Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 2
อาการที่สอง
ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
หากไม่ต้องการให้ใครแทนที่ได้ ต้องแตกต่างไม่เหมือนใครอยู่เสมอ กรุณาเรียกฉันว่านางฟ้า…จอมเพี้ยน
“อะไรนะ! ห้องคนไข้ธรรมดา? ฉันไม่อยากอยู่ห้องธรรมดา ไม่เอา! ไม่เอาเด็ดขาด ยังไงก็ไม่เอา!” ฉันนวดคอ กลั้นความเจ็บเอาไว้ แต่ไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย “จัดให้ฉันอยู่ห้องวีไอพี ฉันยินดีจ่ายให้สามเท่าเลย!”
ตกลงผู้ชายคนนั้นจะช่วยฉันหรือว่าจะฆ่าฉันกันแน่ ลงไม้ลงมือหนักขนาดนี้!
“คุณครับ มันไม่ใช่เรื่องเงินหรอกครับ” คุณหมอผู้ชายที่หนุ่มแน่นและแสนสุภาพมองฉันด้วยความลำบากใจ “เป็นเพราะห้องคนไข้วีไอพีไม่มีเตียงเหลือแล้วครับ”
“ไม่มีเตียงใช่ปัญหาของฉันเหรอ” อาการเจ็บเป็นพักๆ ที่แล่นมาจากต้นคอทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วตลอดเวลา ภายในใจพ่นคำหยาบเป็นชุด แน่นอนว่าการพูดการจาก็ไม่ไพเราะเช่นกัน “คุณโง่เหรอไง ไม่มีเตียง แล้วไม่รู้จักเรียกให้คนที่ครอบครองเตียงอยู่ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเหรอ”
“แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร คุณรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร”
เขาตรวจดูข้อมูลในมืออย่างเป็นจริงเป็นจังแล้วพยักหน้า “อืม ทราบครับ”
“อือฮึ ฉันเป็น…” ฉันฝืนกลั้นความเจ็บไว้แล้วเชิดคาง ถึงแม้สารรูปจะยับเยินไปทั้งตัว แต่ก็ต้องรักษาความเย่อหยิ่งไว้ แบบนี้ถึงจะใช่มาดของคุณหนูตระกูลดัง
ทว่ามาดคุณหนูของฉันกลับถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดีด้วยคำพูดต่อมาของคุณหมอสุดหล่อ
“คุณเป็นผู้ป่วยจมน้ำที่เพิ่งถูกส่งตัวมาจากโรงแรม W…” เขาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ฉันได้รับการช่วยเหลือจากการจมน้ำ “ได้ทำการปฐมพยาบาลฉุกเฉินในที่เกิดเหตุแล้ว โดยการระบายน้ำที่คั่งอยู่ในทางเดินหายใจ ปอด และช่องท้องออก…”
พอนึกถึงเรื่องที่ผู้ชายคนนั้นช่วย ‘ปฐมพยาบาล’ ให้ฉันที่ริมสระว่ายน้ำ ฉันก็เกิดอยากจะตายขึ้นมาทันที
ผู้ชายคนนั้นไม่ทะนุถนอมอ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย เขาทำเหมือนกับรีดน้ำออกจากถุงผ้าไม่มีผิด คว้าเอวฉันจากทางด้านหลัง จับตัวฉันกดบนต้นขาเขา แล้วออกแรงกดที่แผ่นหลังฉัน ฉันสำลักน้ำออกมาอย่างหนัก อีกทั้งยังอาเจียนเรี่ยราดเต็มพื้น
ทุกคนหัวเราะเยาะเหมือนกำลังชมดูเรื่องสนุก…อา คิดไม่ถึงว่าหลินซิงเฉินก็มีวันที่พังยับเยินไม่เป็นท่าเหมือนกัน!
แล้วก็ยังพวกลามกอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งพวกนั้นอีก…
‘จุ๊ๆ ดูหุ่นสวยเซ็กซี่นี่สิ เปียกหมดเลย เร็ว รีบถ่ายไว้เร็ว!’
