดเสียงลงต่ำ สั่งงานที่ข้างหูหวังเจิ้น
ยิ่งฟัง คิ้วของหวังเจิ้นยิ่งขมวดเข้าหากันแน่น จนกระทั่งฟังจบแล้ว ใบหน้าเขาก็แข็งค้างยิ้มไม่ออกในทันที
“ชูรื่อ เรื่องนี้หากจัดการได้ไม่ดี นั่นคือโทษตายเลยนะ เจ้าไปทำอะไรมาถึงต้องหนีหน้าองค์หวงไท่ซุนเช่นนี้” เขาไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นความคิดที่ดีเลยจริงๆ
“ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้า อีกครู่หนึ่งข้าก็ตายแน่แล้ว” กัวอ้ายทำหน้าตาน่าสงสาร
“เจ้า…ได้ๆ ตกลง!” หวังเจิ้นกัดฟันตอบรับ
“อื้อ น้องชาย พี่ชายขอบคุณเจ้ามากจริงๆ” นางกอดเขาไปคราหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “ถือเสียว่าคราวนี้ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าหนหนึ่งก็แล้วกัน ข้าจะต้องตอบแทนเจ้าในภายหลังอย่างแน่นอน”
หวังเจิ้นเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่ต้องแล้ว เจ้าปล่อยข้าก่อน…”
“มิได้ บอกว่าติดค้างก็คือติดค้าง ภายหน้าหากมีเรื่องอะไรที่เจ้าต้องการให้ข้าช่วย ก็บอกมาได้เลยเต็มที่”
“ตกลงๆ ให้เจ้าติดค้างไป รอให้ข้าคิดได้ก่อนว่าอยากได้อะไร จะต้องบอกให้เจ้ารู้แน่ๆ เจ้าปล่อยข้าก่อน” เพราะเถียงสู้อีกฝ่ายไม่ได้ หวังเจิ้นจึงยอมตอบตกลง
“คำใดคำนั้น” กัวอ้ายพูดไปพร้อมรีบร้อนผลักเขาออก “เอาล่ะ เจ้ารีบไปหาหวังลู่กงกง คุยเสร็จแล้วค่อยกลับมาหาข้า พวกเรายังมีเรื่องที่ต้องให้ทำอีกมาก”
หวังเจิ้นพยักหน้า จากนั้นจึงวิ่งออกไปจากห้องที่พวกเขาอาศัยอยู่ ส่วนกัวอ้ายก็ไปตามหาเครื่องมือตบตาคน
“กระหม่อมหวังลู่ถวายพระพรองค์หวงไท่ซุนพ่ะย่ะค่ะ” ข้าหลวงใหญ่แห่งหน่วยอาภรณ์หวังลู่นำกลุ่มคนออกมาต้อนรับ
“ลุกขึ้นเถอะ” จูจันจีสะบัดมือเบาๆ
“ขอบพระทัยองค์หวงไท่ซุนพ่ะย่ะค่ะ” หวังลู่ลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง
แต่แรกเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ๆ ถึงมีการตรวจสอบแต่ละหน่วยงานขึ้นมาได้ ทั้งยังลำบากหวงไท่ซุนลงมาจัดการด้วยพระองค์เองอีก จนกระทั่งได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของหวังเจิ้นถึงได้เข้าใจขึ้นมาแล้วบางส่วน
เฮ้อ…เหตุใดทั้งๆ ที่ข้าก็จัดการให้คนเข้ามาอยู่ในวังแล้ว ยังเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมาได้อีก!
ด้วยความหวาดกลัวอย่างยิ่งว่าจะแสดงพิรุธออกมา หวังลู่จึงเผชิญหน้ากับหวงไท่ซุนอย่างระมัดระวัง
“เรียกทุกคนมาครบแล้วหรือยัง” เมื่อเห็นสายตาเร่งรัดจากผู้เป็นนาย อู๋จิ่นก็หันไปถามทางหวังลู่ทันที
“ครบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ที่ควรมาล้วนมารออยู่ที่นี่กันหมดแล้ว” หวังลู่เอ่ย แน่นอนว่าคำพูดของเขายังแฝงความนัยบางอย่างไว้
“อืม” หลังอู๋จิ่นพยักหน้า ก็หันกลับไปทางจูจันจีแล้วค้อมกายเอ่ยทันที “องค์ชาย พวกเราเดินเข้าไปดูกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
จูจันจีเงยหน้ามองไป เห็นขันทีหลากหลายวัยกว่าแปดสิบคนกำลังคุกเข่ารออยู่เบื้องหน้า เขาเดินเข้าไปใกล้ สั่งให้พวกเขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วกวาดตามองไปทีละคน ผลลัพธ์กลับเป็นเหมือนเดิม…ไม่มีชูรื่อ!
ใบหน้าเขาเข้มขรึมลง เอ่ยถามตามปกติ “ล้วนอยู่ที่นี่กันหมดแล้วหรือ ไม่ได้ขาดใครไปสักคนจริงๆ?”
“เมื่อครู่ได้ให้คนขานชื่อแล้ว ที่ควรมาล้วนมาไม่ขาดสักคนเดียว” หวังลู่เดินขึ้นหน้ามากล่าวตอบ
“อืม อู๋จิ่น ไปจัดการเตรียมสถานที่ต่อไปเถอะ” ใบหน้าของจูจันจีแสดงความผิดหวัง พูดไปพร้อมกับหันกายเตรียมจากไป
หวังลู่ในใจกำลังคิด บางทีอาจไม่ต้องเสี่ยงอันตรายมากกว่านี้ก็สามารถจัดการเรื่องราวได้แล้ว มิคาดว่า ขันทีผู้หนึ่งพลันส่งเสียงขึ้นมา “เดี๋ยวก่อนพ่ะย่ะค่ะ เห็นๆ อยู่ว่ายังมีคนไม่มา”
ได้ยินแล้ว จูจันจีหันกายกลับมาทันทีแล้วมองไปยังทิศที่มาของเสียง เป็นขันทีที่มีรูปร่างค่อนข้างผอมผู้หนึ่งกล่าวขึ้น
เขาเดินเข้าไปใกล้แล้วไล่ต้อนถาม “ใคร ใครกันที่กล้าไม่มา!”
