Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 2
หลังจากนอนไม่ค่อยหลับติดต่อกันสามสี่วัน คอนซีลเลอร์ก็ไม่อาจปกปิดรอยหมองคล้ำรอบดวงตาได้ ฉันจึงถือโอกาสแต่งตาแบบสโมกกี้อาย ริมฝีปากทาลิปสติกสีแดงแปร๊ด สวมชุดเดรสสั้นผ้าซาตินของแบรนด์เอ็มเอสจีเอ็มลายริมฝีปากสีแดงบนตัวกระโปรง ซึ่งฉันเลือกจับคู่กับรองเท้าส้นสูงสีแดงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
แต่งตาแบบสโมกกี้อาย ทาเล็บสีดำ และรองเท้าส้นสูงสีแดงแรงฤทธิ์ ส่วนเครื่องประดับเป็นสร้อยข้อมือสีทองรูปหัวกะโหลก วันนี้มาในสไตล์พั้งก์ร็อก ฉันชูโทรศัพท์มือถือขึ้นในมุมสี่สิบห้าองศา เอียงใบหน้าเล็กน้อย ตั้งท่าถ่ายภาพอย่างคล่องแคล่ว บรรดารูปสวยๆ ถูกโพสต์ลงในเฟซบุ๊กแล้ว รีบมากดไลค์รูปฉันกันเถอะ!
ด้านข้างไอคอนยกนิ้วโป้งสีน้ำเงินตรงใต้โพสต์นั้นตัวเลขเพิ่มขึ้นไม่หยุด ทำให้ฉันยิ้มอย่างพออกพอใจ
“อ่ะแฮ่ม คุณหนูซิงเฉินครับ” คุณลุงพ่อบ้านเคาะประตูอย่างเก้ๆ กังๆ “เหลือเวลาแค่สามนาทีนะครับ”
ฉันสไลด์โทรศัพท์มือถือ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “ ‘ยังมี’ เวลาอีกสามนาทีค่ะ”
“แต่ว่า…คุณชายเล็กแห่งสกุลเจิ้งมาถึงแล้วนะครับ”
“ให้เขารอที่ห้องรับแขกสักประเดี๋ยวค่ะ” ฉันโบกไม้โบกมืออย่างหงุดหงิด ส่วนนิ้วมือก็พิมพ์ตอบกลับข้อความเร็วปรื๋อ
ฉันจัดการกับคำขอเป็นเพื่อนสามสี่รายอย่างไหลลื่น ตอนที่ฉันรู้สึกพออกพอใจและเดินออกมาจากห้อง เวลาก็ล่วงเลยไปสามสิบนาทีแล้ว
“เจิ้งฉู่เย่าล่ะ ตกลงกันไว้แล้วว่าจะมารับไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่ยอมรอ” ฉันไม่พอใจอย่างมาก “ไม่รักษาคำพูด เป็นคนเลวจริงๆ ลุงเต๋อ ไปส่งหนูทีนะคะ”
“ได้ครับ คุณหนู”
คุณลุงพ่อบ้านขับรถไปส่งฉันที่ร้านอาหารสุดหรูสไตล์ฝรั่งเศสแห่งหนึ่งในย่านเน่ยหู ก่อนจะลงจากรถ เขากำชับฉันด้วยความเป็นห่วงว่าหลังจากทำธุระเสร็จแล้วอย่าไปเถลไถล จะต้องเรียกเขาให้มารับกลับบ้าน
คุณลุงพ่อบ้านคนนี้ฉันเรียกเขาว่าลุงเต๋อ เขาเป็นชาวจีนอพยพมาจากแผ่นดินใหญ่รุ่นที่สอง ลุงเต๋อรับราชการทหารมาครึ่งค่อนชีวิต หลังจากปลดประจำการเขาก็มาทำงานอยู่ที่บ้านฉันยี่สิบกว่าปีแล้ว เขาเห็นฉันมาตั้งแต่เด็กจนโต หลังจากที่คุณพ่อเสียชีวิต แม่ใหญ่ก็วุ่นอยู่กับกิจการ ส่วนแม่แท้ๆ วุ่นอยู่กับการช็อปปิ้ง ไม่ค่อยจะสนใจฉันสักเท่าไร ภาระหน้าที่ดูแลฉันจึงตกอยู่ที่ลุงเต๋อ สำหรับฉันแล้วเขาเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับฉันยิ่งกว่าคนในครอบครัวเสียอีก
ลุงเต๋อไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่ไต้หวัน ภรรยาเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร จึงไม่มีลูกหลานเลยสักคน สำหรับเขาแล้วสกุลหลินอาจเป็นบ้านหลังที่สองของเขาไปแล้วก็ได้
ฉันกอดคอเขาและถูไซ้แก้มที่แห้งหยาบกร้านของเขาอย่างออดอ้อน “เข้าใจแล้วค่ะ เข้าใจแล้ว ลุงเต๋อนี่จู้จี้จุกจิกเหมือนคุณพ่อของหนูเลย”
“อายุอย่างลุงเป็นคุณปู่ของคุณหนูได้เลยล่ะครับ”
