Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 3
“ขอโทษด้วยครับ ทางร้านเราขายแต่หม้อไฟยวนยาง ถึงแม้จะทานคนเดียวก็ต้องจ่ายค่าอาหารสำหรับสองท่าน หากคุณผู้หญิงไม่ต้องการจ่าย รบกวนคุณเปลี่ยนเป็นร้านอื่นดีกว่าครับ” ซุยกะทาโร่ยืดอกกว้างบึกบึน เขาดูแลหญิงสาวโดยดึงเธอให้ไปยืนอยู่ข้างหลัง แต่น่าเสียดายที่เขาตัวไม่สูง อวี๋หยางหย่างที่ยืนห่อตัวอยู่ข้างหลังเขายังสูงกว่าเป็นคืบ ภาพที่ออกมาจึงดูชวนขันทีเดียว
“ค่าหม้อไฟยวนยางน่ะ ไม่ใช่ว่าฉันจ่ายไม่ไหวหรอกนะ ถ้าฉันพอใจ ให้เหมาทั้งร้านก็ไม่มีปัญหา!” ฉันพูดอย่างเย็นชา “แต่พวกคุณดึงดันให้ลูกค้าที่ทานอาหารคนเดียวต้องจ่ายค่าอาหารสำหรับสองคน กฎแบบนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เรื่องไหนที่ไม่สมเหตุสมผล ฉันเห็นแล้วมันขัดหูขัดตา ฉันจะฟ้องร้องพวกคุณ!”
“เราเป็นแค่เด็กพาร์ตไทม์ตัวเล็กๆ ขอให้คุณได้โปรดเมตตา อย่ากลั่นแกล้งเราเลยนะครับ” ความยโสโอหังของซุยกะทาโร่มลายหายไปสิ้น เขาก้าวถอยหลังกึกๆๆ ไปสองสามก้าว
ฉันทำเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูก “ใครกำลังกลั่นแกล้งใครกันแน่หา”
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากห้องครัว เขายื่นมือมาหวังจะดึงฉันขึ้นมาจากที่นั่ง “ถ้าไม่อยากโดนกลั่นแกล้ง คุณก็ไม่ต้องทานที่นี่สิ! ไป รีบไปเลย ร้านนี้ไม่ต้อนรับลูกค้าแบบคุณ!”
“สมัยนี้ร้านอาหารปฏิบัติกับลูกค้าแบบนี้ได้ด้วยเหรอ” ฉันเบี่ยงตัวหลบและยิ้มเย็นชา “อย่ามาแตะต้องฉัน ถ้าแตะต้องฉัน ฉันจะฟ้องคุณข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ!”
“พี่คะอย่าเพิ่งวู่วาม ผู้หญิงคนนี้เราล่วงเกินไม่ได้…” อวี๋หยางหย่างรั้งเขาไว้แล้วส่ายหัวพลางขยิบตาให้เขา เธอกระซิบที่ข้างหูเขา เป็นไปได้อย่างมากว่าเธอกำลังนินทาฉันอยู่ เขาตบบ่าเธอเบาๆ ด้วยความรักใคร่เอ็นดู แล้วถลึงตาใส่ฉันอย่างจงเกลียดจงชัง จากนั้นกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้ง
ดูท่าว่าอัศวินดำของซินเดอเรลล่าจะมีหลายคนทีเดียว
พอชายวัยกลางคนเดินจากไป อวี๋หยางหย่างก็หันมาพูดกับฉันว่า “หลินซิงเฉิน อย่ามารังแกกันเกินไปนะ! งานบริการก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเหมือนกัน!”
“ในที่สุดก็นึกได้แล้วเหรอว่าฉันคือใคร ใช้ได้นี่!” ฉันเหลือบดูป้ายชื่อตรงอกเธอ แล้วยิ้มอย่างร้ายกาจ “เธอชื่ออวี๋ยางยางใช่มั้ย คิดไม่ถึงว่าเธอก็ทำงานที่นี่ด้วย ทำไม ทำงานที่โรงแรม W ได้เงินไม่พอเหรอ เดี๋ยวฉันให้ฉู่เย่าเพิ่มเงินเดือนให้!”
“ใช่แล้ว บ้านฉันจน ฉันต้องทำงาน ฉันต้องทำควบหลายงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ไม่ว่างมาเป็นเพื่อนเล่นกับคุณชายคุณหนูตระกูลเศรษฐีอย่างพวกคุณหรอกนะ!” ใบหน้าขาวหมดจดของเธอโกรธจนแดงก่ำขึ้นมาทันที เธอกำหมัดแน่น ยืดอกเชิดหน้าจ้องมองฉันตรงๆ “คุณหลิน คุณฟังให้ชัดๆ นะ เจิ้งฉู่เย่ามาวอแวฉันเอง! ฉันไม่ได้เป็นฝ่ายวอแวเขาก่อน! แทนที่จะมาโมโหใส่ฉัน ทำไมคุณไม่ดูแลคู่หมั้นของตัวเองให้ดีๆ ล่ะ!”