ขันทีคนนี้ปกติไม่มีโอกาสใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์ ตอนนี้ได้พูดคุยกับองค์หวงไท่ซุนในระยะใกล้ถึงเพียงนี้ จึงอดที่จะตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
“เป็น…เป็นหวังเจิ้นกับชู…เอ้อ ไม่มี…เขาไม่…ไม่มา”
ขันทีผู้นี้ปกติก็รู้สึกขัดตาหวังเจิ้นมาโดยตลอด ยามนี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายมาถึงชั่วครู่แล้วก็หายตัวไปอีก ถึงได้ขวัญกล้ากล่าวเปิดโปง คิดอยากให้หวังเจิ้นถูกทำโทษ ส่วนกับชูรื่อ เขาไม่มีทางกล้าพูดออกมา ในเมื่อชูรื่อเป็นคนที่หวังลู่กงกงเอ็นดูเป็นพิเศษ
แต่มิคาดว่าเขาจะตื่นเต้นเกินไปแล้ว เกือบจะเปิดโปงชูรื่อออกมาด้วยเช่นกัน
ถึงแม้อีกฝ่ายจะพูดจาติดๆ ขัดๆ แต่จูจันจีไม่ได้พลาดในคำพูดที่ตนเองได้ยิน เขาซักถามอย่างเฉียบแหลม “หวังเจิ้นกับชูอะไร เจ้าพูดออกมาให้ชัดเจน”
“กับชู…ชู…” ทำอย่างไรดี เขาพูดออกไปได้หรือไม่
“เป็นชูรื่อพ่ะย่ะค่ะ หวังเจิ้นกับชูรื่อยังไม่มา” โดยมิคาดคิด เป็นหวังลู่อ้าปากตอบออกมา
พูดจบแล้ว เขาก็ถลึงตาใส่ขันทีปากมากผู้นั้นไปคราหนึ่ง จากนั้นจึงก้มศีรษะลง
“ชูรื่อ?” จูจันจีหันไปทางหวังลู่ น้ำเสียงเข้มงวดมากขึ้น “มิได้บอกว่าคนมากันครบแล้วหรือ ไฉนคนผู้นั้นถึงยังไม่มา”
หวังลู่ลอบถอนหายใจในใจ ดูท่าแล้วเด็กคนนั้นจะพูดมิผิด หวงไท่ซุนมีเป้าหมายอยู่ที่นาง ทั้งๆ ที่มีคนยังไม่มาสองคน แต่หวงไท่ซุนกลับพูดถึงแต่เพียงชูรื่อ
“ทูลองค์หวงไท่ซุน หวังเจิ้นกับชูรื่อล้วนมาไม่ไหว ดังนั้นกระหม่อมถึงได้พูดว่าที่ควรมาล้วนมากันหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หวังลู่พูดตามคำพูดที่เมื่อครู่หวังเจิ้นเพิ่งมาบอก
“มาไม่ไหว? หมายความว่าอะไร เจ้าพูดให้ชัดเจนกว่านี้” จูจันจีขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“ชูรื่อป่วยเป็นโรคประหลาดพ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานยังดีๆ แต่วันนี้กลับป่วยจนลุกไม่ขึ้น แม้กระทั่งคนที่นอนข้างเขาและคอยดูแลเขาอย่างหวังเจิ้นเองพอตอนเช้าก็ติดโรคเข้าให้แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมาไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ชูรื่อป่วย?
ในดวงตาจูจันจีฉายแววกังวล เอ่ยอย่างค่อนข้างกระวนกระวาย “พาข้าไปดูเร็ว”
“เรื่องนี้…” หวังลู่มีท่าทีลังเลกับลำบากใจอยู่บ้าง “องค์หวงไท่ซุนพ่ะย่ะค่ะ ที่อยู่ของพวกกระหม่อมค่อนข้างสกปรกคับแคบ ร่างกายอันล้ำค่าของพระองค์เกรงว่า…”
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ขันทีทั้งสองคนที่ไม่ได้มานั้นติดโรคติดต่อเข้าให้แล้ว พวกเราอย่าได้เข้าไปเลยจะเป็นการดีกว่า หากพระองค์เกิดอะไรขึ้นมา พวกกระหม่อมมิอาจรับผิดชอบได้ไหวพ่ะย่ะค่ะ” ตอนนี้กระทั่งอู๋จิ่นยังรู้สึกไม่สบายใจ รีบร้อนเกลี้ยกล่อมอีกแรง
เพียงแต่คำพูดพวกนี้จูจันจีไม่ได้ฟังเข้าหูตั้งแต่แรก เขาเอ่ยเสียงต่ำอย่างไม่พอใจ “ข้าบอกว่าไปก็ไป!”
เห็นดังนั้น อู๋จิ่นได้แต่มองไปทางหวังลู่อย่างจนปัญญา คนหลังจึงค้อมกายเอ่ย “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะนำพระองค์เข้าไป”
ภายใต้การนำทางของหวังลู่ คนกลุ่มหนึ่งก็มาถึงยังที่พักอาศัยของบรรดาขันที เพียงแต่สถานที่เล็กเกินไป จูจันจีจึงออกคำสั่ง นอกจากอู๋จิ่นกับหวังลู่ที่เข้าไปพร้อมกับเขาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนให้รออยู่ข้างนอกทั้งหมด
เพียงเดินเข้าไปในห้อง จูจันจีก็ได้เห็นที่บนเตียงมุมห้องมีคนผู้หนึ่งนอนอยู่ และที่ข้างกายเขาก็มีขันทีผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ดูเหมือนกำลังช่วยเช็ดเหงื่อให้อีกคน
จูจันจีผ่อนฝีเท้าที่เดินไปข้างหน้า อู๋จิ่นกับหวังลู่คอยติดตามอยู่ข้างหลังเขาอย่างระมัดระวัง
