ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 2 – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

Jamsai

ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 2

หลังจากนอนไม่ค่อยหลับติดต่อกันสามสี่วัน คอนซีลเลอร์ก็ไม่อาจปกปิดรอยหมองคล้ำรอบดวงตาได้ ฉันจึงถือโอกาสแต่งตาแบบสโมกกี้อาย ริมฝีปากทาลิปสติกสีแดงแปร๊ด สวมชุดเดรสสั้นผ้าซาตินของแบรนด์เอ็มเอสจีเอ็มลายริมฝีปากสีแดงบนตัวกระโปรง ซึ่งฉันเลือกจับคู่กับรองเท้าส้นสูงสีแดงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

แต่งตาแบบสโมกกี้อาย ทาเล็บสีดำ และรองเท้าส้นสูงสีแดงแรงฤทธิ์ ส่วนเครื่องประดับเป็นสร้อยข้อมือสีทองรูปหัวกะโหลก วันนี้มาในสไตล์พั้งก์ร็อก ฉันชูโทรศัพท์มือถือขึ้นในมุมสี่สิบห้าองศา เอียงใบหน้าเล็กน้อย ตั้งท่าถ่ายภาพอย่างคล่องแคล่ว บรรดารูปสวยๆ ถูกโพสต์ลงในเฟซบุ๊กแล้ว รีบมากดไลค์รูปฉันกันเถอะ!

ด้านข้างไอคอนยกนิ้วโป้งสีน้ำเงินตรงใต้โพสต์นั้นตัวเลขเพิ่มขึ้นไม่หยุด ทำให้ฉันยิ้มอย่างพออกพอใจ

“อ่ะแฮ่ม คุณหนูซิงเฉินครับ” คุณลุงพ่อบ้านเคาะประตูอย่างเก้ๆ กังๆ “เหลือเวลาแค่สามนาทีนะครับ”

ฉันสไลด์โทรศัพท์มือถือ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “ ‘ยังมี’ เวลาอีกสามนาทีค่ะ”

“แต่ว่า…คุณชายเล็กแห่งสกุลเจิ้งมาถึงแล้วนะครับ”

“ให้เขารอที่ห้องรับแขกสักประเดี๋ยวค่ะ” ฉันโบกไม้โบกมืออย่างหงุดหงิด ส่วนนิ้วมือก็พิมพ์ตอบกลับข้อความเร็วปรื๋อ

ฉันจัดการกับคำขอเป็นเพื่อนสามสี่รายอย่างไหลลื่น ตอนที่ฉันรู้สึกพออกพอใจและเดินออกมาจากห้อง เวลาก็ล่วงเลยไปสามสิบนาทีแล้ว

“เจิ้งฉู่เย่าล่ะ ตกลงกันไว้แล้วว่าจะมารับไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่ยอมรอ” ฉันไม่พอใจอย่างมาก “ไม่รักษาคำพูด เป็นคนเลวจริงๆ ลุงเต๋อ ไปส่งหนูทีนะคะ”

“ได้ครับ คุณหนู”

คุณลุงพ่อบ้านขับรถไปส่งฉันที่ร้านอาหารสุดหรูสไตล์ฝรั่งเศสแห่งหนึ่งในย่านเน่ยหู ก่อนจะลงจากรถ เขากำชับฉันด้วยความเป็นห่วงว่าหลังจากทำธุระเสร็จแล้วอย่าไปเถลไถล จะต้องเรียกเขาให้มารับกลับบ้าน

คุณลุงพ่อบ้านคนนี้ฉันเรียกเขาว่าลุงเต๋อ เขาเป็นชาวจีนอพยพมาจากแผ่นดินใหญ่รุ่นที่สอง ลุงเต๋อรับราชการทหารมาครึ่งค่อนชีวิต หลังจากปลดประจำการเขาก็มาทำงานอยู่ที่บ้านฉันยี่สิบกว่าปีแล้ว เขาเห็นฉันมาตั้งแต่เด็กจนโต หลังจากที่คุณพ่อเสียชีวิต แม่ใหญ่ก็วุ่นอยู่กับกิจการ ส่วนแม่แท้ๆ วุ่นอยู่กับการช็อปปิ้ง ไม่ค่อยจะสนใจฉันสักเท่าไร ภาระหน้าที่ดูแลฉันจึงตกอยู่ที่ลุงเต๋อ สำหรับฉันแล้วเขาเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับฉันยิ่งกว่าคนในครอบครัวเสียอีก

ลุงเต๋อไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่ไต้หวัน ภรรยาเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร จึงไม่มีลูกหลานเลยสักคน สำหรับเขาแล้วสกุลหลินอาจเป็นบ้านหลังที่สองของเขาไปแล้วก็ได้