‘อย่ามอง! อย่าถ่ายนะ!’
ตอนนั้นฉันปกปิดความโป๊อล่างฉ่างอย่างเงอะๆ งะๆ แต่พอปิดบนก็โผล่ล่าง สุดท้ายก็พบว่าวิธีที่ได้ผลที่สุดคือใช้สองมือปิดหน้าตัวเองเสียเลย
‘ไปซะ หลีกไป!’ ฉันแผดเสียงดัง ยังคงดุดันเหมือนเดิม ไม่มีใครรู้หรอกว่าขณะที่ใช้สองมือปิดหน้าอยู่นั้น ฉันน้ำตานองหน้าไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่มีใครรู้หรอก…ใช่มั้ย
เสื้อคลุมสีขาวเหลือบเงินตัวหนึ่งคลุมลงบนตัวฉันอย่างช้าๆ มันเป็นเหมือนขนนกที่ห่มคลุมความอ่อนแอและสารรูปที่ยับเยินของฉัน
“การปฐมพยาบาลหลังจากที่จมน้ำทำได้ดีมาก คุณต้องขอบคุณคนคนนั้นที่ช่วยชีวิตคุณไว้”
ฉันตะลึงงันทันที แล้วพูดตัดบทคุณหมอ รู้สึกทั้งอับอายทั้งโมโห “พอได้แล้ว! พอสักที! คุณเป็นใคร ดูคุณยังหนุ่มยังแน่น คงจะเป็นหมอฝึกหัดสินะ ฉันไม่คุยกับคุณ ไปเรียกคนที่มีอำนาจที่สุดของที่นี่มา”
“ผมชื่อเหยียนข่าย เป็นหัวหน้าแพทย์ประจำบ้าน” คำพูดของเขาทำให้ฉันคลายสงสัย แถมยังพูดเสริมว่า “ตอนนี้เป็นเวลาเข้าเวรของผม ทั้งชั้นนี้ผมเป็นคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจ”
เฉียบขาดมาก ฉันขอชื่นชม
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาบ้าผู้ชาย สิ่งสำคัญคือไม่ว่าไปที่ไหนฉันก็ได้รับการปฏิบัติระดับวีไอพี ต่อให้เข้าพักรักษาที่โรงพยาบาลก็ต้องวีไอพี จะลดตัวไปอยู่ห้องธรรมดาไม่ได้เด็ดขาด!
ไม่ใช่ว่าฉันเรื่องมากนะ แต่นี่เป็นเรื่องของกฎ การยืนหยัดในกฎไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย
“ในเมื่อคุณเป็นหัวหน้าแพทย์ประจำบ้าน งั้นคุณก็คิดวิธีหาห้องคนไข้วีไอพีมาให้ฉัน” ฉันแบมือสองข้างออก สองขาก้าวขึ้นไป แล้วนอนนิ่งอยู่บนเตียงเข็นคนไข้อย่างไร้ยางอาย “ไม่อย่างนั้นฉันก็จะอยู่ที่ห้องฉุกเฉินนี่ ไม่ไปไหน”
“เชื่อหรือเปล่าว่าผมจะให้คุณทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย” เสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำลง เห็นได้ชัดว่าเริ่มโมโหแล้ว
เชอะ ดูสุภาพเรียบร้อยแค่ภายนอก หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านคนนี้นิสัยแย่จริงๆ เลย
“คุณกล้าเหรอ ฉันจะฟ้องคุณ” ฉันหาเรื่องเขา
เขาเลิกต่อล้อต่อเถียงไร้สาระกับฉัน แล้วหันไปบอกคุณพยาบาลว่า “คุณเหอ เดี๋ยวช่วยติดต่อญาติของคุณผู้หญิงคนนี้ให้หน่อย”
พอเห็นว่าคนที่คุณพยาบาลพาเข้ามาคืออาเมิ่งซี ฉันก็ยันตัวขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “อาเมิ่งซี…”
คนที่พาฉันมาส่งที่โรงพยาบาลคือเขา?