ในยามที่เขาเดินเข้าไปใกล้ ถึงได้รู้ว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงมีผ้าคลุมหน้าปิดบังใบหน้าอยู่ ซ้ำยังไอออกมาไม่หยุด
หวังลู่ชิงเอ่ยปากขึ้นมาก่อน “องค์หวงไท่ซุนอยู่ที่นี่แล้ว ชูรื่อ หวังเจิ้น ยังไม่รีบแสดงความเคารพอีก”
ได้ยินแล้ว ขันทีที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงก็รีบลุกลงมาคุกเข่า “กระหม่อมหวังเจิ้นถวายพระพรองค์หวงไท่ซุนพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของเขาแหบต่ำเป็นอย่างยิ่ง
จูจันจีเหลือบมองเขาคราหนึ่ง ขันทีนามหวังเจิ้นคนนี้ก็ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมหน้าสีดำ แต่สามารถดูได้จากครึ่งบนของใบหน้าว่ามีตุ่มสีแดงขึ้นอยู่เต็มไปหมด ดวงตาของเขายังเรียวยาว แววตาวิบวับ ให้ความรู้สึกไม่น่าไว้ใจนัก
เพียงมองผ่านๆ จูจันจีก็ไม่เกิดความรู้สึกดีใดๆ ให้ กระทั่งจะสั่งให้เขาปลดผ้าคลุมหน้าออกยังละไว้ไม่ให้ทำ เพียงสะบัดมือให้อีกฝ่ายลุกขึ้นได้
ในตอนนั้นเอง คนป่วยบนเตียงเองก็ตั้งใจจะขยับลุกขึ้น เพียงแต่ยันตัวขึ้นมาได้นิดหน่อยก็ล้มลงไปดังเดิม เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ดูท่าแล้วแม้แต่การแสดงความเคารพเขายังทำมิได้
จูจันจีรีบร้อนเอ่ย “เจ้าไม่ต้องลุกขึ้นแล้ว”
ได้ยินแล้ว คนบนเตียงก็ไม่ได้ลุกขึ้นอีก แต่กลับลงไปนอนตามเดิม ทั้งยังไอออกมาอีกหลายหน
“เจ้าคือชูรื่อ?” จูจันจีเอ่ยถาม พูดตามตรงแล้ว ถึงแม้ยังไม่เห็นใบหน้าเบื้องหลังผ้าคลุมหน้า แต่เขาก็ไม่มีความรู้สึกคุ้นเคยใดๆ กับคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย…
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคือชูรื่อ”
พิลึกนัก เหตุใดแม้แต่เสียงยังฟังดูไม่เหมือน
“เจ้า ช่วยเขาปลดผ้าคลุมหน้าออก” เขาสั่งให้ขันทีนามว่าหวังเจิ้นทำ
ขันทีผู้นั้นปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง เพียงแต่เมื่อผ้าคลุมหน้าถูกดึงออก อารมณ์ของจูจันจีเองก็ดิ่งวูบลงในพริบตาด้วยเช่นกัน
ดังที่คาด เด็กคนนี้ไม่ใช่ชูรื่อที่เขาต้องการตามหา
ถึงแม้ขันทีผู้นี้จะมีลักษณะสุภาพเรียบร้อย หน้าตางดงาม แต่คนที่ตนต้องการตามหานั้นงดงามเปล่งประกายยิ่งกว่านี้…ซึ่งไม่ใช่ชูรื่อตรงหน้า
ทว่าในใจเขาเองก็สบายใจขึ้น โชคดีนักที่เจ้าเด็กมีตุ่มแดงเต็มใบหน้า ท่าทางป่วยหนักเช่นนี้ไม่ใช่คนที่เขาต้องการตามหา
หวังเจิ้นที่ปลอมตัวเป็นชูรื่อกำลังมองจูจันจีอย่างตกตะลึง เขาไม่เคยพบเห็นคนที่ดูดีถึงเพียงนี้มาก่อน เหมือนดั่งคำบรรยายในตำราว่าไว้เช่นนั้น ผู้สูงศักดิ์เพียงเกิดมาก็มีรัศมีสูงส่ง ท่วงท่าเองก็ผิดแผกไปจากคนธรรมดาทั่วไป อะไรที่เรียกว่ารูปลักษณ์ของเทพเซียน นับได้ว่าวันนี้เขาเองก็ได้เห็นกับตาตนเองแล้ว
เขากลืนน้ำลาย รู้สึกปากคอแห้งผากขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“ไปเถอะ” โดยไม่คิดอยากเสียเวลาอีกต่อไป จูจันจีหันกายจากไปในทันที
หวังลู่กับอู๋จิ่นเดินตามหลังเขาออกไป
“พอแล้ว ไม่ต้องไปส่งข้า” เมื่อเดินออกมาจากที่พักของขันทีขั้นต่ำ จูจันจีก็สะบัดมือไล่ให้หวังลู่ไปจัดการกิจธุระของตนเองต่อ
จากนั้น คนกลุ่มใหญ่ก็พากันจากไปอีกครั้ง
หวังลู่จึงได้หันหลังเดินกลับเข้าไปในห้อง
เขาเดินมาถึงเบื้องหน้าคนที่ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง แล้วยื่นมือออกไปกระชากผ้าคลุมหน้าออก “ชูรื่อ! เรื่องของเจ้ากับองค์หวงไท่ซุนมีความเป็นมาอย่างไร เจ้าอธิบายให้ข้าฟังชัดๆ มาเดี๋ยวนี้” ยามปกติเขาไม่มีทางพูดจาเช่นนี้กับนาง แต่หนนี้เขาเกือบถูกเด็กคนนี้ทำให้ตกใจตาย จึงอดระบายโทสะออกมาไม่ได้
วันนี้เรื่องที่พวกเขาทำกันอย่างการหลอกลวงเชื้อพระวงศ์นั้นนับว่าเป็นความผิดมหันต์ โทษคือถูกตัดหัว!