เจิ้งฉู่เย่าเป็นฝ่ายวอแวอวี๋ยางยางก่อน?
ฉันงงงัน คิดไม่ถึงว่ารสนิยมของหมอนี่ช่างแปลกไม่เหมือนใครจริงๆ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ไม่เท่ากับว่าฉันเข้าใจอวี๋ยางยางผิดหรอกเหรอ
“ฮึ เธอคิดว่าฉันจะเชื่อคำโกหกของเธองั้นเหรอ ผู้สืบทอดกลุ่มบริษัทรื่อเย่าจะมาสนใจผู้หญิงจนกรอบอย่างเธอได้ยังไงกัน”
ฉันยกสองมือขึ้นเท้าเอวและทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา ไม่เชื่อแต่อย่างใด “เธอเอา ‘หลักฐาน’ ออกมาสิ!”
“เรื่องแบบนี้จะให้พิสูจน์ยังไง…”
“นั่นมันเรื่องของเธอ! สรุปคือถ้าไม่มีหลักฐาน ฉันไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด!”
“หลินซิงเฉิน เธอ…!”
ซุยกะทาโร่อยู่ตรงกลางระหว่างเราสองคน เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ได้แต่ชูมือขึ้น เอ่ยปากอย่างขลาดกลัว “คือว่า…ขอโทษนะ…”
“มีอะไร” ฉันจ้องเขาตาเขียวปั้ด
“ผม…ผม…จะเรียก ‘พยาน’…” เขาพูดพลางดึงป้ายชื่อที่ติดอยู่ในไขมันสามชั้นตรงหน้าอกออกมา
“ไปให้พ้น!” ฉันตวาดใส่ด้วยความหงุดหงิด ดูเหมือนว่าเขากำลังรอประโยคนี้ของฉันอยู่พอดี ซุยกะทาโร่เผยสีหน้าโล่งอกออกมาทันใด แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
“ตกลงคุณจะเอายังไง” เมื่อไม่มีซุยกะทาโร่คอยปกป้องคุ้มครอง อวี๋ยางยางก็ดูลนลานเล็กน้อย ขณะที่ฉันจ้องมองด้วยสายตาดุร้าย เธอกัดริมฝีปากล่าง พูดเสียงสะอื้นนิดหน่อย “ฉันก็ลาออกจากโรงแรม W แล้ว ต้องทำยังไงคุณถึงจะปล่อยฉันไป”
“ฉันอยากให้เธอสาบานว่านับแต่นี้ไปจะไม่ติดต่อข้องเกี่ยวใดๆ กับคู่หมั้นฉันอีก!”
“หา?” ปากของอวี๋ยางยางเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ “ฉัน…ฉัน…”
“ไม่กล้าสาบาน? พวกเธอสองคนมีลับลมคมในจริงๆ ด้วย!” ฉันพูดเหยียดว่า “ในใจเธอยังคิดหาวิธีที่จะยั่วยวนคู่หมั้นฉันอยู่ใช่มั้ย”
“ฉันเปล่า…” เธอส่ายหัวสุดชีวิต น้ำตาไหลออกมาทางหางตาหนึ่งหยด “คุณอย่าพูดจาน่าเกลียดแบบนี้จะได้มั้ย ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ…”
นี่ฉันยังไม่ได้พูดคำพูดที่น่าเกลียดเลยนะจะบอกให้!
ฉันเห็นท่าทางเหมือนลูกสะใภ้ขี้น้อยใจของเธอแล้วก็รู้สึกอึดอัด จึงตวาดด้วยความหุนหันพลันแล่น “ถ้าเธอไม่ได้คิดอย่างนั้น งั้นเธอก็หายไปจากชีวิตเราซะ!”
“หลินซิงเฉิน เธอทำเกินไปแล้วนะ…ฮือ…” ขนตายาวเป็นแพของอวี๋ยางยางกระพือเล็กน้อย แล้วน้ำตาก็ร่วงเหมือนสร้อยไข่มุกที่ขาดผึง
ร้องไห้…อย่างนั้นเหรอ คิดจะร้องก็ร้อง ตาเธอเป็นก๊อกน้ำเหรอไง
ร้องไห้น้อยอกน้อยใจขนาดนี้…เอ๊ะ ฉันทำเกินไปจริงๆ หรือเปล่านะ
ความรู้สึกผิดและละอายใจของฉันคงอยู่แค่ไม่กี่วินาที แล้วฉันก็ถูกสาดให้ตื่นด้วยชาเย็นทันที ฉันเงยหน้าขึ้นด้วยความตะลึงงัน มองไปที่มือซึ่งกุมแก้วชาไว้ข้างนั้น นิ้วมือเรียวยาวจับตัวแก้วไว้แน่น แต่ด้วยความที่ออกแรงมากเกินไป ข้อนิ้วจึงขาวซีดเล็กน้อย
ที่แท้เจิ้งฉู่เย่าก็เกลียดฉันมากขนาดนี้นี่เอง!