“คุณหมอเหยียน ขอโทษด้วยครับ เด็กคนนี้สร้างปัญหาให้คุณหมอซะแล้ว”
“โวยวายว่าจะอยู่ห้องวีไอพีมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” คุณหมอสุดหล่อขมวดคิ้ว แล้วถือโอกาสฟ้องเรื่องฉัน “ทรัพยากรทางการแพทย์ไม่ได้นำมาใช้กันแบบนี้”
“ฉัน…” เพิ่งจะอ้าปาก อาเมิ่งซีก็กดศีรษะฉันทันทีเพื่อบอกเป็นนัยว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่เขาเอง
“เจ้าเด็กคนนี้ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กจนเสียคนแล้ว” อาเมิ่งซีมองฉันด้วยสายตาเชิงตำหนิเล็กน้อย แล้วเดินจูงคุณหมอสุดหล่อไปคุยกันที่ข้างหน้าต่างทันที
ทั้งสองคนคุยพลางหัวเราะพลาง ดูเหมือนว่ายังแลกนามบัตรกันด้วย พวกเขามองข้ามฉันไปโดยสิ้นเชิง
ฉันจ้องมองพวกเขา พอจ้องนานเข้าๆ ก็รู้สึกว่า…ภาพชายหนุ่มสองคนอยู่ด้วยกันดูแล้วช่างอิ่มตาอิ่มใจจริงๆ คนหนึ่งเป็นนักธุรกิจสวมชุดสูทสีดำ ส่วนอีกคนเป็นคุณหมอมืออาชีพสวมเสื้อกาวน์สีขาว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็คือ ‘ท่านประธานหน้าเนื้อใจเสือฝ่ายรุก’ กับ ‘คุณหมอผู้อ่อนโยนฝ่ายรับ’…โอย เลือดกำเดาจะไหล ฉันแอบเช็ดจมูก
“ซิงเฉิน ขอโทษคุณหมอเหยียนซะ” อาเมิ่งซีพูด น้ำเสียงเฉียบขาดเล็กน้อย
แย่แล้ว ถูกจับได้แล้วเหรอว่าในหัวฉันกำลังเล่นหนังโป๊ฉากที่ท่านประธานคร่อมอยู่บนตัวคุณหมออยู่
“ทำไมหนูต้องขอโทษด้วย” ฉันกินปูนร้อนท้อง “หนู…ทำผิดตรงไหน”
“ทำผิดทุกตรงนั่นแหละ ขอโทษเร็ว”
“คุณหมอเหยียน ขอ…ขอโทษ…ค่ะ” สามพยางค์นี้ช่างพูดออกจากปากได้ยากจริงๆ ฉันเบือนหน้าไปอีกทางแล้วพูดเสียงเบา
“ช่างมันเถอะ ดูแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร รบกวนคุณช่วยพาเธอไปที่ห้องคนไข้ด้วยนะ” คุณหมอเหยียนตบบ่าอาเมิ่งซีเบาๆ
คุณหมอเหยียนพูดกำชับสามสี่ประโยคแล้วก็เดินจากไป
“ไปห้องวีไอพีเหรอคะ”
“อืม”
ฉันฉีกยิ้มมุมปากด้วยความดีใจ “อาเมิ่งซีเยี่ยมที่สุดเลย!”
ทว่าความดีอกดีใจคงอยู่ได้ไม่นานนัก
ฉันมองไปรอบๆ ห้องคนไข้อย่างเซ็งๆ บนผนังห้องติดวอลล์เปเปอร์ลายตัวการ์ตูนแมวไม่มีปากสีชมพู บนเตียงคนไข้ปูด้วยผ้าปูที่นอนลายตัวการ์ตูนแมวไม่มีปากสีชมพูและมีหมอนลายตัวการ์ตูนแมวไม่มีปากสีชมพูวางอยู่ แล้วก็ยังมีชุดคนไข้สีชมพูที่ตัวค่อนข้างเล็กไปหน่อย…ฉันข้ามมิติมาอยู่ที่ช่องการ์ตูนอย่างนั้นเหรอ
เสียงหัวเราะสนุกสนานของเด็กๆ ดังลอยมาจากด้านนอกระเบียงทางเดิน ระคนกับเสียงดุที่กดต่ำของคุณพยาบาล “ห้ามเล่นที่ระเบียงทางเดินของโรงพยาบาล!”