“มิได้ให้หวังเจิ้นบอกท่านแล้วหรือ ข้ากระทำเรื่องล่วงเกินองค์หวงไท่ซุน ยังโชคดีที่ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ถึงได้ให้ท่านช่วยเล่นละครตบตาฉากหนึ่งขึ้น เอาน่า สบายใจเถิด ไม่เป็นอะไรแล้วมิใช่หรือ” อารมณ์ของกัวอ้ายไม่เลวเลย
มิเสียทีที่ตนเองลงแรงจัดฉากไปจริงๆ
อันดับแรกนางลงมือจุดตุ่มแดงขึ้นมาบนใบหน้าของตนเองและหวังเจิ้น ยังไปตามหากาวมาดึงดวงตาตนเองให้ยาวขึ้น ทั้งเจ็บทั้งเปลืองแรง ต่อจากนั้นก็ปลอมสำเนียงให้ทุ้มต่ำลง ไม่ง่ายเลยที่จะผ่านด่านคราวนี้มาได้ ตอนนี้นางจึงคิดแต่อยากไปล้างกาวออกแล้ว
ทั้งโชคดีที่เป็นจูจันจีเดินนำเข้ามาก่อน และนำความสนใจทั้งหมดพุ่งเป้าไปที่หวังเจิ้น ตัวนางถึงได้หนีพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นิ่งเงียบไปชั่วขณะ หวังลู่ก็เอ่ยกับหวังเจิ้น “หวังเจิ้น เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องอยากพูดกับชูรื่อ”
ได้ยินดังนั้น หวังเจิ้นจึงกัดริมฝีปากตนเองจนเจ็บก่อนถอยออกไปข้างนอก
ความจริงแล้วเขาอยากรู้รายละเอียดความเป็นมาระหว่างชูรื่อกับองค์หวงไท่ซุนว่าไปรู้จักกันได้อย่างไรเช่นกัน อยู่ๆ เขาก็รู้สึกอิจฉาชูรื่อขึ้นมาอย่างยิ่ง ไม่เพียงโชคดีที่สามารถเสนอหน้าให้เจ้านายแต่ละตำหนักได้พบเห็น กระทั่งองค์หวงไท่ซุนเองก็ยังให้ความสำคัญต่อชูรื่อด้วย เขามิได้ไม่ทันสังเกตเห็นว่าเมื่อครู่ตอนที่องค์หวงไท่ซุนคิดว่าเขาเป็นชูรื่อนั้นน้ำเสียงยังแฝงความกังวลใจเอาไว้มากเพียงใด
เป็นชูรื่อช่างดียิ่ง โชคดีจริงๆ
หวังลู่มองหวังเจิ้นออกไปพร้อมปิดประตู แล้วจึงหันหน้ากลับมามองนาง แล้วเอ่ยถามอย่างจริงจัง “เอาล่ะ ตอนนี้ไม่มีคนนอกแล้ว อธิบายเรื่องราวมาให้ชัดเจนเสีย เจ้าไปมีเรื่องกับผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นได้อย่างไร”
กัวอ้ายรู้ว่าไม่อาจแกล้งเลอะเลือนโป้ปดได้อีกต่อไป จึงเล่าเหตุการณ์ที่ได้ทำความรู้จักกับจูจันจีออกไปอย่างเรียบง่ายหนหนึ่ง รวมถึงเรื่องการพนันกันระหว่างคนทั้งสอง
หวังลู่ได้ยินแล้วตกใจยิ่ง ถลึงตามองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้ายังเคยสวมชุดนางกำนัล? ช่างขวัญกล้านัก! ถ้าฐานะถูกเปิดเผยขึ้นมาจะทำอย่างไร เจ้าเด็กนี่ช่างไม่รักชีวิตแล้วจริงๆ!”
“แต่ว่าองค์หวงไท่ซุนเองก็ปลอมเป็นองครักษ์ลับ…”
“ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าองค์หวงไท่ซุนทรงคิดอะไรอยู่ แต่เจ้าทำเช่นนี้อันตรายเกินไปแล้วจริงๆ” หวังลู่ครุ่นคิดชั่วครู่ จึงเอ่ยขึ้นอีก “ข้าเห็นว่าทางด้านวังบูรพาเจ้าเองก็ควรไปให้น้อยลงหน่อย เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ภายในสองวันนี้ข้าจะช่วยเจ้าปรับตำแหน่งหน้าที่ ไปอยู่ให้ไกลจากวังบูรพามากขึ้น ข้าจะได้เป็นห่วงเจ้าน้อยลง”
หากว่าฐานะของคุณหนูถูกเปิดเผยออกมา ให้เขารักษาชีวิตของตนเองยังนับว่าเป็นปัญหา ยิ่งเรื่องรักษาชีวิตของนางยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
“อืม” รู้ว่าตนเองก่อเรื่องใหญ่แล้ว กัวอ้ายเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมากอีก ถึงแม้ในใจนางจะมีความรู้สึกเสียดายอยู่มากก็ตาม
เฮ้อ…หากปรับเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่ มิใช่ว่านางหมดหนทางได้รับของว่างที่เหล่าพระสนมแต่ละตำหนักประทานให้แล้วหรือ นางยังคิดอยากหาโอกาสกินขนมข้าวเหนียวดอกกุ้ยที่รสเลิศนั้นอีกครั้งอยู่เลย
วังบูรพา
ชายารัชทายาทจางซื่อสวมแพรแถบคล้องคอปักดิ้นทองลายมังกรและเมฆมงคล ศีรษะสวมมงกุฎหงส์ประดับพู่หยก นั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ในตำหนักรองของวังบูรพา ที่นั่งทั้งฝั่งซ้ายขวาของพระนางยังมีสตรีอื่นนั่งอยู่อีกสองคน ซึ่งล้วนแล้วแต่มาถึงพร้อมกันแต่เช้าโดยมิได้นัดหมายเพื่อเข้าเฝ้าตนเอง สตรีทั้งสองล้วนเป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกสาวงาม* เข้ามาเมื่อสองปีก่อน ในเวลาเดียวกันนั้นยังเป็นตัวเลือกที่จูตี้ลอบคัดมาเพื่อให้เป็นชายาของหลานชาย ก่อนพิธีเสกสมรสยามสิ้นปีจึงค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าใครจะเป็นชายาเอกและใครจะเป็นชายารอง เนื่องด้วยเหตุทางความสัมพันธ์นี้ทั้งสองคนจึงมักมาเข้าเฝ้า ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบแก่ชายารัชทายาทอยู่เสมอ
ผู้ที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายของชายารัชทายาท เป็นสตรีหน้าตาธรรมดาสวมเสื้อคลุมแขนกว้างสีดำขนเป็ด กระโปรงทบซ้อนสีเหลืองอ่อน ศีรษะประดับปิ่นมุกหยกแดง นามว่าหูซั่นเสียง ส่วนอีกคนที่แต่งกายสดใส สวมเสื้อแขนกว้างสีแดงอ่อน กระโปรงปักดิ้นทองลายเมฆมงคล ศีรษะประดับปิ่นทองล้ำค่าลายดอกไม้ รูปร่างหน้าตางดงามพริ้มเพรานั้นมีนามว่าซุนจ้งฮุ่ย