ฉันกอดคอเขาและถูไซ้แก้มที่แห้งหยาบกร้านของเขาอย่างออดอ้อน “เข้าใจแล้วค่ะ เข้าใจแล้ว ลุงเต๋อนี่จู้จี้จุกจิกเหมือนคุณพ่อของหนูเลย”

“อายุอย่างลุงเป็นคุณปู่ของคุณหนูได้เลยล่ะครับ”

“ฮึ หนูไม่สน หนูมีคุณปู่แล้ว แต่ไม่มีคุณพ่อ หนูอยากให้ลุงเต๋อมาเป็นคุณพ่อ” ฉันขยิบตาให้พลางยิ้ม

ลุงเต๋อหัวเราะอย่างเขินอาย บริเวณหางตาเต็มไปด้วยรอยตีนกา “รีบไปเถอะครับ อย่าให้บรรดาคุณๆ สกุลเจิ้งรอนาน”

พอเห็นเขายืนหลังค่อมปิดประตูรถ ฉันก็รู้สึกเศร้าใจอย่างน่าประหลาด ลุงเต๋ออายุมากแล้วจริงๆ…

ฉันสะบัดหัว สลัดความรู้สึกประหลาดพวกนี้ทิ้งไป แล้วเดินเชิดหน้าเข้าไปในร้านอาหารหรูสไตล์ฝรั่งเศสที่อยู่ตรงหน้า

บริเวณทางเข้าร้านอาหารมีบริกรรอพาไปยังที่นั่ง การตกแต่งโทนสีทองและดำดูเรียบหรู โคมไฟคริสตัลแขวนอยู่บนเพดาน แสงไฟสว่างไสวไปทั่วทั้งร้าน สว่างจ้าจนฉันต้องหรี่ตา ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ถึงจะคุ้นชินกับแสงไฟที่ละลานตานี้ได้

ร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสแห่งนี้มีเชฟระดับมิชลินสตาร์เป็นตัวดึงดูด อาหารแต่ละรายการล้วนใช้วัตถุดิบชั้นเลิศที่ขนส่งทางอากาศมายังไต้หวัน แม้ว่าราคาไม่ใช่ถูกๆ แต่ว่ากันว่ามีลูกค้าจองคิวยาวเหยียดไปจนถึงครึ่งปีหลังแล้ว อย่างไรก็ตามอาเมิ่งซีกลับจองโต๊ะได้ตั้งแต่สามวันที่แล้ว ฝีมือขนาดนี้ สมกับที่เป็นผู้สืบทอดที่ประธานกลุ่มบริษัทรื่อเย่าไว้วางใจ

ภายในห้องที่เงียบเชียบ อาเมิ่งซีกับเจิ้งฉู่เย่านั่งรอฉันอยู่นานแล้ว

ตอนนี้ฉันอารมณ์ดี จึงไม่คิดซักไซ้ไล่เลียงเรื่องที่เจิ้งฉู่เย่าไม่ยอมรอฉัน ฉันหย่อนก้นลงนั่งอย่างสง่างามที่สุด สองมือวางประสานไว้บนตัก แล้วยิ้มพลางพูดว่า “บองชูร์ (สวัสดีค่ะ) ทั้งสองท่าน”

เจิ้งฉู่เย่าเม้มปากเล็กน้อย แล้วก้มหน้าพลางสไลด์โทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่แม้แต่จะกล่าวทักทายสักคำ เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นฉันเป็นอากาศธาตุ เป็นมนุษย์ล่องหน

อาเมิ่งซีพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดโยงเข้าเรื่องทันที “ซิงเฉิน ได้ยินมาว่าในงานปาร์ตี้ริมสระวันนั้นเธอกับฉู่เย่ามีปากเสียงกัน ถ้าเธอไม่พอใจตรงไหน อาจะชดใช้แทนฉู่เย่าให้ก็แล้วกันนะ” พอพูดจบเขาก็ขยิบตาให้เจิ้งฉู่เย่าทีหนึ่ง

แต่เจิ้งฉู่เย่าไม่สนใจเขาและยังคงสไลด์โทรศัพท์มือถือเหมือนเดิม ผ่านไปนานทีเดียวกว่าจะพูดออกมาว่า “ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”

“นี่มันขอโทษตรงไหนกัน” ฉันมองค้อนตาเหลือก

“ใครพูดขอโทษเธอ ฉันแค่กำลังเล่าความจริง” เขาเงยหน้าขึ้น ในดวงตาซ่อนความโมโหเอาไว้ไม่อยู่ แล้วพูดเตือนความจำฉันว่า “ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวสักหน่อยที่ตกน้ำ”