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่ฟังดูเศร้าสร้อยขึ้นเรื่อยๆ ดังทะลุผนังเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
“ฮือๆๆ แม่จ๋า หนูไม่อยากฉีดยา! ฮือๆๆ…”
“ฮือๆๆ พ่อฮะ ผมไม่อยากกินยา!”
“ฮือๆๆ หนูไม่อยากนอนโรงพยาบาล หนูอยากกลับบ้าน…”
บางครั้งก็มีเสียงกรีดร้องลั่นดังลอยมาท้าทายขีดความอดทนของคนเรา
“ห้องผู้ป่วยเด็ก?” มุมปากฉันกระตุก
“อืม” อาเมิ่งซียิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณหมอเหยียนบอกว่าเหลือแต่ห้องนี้แล้ว เป็นห้องคนไข้วีไอพี เฮลโล คิตตี้”
ฉันหมดคำพูดโดยสิ้นเชิง
ฉันอยู่โซนผู้ป่วยเด็กที่เสียงดังครื้นเครงเหมือนกับโซนเครื่องเล่นสำหรับเด็กในร้านแมคโดนัลด์ ฉันคอยบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ ใจเย็นไว้ ต้องใจเย็นสุดๆ
เยี่ยมไปเลย ฉันถูกหลอกเสียแล้ว
“หน้าเธอซีดมาก ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“หึๆ ฮะๆๆ ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันนวดขมับที่ปวดตุบๆ แล้วยิ้มแห้ง “คิตตี้น่ารักมาก หนูเองก็ชอบคิตตี้มากเหมือนกันค่ะ”
“มือเธอเป็นอะไรน่ะ”
ฉันชูมือขึ้น ถึงได้รู้ว่าข้อมือฉันตรงใกล้ๆ ง่ามนิ้วระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้มีคราบเลือดสดๆ สามสี่คราบ เลือดสีแดงฉานกำลังค่อยๆ ไหลซึมออกมาทีละหยดๆ แล้วแขนเสื้อสีชมพูก็ถูกย้อมกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว
ฉันสั่นกระตุกเล็กน้อย ร้องครวญครางเบาๆ “คงจะ…เป็นตอนที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่ในน้ำแล้วโดนอะไรบาดเข้า”
“ไม่เจ็บเหรอ”
ที่จริงบาดแผลไม่ลึก ตอนที่ขึ้นรถพยาบาลมาเลือดอาจหยุดไหลไปแล้ว แต่ว่าเมื่อกี้นอนกลิ้งไปกลิ้งมา บาดแผลก็เลยฉีกขึ้นมาอีก
“เจ็บค่ะ” ฉันสูดจมูกฟุดฟิดและตอบตามตรง “เจ็บมากจริงๆ”
ฉันคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องไปสนใจมัน แต่ที่จริงแล้วหลังจากเกิดเรื่องสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดล้วนแล้วแต่เป็นบาดแผลจิ๊บจ๊อยพวกนี้
เขาอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนงอนิ้วเคาะหน้าผากฉันเบาๆ ทีหนึ่ง “ยอมใจเธอจริงๆ มือบาดเจ็บขนาดนี้ยังมีกะจิตกะใจอาละวาดอีก”
ฉันอยากจะโหยหาความอ่อนโยนของเขาต่อเหลือเกิน ถึงแม้ว่าแบบนี้จะทำให้ฉันดูเหมือนเด็กก็ตามที