ทั้งรูปร่างหน้าตาและกลิ่นอายของทั้งสองคนล้วนสวนทางกันโดยสิ้นเชิง หูซั่นเสียงมีนิสัยสุขุม แต่น่าเสียดายที่รูปลักษณ์ธรรมดา ส่วนซุนจ้งฮุ่ยหน้าตางดงาม หากนิสัยค่อนข้างโอ้อวด
“วันหน้ามิต้องมากันแต่เช้าถึงเพียงนี้ พวกเจ้าควรนอนให้มากหน่อย จะได้ดีต่อผิวพรรณ” ชายารัชทายาทกล่าวด้วยใบหน้ามีเมตตา
“ขอบพระทัยพระชายาที่เป็นห่วงเพคะ แต่หากสามารถมาถวายพระพรได้แต่เช้า ก็สามารถอยู่พูดคุยกับพระชายาได้มากขึ้นอีก เพียงเท่านี้หม่อมฉันก็มีความสุขเป็นอย่างยิ่งแล้วเพคะ” หูซั่นเสียงสำเนียงเอื้อนเอ่ยแผ่วเบานุ่มนวล เพียงแต่อ่อนโยนก็ส่วนอ่อนโยน กลับยังแสดงให้เห็นชัดถึงความอ่อนแอและไร้ซึ่งพลัง
“ใช่แล้ว จ้งฮุ่ยเองก็คิดอยากมาร่วมสนทนากับพระชายาแต่เช้าเพคะ ทว่าหากเป็นการรบกวนพระชายาเข้าให้แล้ว เช่นนั้นก็ย่อมมิใช่เรื่องดี ถ้าพระชายาอยากให้จ้งฮุ่ยมาสายกว่านี้อีกหน่อย จ้งฮุ่ยก็จะปฏิบัติตามความต้องการของพระชายาเพคะ” สำเนียงของซุนจ้งฮุ่ยอ่อนหวานหยาดเยิ้ม เพียงแต่เวลาเอ่ยมักทำให้ผู้คนรู้สึกถูกกดดันด้วยอำนาจ
ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น ซุนจ้งฮุ่ยตั้งใจจะทำตามที่ชายารัชทายาทเอ่ย หลังจากนี้นางจะไม่มาแต่เช้าอีกแล้ว
ถึงแม้จะบอกว่าการปรนนิบัติรับใช้แม่สามีในอนาคตนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่นางรู้สึกว่าการเอาใจองค์หวงไท่ซุนต่างหากที่สำคัญยิ่งกว่า ทั้งนางยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าท้ายที่สุดแล้วจะต้องเป็นนางที่ชนะจนได้รับตำแหน่งชายาเอกไป
เพราะจากที่เห็น…ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือคุณสมบัติอื่นใด นางล้วนดีกว่าหูซั่นเสียงมากมายนัก จะว่าไปแล้ว นางกระจ่างยิ่งกว่าใครดีถึงภูมิหลังของหูซั่นเสียง นั่นนับเป็นฐานะที่ทำให้หวงไท่ซุนไม่ชมชอบและรังเกียจ เกรงว่าตลอดชีวิตนี้หูซั่นเสียงอย่าได้คิดหวังถึงความเมตตาจากหวงไท่ซุนสักครั้งเลย
น่าสงสารหูซั่นเสียงที่สู้ข้าไม่ได้สักอย่าง จึงทำได้เพียงลงแรงไปกับชายารัชทายาทเช่นนี้…ซุนจ้งฮุ่ยคิดอย่างดูแคลน
“นี่มิใช่เรื่องใหญ่อะไร ทำตามที่พวกเจ้าต้องการเถิด” ชายารัชทายาทแย้มยิ้มน้อยๆ มิได้กล่าวชมใคร แต่ก็มิได้ตำหนิใครด้วยเช่นกัน
นางสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งชายารัชทายาทได้จนถึงทุกวันนี้ เหตุใดจะไม่รู้ว่าในใจซุนจ้งฮุ่ยนั้นคิดอะไรอยู่ ทว่าอำนาจการตัดสินใจตำแหน่งชายาเอกของหวงไท่ซุนล้วนเป็นของฝ่าบาท นางเองก็ไม่สะดวกแทรกแซงเข้าไปมากนัก หากผู้ที่เข้าใจในอุปนิสัยของพระโอรสลึกซึ้งอย่างนาง คงทำได้เพียงช่วยสร้างโอกาสให้สตรีสองนางนี้ได้พบหน้ากับจันจีบ่อยขึ้น หลีกเลี่ยงมิให้ถึงเวลาจริงแล้วต่างล้วนถูกจันจีทอดทิ้งกันทั้งสองคน
นางยังรั้งคนทั้งสองให้อยู่ร่วมสนทนาต่ออีกครู่ใหญ่ ทั้งให้อยู่กินอาหารกลางวันด้วยกัน จากนั้น…ในที่สุดคนที่พระนางรออยู่ก็มาถึง
จูจันจีเพียงเดินเข้ามาในห้องโถงก็พบเข้ากับหูซั่นเสียงกับซุนจ้งฮุ่ยว่าล้วนอยู่ที่นี่ก่อนเขามาถึงแล้ว และทราบถึงเจตนาที่พระมารดาเรียกตนเองมาในตำหนักนี้ทันที
เขาเดินตรงไปทำความเคารพพระมารดาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนหูซั่นเสียงกับซุนจ้งฮุ่ยเองก็รีบร้อนลุกขึ้นย่อตัวทำความเคารพเขา
“นั่งลงกันเถอะ” เขาแสดงท่าทีให้ทั้งสองคนนั่งลง ก่อนหันกลับมาทางชายารัชทายาทแล้วเอ่ยถาม “เสด็จแม่ ระยะนี้เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าสบายดียิ่ง ส่วนเจ้านี่สิ ช่วงนี้กำลังยุ่งกับเรื่องอันใด ถึงได้ไม่มีเวลามาหาข้าบ้างเลย” แม้ภายนอกจะแสดงออกว่าเป็นห่วง แต่พระนางเองก็เชื่อว่าบุตรชายอันชาญฉลาดของตนฟังเข้าใจ ว่าพระนางต้องการให้เขาทุ่มเทความสนใจไปยังราชสำนัก มิต้องมาคอยตรวจสอบหาคนจากฝ่ายในแล้ว
“ไม่มีอันใดพ่ะย่ะค่ะ ลูกจัดการธุระเกือบเสร็จแล้ว ระยะนี้จะมาเยี่ยมเยียนเสด็จแม่บ่อยๆ” จูจันจีเองก็กระจ่างถึงความหมายของพระมารดาดี เขายิ้มออกมา ถือว่าตนเองแสดงออกว่ารับรู้แล้ว
เพียงแต่ที่จริงแล้วเขาค่อนข้างหงุดหงิดใจอยู่บ้าง เขาหามาแล้วทั้งเช้า นอกจากชูรื่อตัวปลอมแล้ว เขาก็ไม่ได้รับผลสำเร็จอื่นใดอีก ตอนนี้เหลืออีกเพียงสามหน่วยงานที่เขายังไม่ได้ไป แต่เดิมก็วางแผนจะจัดการให้เสร็จสิ้นภายในบ่ายนี้ แต่ยามที่กำลังกินอาหารกลางวัน พระมารดาก็สั่งคนมาบอกให้เขามาหาพระองค์ในตอนบ่ายเสียหน่อย
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ถ้าเจ้ามีเวลาก็เอามาใช้สานความสัมพันธ์กับซั่นเสียงและจ้งฮุ่ยให้มากขึ้นเถอะ” เมื่อเห็นสีหน้าพระโอรสเริ่มแข็งกระด้าง นางก็หยุดแต่เพียงเท่านี้อย่างรู้จักความนึกคิดของบุตรชายดี แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปทันที “จริงสิ ของที่ให้เจ้านำมาด้วยล่ะ วันก่อนข้าได้ยินเสด็จพ่อเจ้ากล่าวถึง จึงคิดอยากเห็นเจ้าตัวเล็กนั่นเสียหน่อย”