ท่าทางของเจิ้งฉู่เย่ากวนบาทาชะมัด

ฉันโมโหกัดฟันกรอดๆ ถ้าไม่ระบายมันออกไปฉันต้องไม่สบายแน่นอน ฉันจึงฟ้องเรื่องเขาอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน “หนูไม่พอใจอย่างมากเลยค่ะ วันนั้นเจิ้งฉู่เย่าถูกหนูจับได้ว่ายุ่งอีนุงตุงนังอยู่กับพนักงานสาวคนหนึ่งของโรงแรม ทั้งสองคนจับมือถือแขนกัน ดูท่าทางสนิทสนมกันมาก”

“โอ๊ะ มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” อาเมิ่งซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและแสดงสีหน้าสงสัย “ฉู่เย่า นายกับเด็กสาวคนนั้นเป็น…”

“ไม่รู้จัก ไม่ได้เป็นอะไรกัน” เขาโยนคำตอบแบบขอไปทีอย่างเย็นชา

ฉันเม้มปากและทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ “คิดจะโกหกใครน่ะ”

“ในเมื่อฉู่เย่าบอกว่าไม่รู้จัก เขาก็คงจะไม่รู้จักจริงๆ” เมื่อสังเกตเห็นถึงบรรยากาศตึงเครียดระหว่างการสนทนาของเรา อาเมิ่งซีก็เปลี่ยนเรื่องคุย “ซิงเฉินคงจะหิวแล้วใช่มั้ย”

ในฐานะคุณหนูตระกูลดัง การดูแลหุ่นมีความสำคัญพอๆ กับการบริหารทรัพย์สิน หากไร้รูปร่างหน้าตาที่สวยงาม ไร้ซึ่งทรัพย์สินเงินทอง แบบนั้นก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆ ที่เป็นโรคเจ้าหญิง

ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเหลือบมองรูปภาพสวยๆ ในเมนูอาหารแวบหนึ่ง กลืนน้ำลายแล้วพูดปากไม่ตรงกับใจว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”

“ถึงไม่หิวก็ทานสักหน่อย สั่งอาหารกันเถอะ” อาเมิ่งซียิ้ม พอเขาชูมือขึ้น บริกรที่ยืนคอยบริการอยู่ข้างโต๊ะก็รีบยื่นเมนูอาหารให้ทันที

“ชุดอาหารมังสวิรัติ” เจิ้งฉู่เย่าผลักเมนูอาหารไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะดูสักนิด

“เจิ้งฉู่เย่าทานมังสวิรัติ? ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย” ฉันเงยหน้าขึ้นอย่างงงๆ

“ตอนนี้เริ่มทานแล้ว” เขาพูดใส่หน้าฉันอย่างเย็นชา “เพื่อที่จะพยายามอดทนกับหลินซิงเฉิน เจิ้งฉู่เย่าก็เลยเริ่มเรียนรู้วิธีการฝึกฝนบ่มเพาะคุณธรรม”

เพื่อที่จะพยายามอดทนกับหลินซิงเฉินก็เลยเริ่มทานมังสวิรัติ?

นายทานมังสวิรัติ แต่ฉันชอบทานเนื้อ!

“ซิงเฉิน เธออยากทานอะไร” อาเมิ่งซีรีบพูดไกล่เกลี่ย

ฉันกัดฟันด้วยความอับอายและโมโห แล้วพูดอย่างเป็นจังหวะว่า “สเต๊กเนื้อริบอาย มีเดียมแรร์”

ฉันทานอาหารมื้อนี้ด้วยความเซ็งสุดขีด แต่ไหนแต่ไรอาเมิ่งซีเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว เขาอยากทานข้าวกับเราก็เพียงเพื่อที่จะปฏิบัติภารกิจจับคู่ฉันกับเจิ้งฉู่เย่าให้สำเร็จ

เจิ้งฉู่เย่าทำหน้าบูดบึ้ง ส่วนฉันก็ไม่พอใจ ต่างคนต่างนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

ในร้านอาหารเปิดดนตรีคลอเบาๆ ฉันฟังแล้วรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย เมื่อเห็นสเต๊กเนื้อที่มีเลือดไหลเยิ้มก็ยิ่งกลืนไม่ลง

“ส่วนชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนมัธยมเซนต์เลออน เดี๋ยวเย็นๆ หน่อยอาจะให้คนส่งไปที่บ้าน ชุดสั่งตัดตามรูปร่างของเธอ เธอก็ลองสวมดูนะ ถ้าตรงไหนไม่พอดีตัว…” อาเมิ่งซีเรียกฉันทีหนึ่ง “ซิงเฉิน?”

“โรงเรียนมัธยมเซนต์เลออน?” ระหว่างที่ใจลอย พอได้ยินเสียงของอาเมิ่งซี ฉันก็ตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยได้สติกลับมา “วันรับสมัครผ่านไปนานแล้วไม่ใช่เหรอคะ”

Comments

comments

Continue Reading

More in Jamsai

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com