“เดี๋ยวอาไปเรียกพยาบาลมา…”
“อย่าเรียกคนอื่นมานะคะ” ฉันจับเขาไว้ แล้วยื่นมือข้างที่บาดเจ็บไปตรงหน้าเขา พร้อมกับขอร้องอย่างเอาแต่ใจ “คุณ…เจิ้งเมิ่งซี ช่วยทายาให้หนูหน่อย”
แม้เขาจะเป็นฝ่ายปฏิเสธฉันก่อน แต่ฉันรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรฉันก็เป็นหนามกุหลาบที่บ่งไม่ออกอยู่ในใจเขา
ชายหนุ่มหัวเราะอย่างจนปัญญา แล้วเดินออกจากห้องคนไข้ไปขอยืมกล่องยากับคุณพยาบาล จากนั้นนั่งลงข้างเตียงคนไข้ หยิบหมอนอิงหน้าคิตตี้มารองใต้ข้อมือฉัน เขาทำความสะอาดแผล ใส่ยาฆ่าเชื้อโรค ทายา แล้วก็พันผ้าพันแผล…เขาทำอย่างเบามือและระมัดระวัง ราวกับว่าฉันเป็นตุ๊กตากระเบื้องอันล้ำค่า
จู่ๆ ภายในห้องคนไข้ก็เงียบสนิท เงียบจนรู้สึกว่าเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังมาก
ฉันพยายามเบนสายตาไปที่ผนังห้อง บนผนังแขวนนาฬิกาลายคิตตี้ เข็มชั่วโมงกับเข็มวินาทีขยับอย่างช้าๆ มาเจอกันและซ้อนทับกัน ส่งเสียงดังติ๊กๆ
ทำไมคิตตี้ถึงไม่มีปาก ไม่มีปากก็พูดบอกอะไรไม่ได้ จะต้องรู้สึกอึดอัดมากแน่เลย
เขานิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนถอนหายใจเบาๆ “อากลับก่อนนะ”
“ช่วย…อยู่เป็นเพื่อนหนูต่ออีกหน่อยได้มั้ยคะ” ฉันจับชายเสื้อเขาแน่น “หนูอยู่คนเดียว รู้สึกกลัว”
“ซิงเฉิน อาอยู่เป็นเพื่อนเธอ ปกป้องเธอได้” ดูเหมือนว่ามีแสงอ่อนๆ ฉายวาบขึ้นในดวงตาเขาแล้วเลือนหายไปในทันที “แต่อยู่เป็นเพื่อนเธอ ปกป้องเธอเหมือนกับพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น”
เหมือนกับพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรอย่างอื่น
ฉันปล่อยมือทันที “หนู…ไม่มีหวังเลยสักนิดจริงๆ เหรอคะ”
“อาแต่งงานแล้วนะ”
“คุณไม่ได้รักเธอสักหน่อย ที่คุณแต่งงานกับเธอก็แค่เพราะ…”
ชายหนุ่มตัดบทฉันอย่างรวดเร็ว เขาพูดจาตัดเยื่อใยและโหดร้าย “อาไม่มีทางหย่า และอาก็ไม่ได้มีความรู้สึกฉันชู้สาวกับเธอ เพราะฉะนั้นเธออย่ามัวสนใจอาเลย”
“งั้นคุณก็อย่าสนใจหนูด้วยเหมือนกัน” ฉันเม้มปากด้วยความเจ็บปวด รู้สึกน้อยใจเล็กน้อย “ถ้าทำแบบนี้หนูจะเข้าใจผิดได้ง่ายๆ”
ที่แท้คำพูดที่ว่า ‘ฉันจะปกป้องเธอ’ ของผู้ชายก็เหมือนกับยาพิษที่เคลือบด้วยน้ำตาล หลอกให้คุณกินจนติดใจแล้วค่อยมาบอกคุณว่าไม่ได้มีความคิดฉันชู้สาวใดๆ ทั้งสิ้น ถ้ากินแล้วรู้สึกหวาน แสดงว่าคุณคิดไปเองทุกสิ่งทุกอย่าง