จูจันจีส่งสายตา แสดงความหมายให้ขันทีข้างกายไปอุ้ม ‘เจ้าตัวเล็ก’ ออกมา
ในอ้อมกอดอู๋จิ่นเป็นจิ้งจอกน้อยที่ทั้งร่างขาวปลอดดุจหิมะตัวหนึ่ง มีเพียงขาหลังซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บ และถูกพันผ้าพันแผลเอาไว้ อย่างไรก็ตามรูปลักษณ์ของจิ้งจอกน้อยช่างน่ารักนัก ทั้งยังมีท่าทางฉลาดเฉลียวคล้ายมนุษย์ นิสัยก็ออกจะเชื่อง ถูกอู๋จิ่นอุ้มเอาไว้เช่นนี้จิ้งจอกน้อยก็ไม่มีท่าทีที่จะขัดขืน
ในวันถัดมาหลังจากได้พบกับชูรื่อที่ภูเขาจำลอง จูจันจีล่ามันมาได้เมื่อครั้งออกไปล่าสัตว์กับพระอัยกา ยามที่เขาเห็นเจ้าจิ้งจอกน้อยกลอกดวงตาหมุนไปมาอย่างว่องไวนั้นก็พลันนึกไม่อยากฆ่ามันขึ้นมา ต่อจากนั้นพอเขาเห็นจิ้งจอกน้อยที่แม้ได้รับบาดเจ็บแต่ยังค่อยๆ กะเผลกมาหา เขาก็ได้ตัดสินใจในทันทีที่จะเลี้ยงมันเอาไว้
ในใจเขาคิด เจ้าจิ้งจอกตัวนี้น่ารักเพียงใด ยามเผชิญหน้ากับอันตรายก็ยังรู้จักประจบเอาใจมากกว่าจะตื่นกลัว มองดูให้คล้ายกับชูรื่อยิ่งนัก…
จูจันจีรับจิ้งจอกน้อยจากอู๋จิ่นมาอุ้มต่อ แล้วเดินไปยังข้างกายพระมารดาพลางยื่นส่งมันให้นาง
ชายารัชทายาทอุ้มจิ้งจอกน้อย ก่อนลูบไล้ขนมันอย่างแผ่วเบา “ช่างเป็นเจ้าตัวเล็กที่ฉลาดเฉลียวเสียจริง เจ้าดูมันสิ เชื่องยิ่งนัก”
เห็นพระมารดายิ้มออกมา ต่อให้ในใจจูจันจีจะตัดใจไม่ได้เพียงใด แต่ก็ยังอ้าปากเอ่ย “ถ้าเสด็จแม่ชื่นชอบก็เก็บมันเอาไว้เถิด ให้มันอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับท่าน” ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ใกล้หา ‘จิ้งจอก’ ที่น่าสนใจยิ่งกว่าตัวนั้นพบแล้ว
ชายารัชทายาทโบกมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่างเถอะ ข้าดูแลเจ้าตัวเล็กนี่ไหวที่ไหนกัน อย่าได้ให้ข้าเลย คิดอยากให้ใครก็ให้คนนั้นไปเถิด”
“เช่นนั้นเอามาให้จ้งฮุ่ยเถิดเพคะ หม่อมฉันจะเลี้ยงไว้เอง” ซุนจ้งฮุ่ยเรียกร้องขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจในทันที
เดิมจูจันจีคิดว่าหากพระมารดามิต้องการ เขาก็จะพามันกลับไปยังวังหวงไท่ซุน แต่ตอนนี้ซุนจ้งฮุ่ยเอ่ยปากขึ้นมาแล้ว หากว่าเขาไม่ยินยอม ก็เทียบได้กับเป็นการปฏิเสธพระมารดา ช่างเถิด อย่าได้ทำให้พระมารดาไม่พอใจเลยดีกว่า ช่วงนี้นางทุกข์ใจกับเรื่องของพระบิดามากพออยู่แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาเถิด ให้เจ้าแล้วกัน” ภายนอกเขายิ้ม ความจริงในใจกลับไม่ยินดีนัก
ซุนจ้งฮุ่ยไม่รู้สึกตัวว่าเขาไม่พอใจ กลับกันยังยินดียิ่งที่หวงไท่ซุนประทานสิ่งของให้แก่ตน นางรับจิ้งจอกน้อยตัวนั้นต่อจากชายารัชทายาททันที ซ้ำยังจงใจหันไปตวัดสายตาสาแก่ใจใส่หูซั่นเสียงหนหนึ่ง แสดงความเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“โอ๊ย!” แต่จิ้งจอกน้อยในอ้อมแขนนางกลับไม่ยอมร่วมมือด้วยเท่าไรนัก หลังจากกัดนางไปคราหนึ่ง ก็วิ่งหนีออกไปนอกตำหนักโดยไม่คาดคิด อู๋จิ่นกับบรรดาข้ารับใช้ในวังต่างพากันวิ่งไล่ตามจับมันไป
“ตายแล้ว เจ้าตัวเล็กนี้มิใช่เชื่องดีหรอกหรือ ไยถึงได้ก่อเรื่องขึ้นมาเสียได้ เจ้าบอกว่าจะมอบจิ้งจอกน้อยตัวนี้มาทำให้แม่อารมณ์ดีหรือว่ามาหาเรื่องทะเลาะกันแน่นะ” คำพูดของชายารัชทายาทแม้จะกล่าวต่อพระโอรส หากความจริงกลับมีความหมายแอบซ่อนถึงซุนจ้งฮุ่ยให้นางรู้จักสำรวมกิริยาเสียบ้าง อย่าได้ทางหนึ่งทำตัวเชื่อฟัง อีกทางกลับหยิ่งยโสเหลือเกิน
“จิ้งจอกตัวนี้หากจับกลับมาไม่ได้ก็ช่างเถิด…” ให้ดีที่สุดคือเจ้าตัวเล็กสามารถฉลาดพอที่จะวิ่งกลับไปยังวังหวงไท่ซุนได้ด้วยตนเอง…เขาจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“พระชายา ขันทีหน่วยอาภรณ์รอเข้าเฝ้าอยู่นอกตำหนักพ่ะย่ะค่ะ” ฉับพลัน คนที่ด้านนอกตำหนักก็กล่าวรายงานขึ้น
ชายารัชทายาทถ่ายทอดคำสั่งอนุญาตให้เข้าพบ
“พระชายา พระองค์ทรงเลี้ยงสุนัขสีขาวตัวน้อยนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันพ่ะย่ะค่ะ น่ารักยิ่งนัก…”
ภายนอกตำหนักมีเสียงหนึ่งดังขึ้น สำเนียงนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยมากจนจูจันจีอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “เสด็จแม่ นี่คือ…”
ชายารัชทายาทยิ้มแย้มตอบ “เจ้าก็เคยพบอยู่ คือขันทีน้อยผู้นั้นที่เคยช่วยเสด็จพ่อเจ้าในอุทยานหลวง เป็นขันทีหน่วยอาภรณ์ผู้หนึ่งนามว่าชูรื่อ แม้คำพูดคำจาจะช่างซักถามไปสักหน่อย แต่เด็กคนนี้ช่างชวนให้ผู้คนเอ็นดูเสียจริง…” ประโยคหลังพระนางยังพูดอะไรอีก จูจันจีก็ไม่ได้ฟังเข้าหูเสียแล้ว เขาเพียงได้ยินข้อความสำคัญประโยคหนึ่ง
ขันทีหน่วยอาภรณ์ผู้หนึ่งนามว่าชูรื่อ?!