“ฮึ หนูไม่สน หนูมีคุณปู่แล้ว แต่ไม่มีคุณพ่อ หนูอยากให้ลุงเต๋อมาเป็นคุณพ่อ” ฉันขยิบตาให้พลางยิ้ม
ลุงเต๋อหัวเราะอย่างเขินอาย บริเวณหางตาเต็มไปด้วยรอยตีนกา “รีบไปเถอะครับ อย่าให้บรรดาคุณๆ สกุลเจิ้งรอนาน”
พอเห็นเขายืนหลังค่อมปิดประตูรถ ฉันก็รู้สึกเศร้าใจอย่างน่าประหลาด ลุงเต๋ออายุมากแล้วจริงๆ…
ฉันสะบัดหัว สลัดความรู้สึกประหลาดพวกนี้ทิ้งไป แล้วเดินเชิดหน้าเข้าไปในร้านอาหารหรูสไตล์ฝรั่งเศสที่อยู่ตรงหน้า
บริเวณทางเข้าร้านอาหารมีบริกรรอพาไปยังที่นั่ง การตกแต่งโทนสีทองและดำดูเรียบหรู โคมไฟคริสตัลแขวนอยู่บนเพดาน แสงไฟสว่างไสวไปทั่วทั้งร้าน สว่างจ้าจนฉันต้องหรี่ตา ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ถึงจะคุ้นชินกับแสงไฟที่ละลานตานี้ได้
ร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสแห่งนี้มีเชฟระดับมิชลินสตาร์เป็นตัวดึงดูด อาหารแต่ละรายการล้วนใช้วัตถุดิบชั้นเลิศที่ขนส่งทางอากาศมายังไต้หวัน แม้ว่าราคาไม่ใช่ถูกๆ แต่ว่ากันว่ามีลูกค้าจองคิวยาวเหยียดไปจนถึงครึ่งปีหลังแล้ว อย่างไรก็ตามอาเมิ่งซีกลับจองโต๊ะได้ตั้งแต่สามวันที่แล้ว ฝีมือขนาดนี้ สมกับที่เป็นผู้สืบทอดที่ประธานกลุ่มบริษัทรื่อเย่าไว้วางใจ
ภายในห้องที่เงียบเชียบ อาเมิ่งซีกับเจิ้งฉู่เย่านั่งรอฉันอยู่นานแล้ว
ตอนนี้ฉันอารมณ์ดี จึงไม่คิดซักไซ้ไล่เลียงเรื่องที่เจิ้งฉู่เย่าไม่ยอมรอฉัน ฉันหย่อนก้นลงนั่งอย่างสง่างามที่สุด สองมือวางประสานไว้บนตัก แล้วยิ้มพลางพูดว่า “บองชูร์ (สวัสดีค่ะ) ทั้งสองท่าน”
เจิ้งฉู่เย่าเม้มปากเล็กน้อย แล้วก้มหน้าพลางสไลด์โทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่แม้แต่จะกล่าวทักทายสักคำ เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นฉันเป็นอากาศธาตุ เป็นมนุษย์ล่องหน
อาเมิ่งซีพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดโยงเข้าเรื่องทันที “ซิงเฉิน ได้ยินมาว่าในงานปาร์ตี้ริมสระวันนั้นเธอกับฉู่เย่ามีปากเสียงกัน ถ้าเธอไม่พอใจตรงไหน อาจะชดใช้แทนฉู่เย่าให้ก็แล้วกันนะ” พอพูดจบเขาก็ขยิบตาให้เจิ้งฉู่เย่าทีหนึ่ง
แต่เจิ้งฉู่เย่าไม่สนใจเขาและยังคงสไลด์โทรศัพท์มือถือเหมือนเดิม ผ่านไปนานทีเดียวกว่าจะพูดออกมาว่า “ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”
“นี่มันขอโทษตรงไหนกัน” ฉันมองค้อนตาเหลือก
“ใครพูดขอโทษเธอ ฉันแค่กำลังเล่าความจริง” เขาเงยหน้าขึ้น ในดวงตาซ่อนความโมโหเอาไว้ไม่อยู่ แล้วพูดเตือนความจำฉันว่า “ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวสักหน่อยที่ตกน้ำ”
ท่าทางของเจิ้งฉู่เย่ากวนบาทาชะมัด
ฉันโมโหกัดฟันกรอดๆ ถ้าไม่ระบายมันออกไปฉันต้องไม่สบายแน่นอน ฉันจึงฟ้องเรื่องเขาอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน “หนูไม่พอใจอย่างมากเลยค่ะ วันนั้นเจิ้งฉู่เย่าถูกหนูจับได้ว่ายุ่งอีนุงตุงนังอยู่กับพนักงานสาวคนหนึ่งของโรงแรม ทั้งสองคนจับมือถือแขนกัน ดูท่าทางสนิทสนมกันมาก”