มิน่าล่ะฉันถึงได้ป่วยกาย ป่วยใจ แล้วก็ป่วยทางจิต
เขาตะลึงงัน แล้วกลั้นยิ้ม “ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง ขอโทษทีนะ ต่อไปอาจะระวัง จะไม่ทำให้เธอต้องเข้าใจผิดอีก”
ในดวงตาค่อยๆ เต็มไปด้วยหมอกขาว ฉันเบือนหน้าไปทางอื่น พยายามคุมให้น้ำเสียงฟังดูสบายๆ ที่สุด “ไม่เป็นไรค่ะ”
แล้วจู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ช่วยยุติความอึดอัดระหว่างเราสองคน อาเมิ่งซีเดินออกไปรับโทรศัพท์ข้างนอกห้อง เขาคุยโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ เมื่อเขากลับมาที่ห้องคนไข้อีกครั้ง ฉันก็สงบสติอารมณ์ลงแล้ว
“เจิ้งฉู่เย่า…” ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ”
“ไม่เป็นไร”
“อืม”
“สองสามวันนี้ก็ช่วยทำเรื่องเข้าเรียนให้เธอเรียบร้อยแล้วล่ะ”
“ทำเรื่องเข้าเรียน?” คิ้วฉันขมวดมุ่นยิ่งขึ้น
“เราปรึกษากันแล้ว หลังจากปิดเทอมหน้าร้อนเธอก็ไม่ต้องกลับไปญี่ปุ่นแล้ว อยู่เรียนที่ไต้หวันจนจบ ม.ปลาย จากนั้นก็หมั้นกับฉู่เย่า แล้วทั้งสองคนก็ไปเรียนต่อต่างประเทศด้วยกัน”
“การแต่งงานเกี่ยวดองกันครั้งนี้ สองตระกูลจะได้ผลประโยชน์ที่แท้จริงอะไรบ้างคะ” ฉันถามโดยพยายามให้เสียงตัวเองฟังดูเรียบเฉย
“สกุลหลินจะได้เงินทุนอย่างไม่ขาดสาย ส่วนสกุลเจิ้งจะได้ที่ดินกับสิทธิ์ในหุ้น”
“เพราะฉะนั้นนี่ก็คือภารกิจของคุณ?”
“อืม” ข้อดีที่สุดของผู้ชายคนนี้ก็คือเวลาที่ควรตรงไปตรงมา เขาก็ไม่คลุมเครือแม้แต่น้อย
“รู้สึกว่าราคาถูกมากเลย” ฉันหลุบตาลงและมองดูหมอนอิงซึ่งไม่รู้ว่าตัวเองกอดไว้ในอ้อมแขนตั้งแต่เมื่อไร ฉันทุบใบหน้าอันไร้เดียงสาของคิตตี้เหมือนกับนวดแป้งโดห์ หลังจากหมดแรงฉันก็ได้แต่ทอดถอนใจและพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
ก่อนจะไปเขาแสร้งทำเสียงร่าเริงสดใส “ช่วงเย็นๆ หน่อยคุณแม่เธอจะมาเยี่ยมนะ”
คุณแม่? คุณแม่คนไหน แต่ช่างเถอะ ไม่ว่าคนไหน ตอนนี้ฉันก็ไม่อยากเจอทั้งนั้น
“บอกเธอว่าไม่ต้อง หนูอยากพักผ่อนค่ะ” ฉันหยิบหมอนอิงหน้าคิตตี้ที่ยับเยินขึ้นมา แล้วพลิกตัวหันหลังให้เขา
เพื่อการแต่งงานเกี่ยวดองกันที่ดีงามของสองตระกูลและผลประโยชน์ทางธุรกิจอันมหาศาล ดังนั้นฉันกับเจิ้งฉู่เย่าจึงถูกบังคับให้ปลูกต้นรักร่วมกันและเดตกันสองต่อสอง