สมควรตาย เขาโดนคนปั่นหัวเสียแล้ว!
ชั่วขณะต่อมา ขันทีผู้หนึ่งก็เดินอุ้มจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งเข้ามา จากนั้นจึงคุกเข่าเอ่ย “สุนัขน้อยตัวนี้เชื่องดียิ่งนัก พระชายา…”
ในตอนที่กัวอ้ายเงยหน้าขึ้น คนที่นางเห็นเป็นคนแรกกลับไม่ใช่ชายารัชทายาท หากเป็นจูจันจี นางอึ้งไปอย่างโง่งมอยู่ตรงนั้นเอง ในสมองมีสี่คำลอยขึ้นมา ‘โยนตนเองเข้าตาข่าย’
“จับเขา!” จูจันจีสีหน้าแปรเปลี่ยน ชี้ไปที่ชูรื่อพร้อมออกคำสั่ง
ทุกคนเพียงได้ยินก็กระโจนเข้าใส่ทันที กัวอ้ายร้อนรน โยนจิ้งจอกน้อยในมือทิ้งไป ขยับขาได้ก็ออกวิ่ง ทว่ากลับไม่มีใครตามจับนาง ทุกคนล้วนแต่ไล่จับจิ้งจอกน้อยตัวนั้น ทำให้นางหลบหนีไปได้อย่างราบรื่นอีกครั้ง
“องค์ชาย พวกเราจับได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลังจับจิ้งจอกน้อยได้ ขันทีผู้หนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาอย่างยินดี
“โง่เง่า ที่ข้าให้พวกเจ้าจับคือตัวคน ไม่ใช่จิ้งจอก!” จูจันจีมีท่าทีโมโหยิ่งนัก
ทุกคนถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเข้าใจผิดแล้ว ต่างรีบร้อนพากันพุ่งออกไปเพื่อจะจับคนกลับมาอีกครั้ง แต่เพิ่งจะวิ่งไปถึงหน้าประตู อู๋จิ่นก็พาตัวคนกลับมาก่อนแล้ว ทั้งยังพาไปอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นนายในทันที
เขากระจ่างดีนักว่าที่เจ้านายหัวหมุนมาหลายวัน ล้วนเพื่อจะหาคนผู้นี้ให้พบ
เมื่อคอถูกกระชากเอาไว้อยู่ กัวอ้ายจึงวิ่งหนีไม่พ้น ทำได้เพียงก้มหน้าคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าจูจันจี
“ชูรื่อ ไม่ได้พบกันเสียนานแล้ว” จูจันจีอ้าปากเอ่ยอย่างเย็นชา น้ำเสียงมิได้มีความโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย แต่กัวอ้ายก็ฟังออกว่าเขาโกรธนางมาก
“เอ่อ…ไม่ ไม่ได้พบกันเสียนานพ่ะย่ะค่ะ” หนนี้นางแย่แน่จริงๆ แล้ว
“ขันทีหน่วยอาภรณ์ชูรื่อ ใช่เจ้าหรือไม่” นึกไปถึงว่าตนเองถูกหลอกปั่นหัวเยี่ยงลิง ใบหน้าเขาก็แผ่บรรยากาศอึมครึมน่ากลัวออกมา
กัวอ้ายกัดริมฝีปากล่างของตนเองแน่น ไม่รอดแน่แล้ว นางหาเรื่องตายเองก็ช่างเถิด ตอนนี้เกรงว่าแม้แต่หวังลู่เองก็อาจโดนลากเข้ามาพัวพันด้วยแล้ว
“เจ้า…”
สำเนียงอ่อนหวานหยาดเยิ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดประโยคของจูจันจี
ถึงแม้ทุกคนต่างไม่รู้ความเป็นมา แต่แค่มองก็รู้ว่าขันทีนามชูรื่อคนนี้ได้ล่วงเกินหวงไท่ซุนเข้าให้ และยามนี้ก็ถูกจับตัวได้แล้ว
เพื่อเป็นการเอาใจจูจันจี ซุนจ้งฮุ่ยจึงรีบเอ่ยขึ้น “เพียงขันทีผู้หนึ่ง หากไม่โบยเขาสักห้าสิบไม้ ก็ตัดหัวเขาทิ้งเสียเลยก็ได้ ใครใช้ให้เขาตาไร้แววมาล่วงเกินองค์หวงไท่ซุนกัน”
ชายารัชทายาทได้ยินแล้วขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ กำลังคิดจะพูดอะไร หูซั่นเสียงก็เอ่ยขึ้นมาก่อน “เรื่องยังไม่ทันกระจ่างก็ลงมือเสียแล้ว จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”
“ใช่แล้ว บ้านเมืองมีกฎของบ้านเมือง ตระกูลมีกฎของตระกูล ทำร้ายคนตามอำเภอใจเป็นเรื่องมิควร มิควรยิ่ง” เพื่อที่จะเอาตัวรอดกัวอ้ายเองก็ไม่สนใจธรรมเนียมปฏิบัติอีก นางส่ายศีรษะอย่างไม่คิดชีวิต ทั้งยังลอบมองจูจันจีอีกครา เมื่อเห็นสีหน้าเขาดุดันยิ่ง นางก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างเศร้าโศกต่อโชคชะตาที่ไม่ยอมเข้าข้างตนเอง
“กฎบ้านเมืองและกฎตระกูลล้วนคือกฎหมายของต้าหมิง ต้าหมิงเป็นของสกุลจู องค์หวงไท่ซุนจะมิควรได้อย่างไร” ซุนจ้งฮุ่ยยังคงไม่ยอมละเว้น