“โอ๊ะ มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” อาเมิ่งซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและแสดงสีหน้าสงสัย “ฉู่เย่า นายกับเด็กสาวคนนั้นเป็น…”
“ไม่รู้จัก ไม่ได้เป็นอะไรกัน” เขาโยนคำตอบแบบขอไปทีอย่างเย็นชา
ฉันเม้มปากและทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ “คิดจะโกหกใครน่ะ”
“ในเมื่อฉู่เย่าบอกว่าไม่รู้จัก เขาก็คงจะไม่รู้จักจริงๆ” เมื่อสังเกตเห็นถึงบรรยากาศตึงเครียดระหว่างการสนทนาของเรา อาเมิ่งซีก็เปลี่ยนเรื่องคุย “ซิงเฉินคงจะหิวแล้วใช่มั้ย”
ในฐานะคุณหนูตระกูลดัง การดูแลหุ่นมีความสำคัญพอๆ กับการบริหารทรัพย์สิน หากไร้รูปร่างหน้าตาที่สวยงาม ไร้ซึ่งทรัพย์สินเงินทอง แบบนั้นก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆ ที่เป็นโรคเจ้าหญิง
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเหลือบมองรูปภาพสวยๆ ในเมนูอาหารแวบหนึ่ง กลืนน้ำลายแล้วพูดปากไม่ตรงกับใจว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”
“ถึงไม่หิวก็ทานสักหน่อย สั่งอาหารกันเถอะ” อาเมิ่งซียิ้ม พอเขาชูมือขึ้น บริกรที่ยืนคอยบริการอยู่ข้างโต๊ะก็รีบยื่นเมนูอาหารให้ทันที
“ชุดอาหารมังสวิรัติ” เจิ้งฉู่เย่าผลักเมนูอาหารไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะดูสักนิด
“เจิ้งฉู่เย่าทานมังสวิรัติ? ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย” ฉันเงยหน้าขึ้นอย่างงงๆ
“ตอนนี้เริ่มทานแล้ว” เขาพูดใส่หน้าฉันอย่างเย็นชา “เพื่อที่จะพยายามอดทนกับหลินซิงเฉิน เจิ้งฉู่เย่าก็เลยเริ่มเรียนรู้วิธีการฝึกฝนบ่มเพาะคุณธรรม”
เพื่อที่จะพยายามอดทนกับหลินซิงเฉินก็เลยเริ่มทานมังสวิรัติ?
นายทานมังสวิรัติ แต่ฉันชอบทานเนื้อ!
“ซิงเฉิน เธออยากทานอะไร” อาเมิ่งซีรีบพูดไกล่เกลี่ย
ฉันกัดฟันด้วยความอับอายและโมโห แล้วพูดอย่างเป็นจังหวะว่า “สเต๊กเนื้อริบอาย มีเดียมแรร์”
ฉันทานอาหารมื้อนี้ด้วยความเซ็งสุดขีด แต่ไหนแต่ไรอาเมิ่งซีเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว เขาอยากทานข้าวกับเราก็เพียงเพื่อที่จะปฏิบัติภารกิจจับคู่ฉันกับเจิ้งฉู่เย่าให้สำเร็จ
เจิ้งฉู่เย่าทำหน้าบูดบึ้ง ส่วนฉันก็ไม่พอใจ ต่างคนต่างนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
ในร้านอาหารเปิดดนตรีคลอเบาๆ ฉันฟังแล้วรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย เมื่อเห็นสเต๊กเนื้อที่มีเลือดไหลเยิ้มก็ยิ่งกลืนไม่ลง
“ส่วนชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนมัธยมเซนต์เลออน เดี๋ยวเย็นๆ หน่อยอาจะให้คนส่งไปที่บ้าน ชุดสั่งตัดตามรูปร่างของเธอ เธอก็ลองสวมดูนะ ถ้าตรงไหนไม่พอดีตัว…” อาเมิ่งซีเรียกฉันทีหนึ่ง “ซิงเฉิน?”
“โรงเรียนมัธยมเซนต์เลออน?” ระหว่างที่ใจลอย พอได้ยินเสียงของอาเมิ่งซี ฉันก็ตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยได้สติกลับมา “วันรับสมัครผ่านไปนานแล้วไม่ใช่เหรอคะ”