“เราไปกันเถอะ!” แล้วเจิ้งฉู่เย่าก็จูงอวี๋ยางยางเดินจากไป ดูเหมือนว่าแม้แต่จะหันมามองฉันอีกสักทียังรู้สึกเอือมระอา
ละครน้ำเน่าว่าด้วยคู่หมั้นที่เป็นลูกสาวเศรษฐีกับซินเดอเรลล่า ‘เกลียดขี้หน้ากัน’ เรื่องนี้จบลงอย่างคาดไม่ถึงด้วยสถานการณ์ที่พระเอกปรากฏตัวขึ้นและสาดน้ำใส่ลูกสาวเศรษฐีจนเปียกไปทั้งตัว
ถ้าฉันเป็นอวี๋ยางยางแล้วเห็นฉากสาดน้ำสุดคลาสสิกนี้ ฉันจะต้องดีใจจนตัวลอยแน่นอน
แต่ว่าฉันไม่ใช่ซินเดอเรลล่าอวี๋ยางยาง ฉันคือหลินซิงเฉินลูกสาวเศรษฐี นางร้ายที่ถูกพระเอกรังเกียจและถูกผู้ชมด่าสาดเสียเทเสีย
ฉันเห็นรถยนต์คันหรูของบ้านเจิ้งฉู่เย่าจอดรออยู่ที่ริมถนนผ่านทางหน้าต่างบานยาวของร้านหม้อไฟ คนขับรถเปิดประตูรถให้พวกเขาสองคน เจิ้งฉู่เย่าเข้าไปนั่งในรถ มือยังคงกุมมืออวี๋ยางยางไว้แน่น ตอนที่รถยนต์สตาร์ตเครื่อง มุมปากของอวี๋ยางยางแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วเธอก็มองมาทางฉันเหมือนว่าไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาใสแป๋วที่กลอกไปมาดูเปี่ยมไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องและโอ้อวด
การโอ้อวดชัยชนะของซินเดอเรลล่า!
ละครจบลงแล้ว ฉันนั่งแข็งทื่อเป็นหินอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จนกระทั่งเครื่องปรับอากาศเป่าจนผมแห้งและรู้สึกแสบเคืองตา หยาดน้ำตาถึงค่อยไหลออกมาจากตาสองหยด ฉันหยิบผ้าเช็ดหน้าแบรนด์แอนนา ซุยออกมาซับที่หางตาเบาๆ และเช็ดออกโดยไม่เหลือคราบน้ำตาทิ้งไว้
เครื่องสำอางรอบดวงตาคงไม่เลือนหายไปหรอกใช่มั้ย ฉันรีบควักกระจกแบบพกพาแบรนด์โคชออกมา แล้วเช็กดูว่าหน้าตัวเองยังดูดีอยู่หรือเปล่า
ซุยกะทาโร่ไม่ลืมทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง เขาเข้ามาใกล้ฉันอย่างระมัดระวังและถามเสียงอึกอักว่า “คุณครับ หม้อไฟนี้…คุณยังต้องการที่จะทานอยู่หรือเปล่าครับ”
จริงสิ ฉันมาทานหม้อไฟนี่นา
“วุ่นมาครึ่งค่อนวัน นึกไม่ถึงว่าตัวเองยังไม่ได้ทานอะไรเลย” ฉันโยนผ้าเช็ดหน้ากับกระจกแบบพกพาลงไปในกระเป๋า แล้วถูสองแขนที่โดนลมแอร์เป่าใส่จนรู้สึกหนาว ฉันไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอที่จะไปทานอาหารร้านอื่นแล้วจริงๆ งั้นทานที่นี่เลยก็แล้วกัน
“ไม่ทราบว่ากี่ท่านครับ” วกถามคำถามเดิมอีกแล้ว ฉันสงสัยว่าพนักงานทุกคนในร้านอาหารนี้คงจะถูกป้อนโปรแกรมให้พูดประโยคนี้
พระเอกกับนางเอกออกจากร้านไปแล้ว ฉันเองก็ไม่จำเป็นต้องแสดงบทนางร้ายอีกต่อไป ฉันเค้นรอยยิ้มที่แข็งทื่อและพูดอย่างจนปัญญาว่า “เดี๋ยวฉันหาเพื่อนมาทานด้วย แบบนี้คงจะได้แล้วใช่มั้ย”
ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ตุ๊กตาคิตตี้ตัวใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งเดินสะพายกระเป๋าเป้สีดำมาปรากฏตัวตรงหน้าฉัน นี่ไม่เรียกว่าพรหมลิขิตแล้วจะเรียกว่าอะไร
“เดี๋ยวก่อนนะ เพื่อนฉันมาแล้วล่ะ” พอพูดจบฉันก็วิ่งออกนอกร้านตามเจ้าคิตตี้ตัวนั้นไป