กัวอ้ายนึกอยากชิงชังสตรีผู้นี้ขึ้นมาอย่างเสียมิได้ มีความแค้นกับนางหรืออย่างไร มีความจำเป็นต้องผลักนางเข้าสู่ความตายด้วยอย่างนั้นหรือ
“แม้จะเป็นเช่นนี้ หากเชื้อพระวงศ์กระทำการใดยังต้องยึดคำว่าเหตุผล หาไม่แล้วจะทำให้ผู้คนยินยอมศิโรราบได้อย่างไร” หูซั่นเสียงเอ่ยขึ้นมาอย่างมีหลักการ
“พี่หญิงหูกำลังบอกว่าข้าไร้เหตุผล หรือกำลังบอกว่าเชื้อพระวงศ์ไร้อำนาจกัน”
“ข้า…ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น” เดิมนิสัยของหูซั่นเสียงเองก็ไม่ได้แข็งกร้าวไปกว่าซุนจ้งฮุ่ย ยามถูกนางโต้กลับด้วยสำเนียงกดดัน ก็กล่าวอะไรมิออกอีกแล้ว
“ฮึ ท่านไม่ได้หมายความเช่นนี้ เช่นนั้นพี่หญิงหูหมายความว่าอย่างไร” เดิมซุนจ้งฮุ่ยก็มิได้สนใจความเป็นความตายของขันทีผู้หนึ่งอยู่แล้ว ยามนี้ยังเกิดเจตนาเปิดศึกกับหูซั่นเสียงขึ้นมา “องค์หวงไท่ซุนเพคะ ข้ารับใช้คนนี้ล่วงเกินพระองค์ ทว่ากลับมีคนเอาแต่คอยปกป้องเขา เช่นนี้แสดงว่าต้องการเป็นปรปักษ์กับพระองค์ เรื่องนี้มิอาจปล่อยผ่านได้ พระองค์คิดอยากจัดการข้ารับใช้ผู้นี้อย่างไรก็บอกให้พี่หญิงหูรับรู้เถิดเพคะ เผื่อว่านางจะไม่เข้าใจหลักที่ว่าขาดวงเวียนไร้ไม้ฉากก็มิอาจสร้างวงกลมและสี่เหลี่ยมได้*”
จูจันจีจ้องกัวอ้ายเขม็ง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงอ้าปากเอ่ยในที่สุด “อู๋จิ่น พาตัวข้ารับใช้คนนี้กลับไปที่หน่วยอาภรณ์ก่อน ให้เขาเก็บข้าวของของตนเอง เสร็จแล้วให้ตามไปที่วังหวงไท่ซุน ข้ามีเรื่องจะมอบหมายให้เขา”
“อะไรนะ พระองค์ไม่จัดการเขาทันทีหรือเพคะ” ซุนจ้งฮุ่ยค่อนข้างประหลาดใจ
นางหลงคิดว่าเขาจะลงโทษคนผิดต่อหน้าผู้คน อาศัยเรื่องนี้ทำให้หูซั่นเสียงรู้ถึงน้ำหนักของตนเองในวังแห่งนี้ รวมถึงให้นางได้แสดงอำนาจต่อหน้าหูซั่นเสียงไปพร้อมกัน มิคาดว่าเขากลับไม่เพียงไม่ลงโทษ ฟังความหมายแล้วยังเหมือนว่าจะให้ข้ารับใช้ผู้นี้กลับไปยังวังหวงไท่ซุน
“ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว หรือว่า…เจ้าคิดอยากจัดการเขาแทนข้า?” น้ำเสียงจูจันจีเย็นเยียบเป็นอย่างยิ่ง
ได้ยินแล้ว ซุนจ้งฮุ่ยตื่นตระหนกในใจ สองปีมานี้ น้อยครั้งนักที่เขาจะไม่ไว้หน้านางยามอยู่ต่อหน้าหูซั่นเสียง
หนนี้…นางเสียหน้าแล้ว ซุนจ้งฮุ่ยรีบเก็บกิริยาเอาแต่ใจทันที ไม่กล้าเอ่ยออกมาอีก
“จ้งฮุ่ยมิบังอาจขัดพระบัญชาเพคะ” นางถอยกลับไปอยู่ด้านข้างในทันที
“ยังไม่พาไปอีก” จูจันจีสื่อความหมายผ่านสายตาไปให้ขันทีข้างกายคราหนึ่ง
อู๋จิ่นลากตัวกัวอ้ายที่คิดว่าจะต้องตายแน่แล้วทว่ากลับรอดชีวิตมาได้ออกจากวังบูรพาไปในทันที
* โรคเซียวเข่อ เป็นชื่อโรคทางการแพทย์แผนจีน มีอาการเด่นที่เรียกว่า ‘สามมากหนึ่งน้อย’ ได้แก่ กระหายมาก ปัสสาวะมาก หิวมาก และผ่ายผอมลง ตัวโรคปรากฏครั้งแรกในคัมภีร์หวงตี้ หรือคัมภีร์แพทย์จักรพรรดิหวงตี้ เทียบเคียงได้กับโรคเบาหวานทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
* การคัดเลือกสาวงาม (ซิ่วหนี่ว์) เป็นการคัดเลือกบุตรสาวจากตระกูลชนชั้นสูงเข้าไปเป็นนางในในวังหลวง จัดขึ้นทุกๆ สามปี
* ขาดวงเวียนไร้ไม้ฉากก็มิอาจสร้างวงกลมและสี่เหลี่ยมได้ มีที่มาจากตำราเมิ่งจื่อ โดยวงเวียนและไม้ฉากล้วนเป็นอุปกรณ์ที่ช่างไม้ใช้ หากไร้ทั้งสองสิ่ง ก็ไม่อาจสร้างหน้าต่างบานกลมหรือบานเหลี่ยมขึ้นมาได้ จึงมีความหมายว่าไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ตาม จะต้องมีลำดับขั้นตอน มีระเบียบแบบแผน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางสำเร็จขึ้นมาได้ ปัจจุบันสำนวนดังกล่าวได้รวมอักษรจีนคำว่าวงเวียนและไม้ฉาก กลายเป็นความหมายว่ากฎระเบียบ