Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 3
สิบนาทีต่อมา ภายในร้านหม้อไฟ หนึ่งคนกับหนึ่งแมวนั่งตรงข้ามกันและมองหน้ากันเงียบๆ
“เฮลโล! คิตตี้!” ฉันยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางบนโต๊ะ แล้วส่งสายตาหวานให้เขา
คิตตี้ตัวเป็นๆ เลย ตัวการ์ตูนที่ดังที่สุดในโลกตอนนี้นั่งอยู่ตรงหน้าฉันและทานหม้อไฟด้วยกัน
“นี่เพื่อนฉันเอง นายคงรู้จักใช่มั้ย งั้นฉันขอไม่แนะนำนะ” ฉันกวักมือเรียกบริกรให้มารินชาร้อนใส่กาให้ฉันพลางบอก ฉันจิบหนึ่งคำ…น้ำชารสชาติแย่ที่ชงจากใบชาคุณภาพต่ำ
ฉันขมวดคิ้วและวางถ้วยชากลับลงบนโต๊ะตามเดิม ก่อนหยิบเมนูอาหารขึ้นมาดู
หวังว่าอาหารของร้านหม้อไฟร้านนี้จะไม่แย่เหมือนกับการบริการนะ ไม่อย่างนั้นฉันกลับไปฟ้องร้องแน่นอน!
“สั่งอาหารหน่อย เอาหม้อไฟยวนยางหม่าล่าแผ่นดินและผืนน้ำก็แล้วกัน แล้วก็เอาเนื้อลายหินอ่อนหนึ่งที่…ปูจักรพรรดิที่ขนส่งทางอากาศจากญี่ปุ่นมาไต้หวัน…อืม ท่าทางไม่เลว เอาอันนี้ด้วย รีบเสิร์ฟหน่อยนะ ฉันหิวแล้ว”
ซุยกะทาโร่เหลือบมองฉันแวบหนึ่ง ในแววตาเปี่ยมด้วยความระแวง เขาเก็บเมนูอาหารแล้วรีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
ฉันยิ้มแย้มสดใสและพูดกับเพื่อนใหม่ของฉันว่า “คิตตี้ ฉันขอถ่ายรูปกับคุณหน่อยได้มั้ย”
คิตตี้ส่ายหัวเล็กน้อย “ถ่ายรูปแล้วก็จะปล่อยฉันไปใช่มั้ย” เสียงเล็ดลอดออกมาจากหัวตุ๊กตาที่หนักอึ้ง เสียงนั้นฟังดูอู้อี้เล็กน้อย
“แน่นอนๆ” แน่นอนว่าไม่ได้
มือข้างหนึ่งของฉันกอดกระเป๋าเป้เขาไว้แน่น ส่วนอีกมือหนึ่งชูโทรศัพท์มือถือขึ้น “เขยิบเข้ามาหน่อย ไม่งั้นถ่ายไม่ติด”
เจ้าคิตตี้ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจ หัวตุ๊กตาสีขาวขนาดใหญ่แนบชิดกับแก้มฉัน ฉันทำปากจู๋ “หนึ่ง สอง สาม Say cheese”
“ทีนี้ก็คืนกระเป๋าเป้ให้ฉันได้แล้วใช่มั้ย” หลังจากถ่ายรูปเสร็จ เขาก็รีบเอ่ยถาม
“จะรีบไปไหนล่ะ” ฉันรูดซิปเปิดกระเป๋าเป้เขา ในนั้นมีกระเป๋าหนังใบเล็กๆ โทรศัพท์มือถือ และเสื้อยืดกับกางเกงยีนผู้ชายหนึ่งชุด นี่คงเป็นอุปกรณ์สำคัญในการแปลงร่างกลับเป็นมนุษย์ของเขาสินะ
แล้วจู่ๆ ก็เกิดความคิดพิเรนทร์ขึ้นมา ก้นฉันนั่งทับบนกระเป๋าเป้เขา ฉันเสยผมยาวตรง กะพริบตาปริบๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนขนาดที่แม้แต่ฉันเองก็อยากจะตีตัวเองเหมือนกัน “ฉันสั่งหม้อไฟยวนยางมา ทานคนเดียวไม่หมด คิตตี้ทานเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ~”
เจ้าแมวไร้ปากเบือนหน้าไปอีกทางทันที กิริยาท่าทางบ่งบอกว่า…เขารู้สึกขวยเขิน
“ฉันเห็นว่าคุณยืนแจกลูกโป่งกับกระดาษทิชชูอยู่ที่หน้าห้างทั้งวัน คงจะยังไม่ได้ทานอะไรเลยใช่มั้ย ไหนๆ ก็ถูกฉัน ‘เชิญ’ เข้าร้านมาแล้ว…” เมื่อพูดถึงคำว่า ‘เชิญ’ ฉันก็ร้อนตัวเล็กน้อย ที่จริงแล้วฉันแย่งกระเป๋าเป้เขาแล้ววิ่งหนีต่างหาก “ไม่ต้องเกรงใจ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง ถือเสียว่าเป็นการขอบคุณที่ก่อนหน้านี้คุณให้กระดาษทิชชูฉันหนึ่งห่อ”
กระดาษทิชชูหนึ่งห่อแลกกับอาหารมื้อใหญ่หนึ่งมื้อ ฉันนี่ช่างใจป้ำจริงๆ!
ไม่นานนักหม้อไฟก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ หม้อเหล็กหล่อใบหนึ่งกั้นด้วยแผ่นเหล็กแยกเป็นน้ำซุปใสกับน้ำซุปเผ็ดร้อน ต้มด้วยไฟอ่อน มีไอน้ำลอยโขมง กลิ่นหอมโชยมาแตะจมูก ฉันเห็นลูกกระเดือกเขาขยับอย่างชัดเจน
“จะใส่เต้าหู้หรือว่าเลือดเป็ดดี จะเอาข้าวเปล่าสักถ้วยมั้ย หรือจะเป็นหมี่ซั่ว” ฉันยิ้มตาหยีพลางถามเขา
“ไม่เอาทั้งนั้น” เขาเบือนหน้าจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง ปากไม่ตรงกับใจแบบนี้…น่ารักจัง!
ฉันหันไปกวักมือเรียกซุยกะทาโร่ที่อยู่ข้างหลัง “รบกวนขอเต้าหู้หม่าล่ากับเลือดเป็ดหม่าล่าอย่างละหนึ่งชุด แล้วก็เอาข้าวเปล่ามาอีกถ้วย”
จากนั้นฉันก็บุ้ยปากไปทางเขา “คิตตี้ คุณต้องสวมหัวตุ๊กตาตลอดเวลาเลยเหรอ แล้วแบบนี้จะทานยังไงล่ะ”
เจ้าคิตตี้ถอดถุงมืออุ้งเท้าแมวออก แล้วถอดหัวตุ๊กตาที่หนักอึ้งออกมาวางบนโต๊ะ เขามองฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อย่าเรียกฉันว่าคิตตี้”
“คิตตี้” ฉันไม่สนใจ หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเลือดเป็ดกินหนึ่งชิ้น “ตุ๋นได้อร่อยมากเลย ลองชิมดูสิ…” ฉันไม่พูดพร่ำทำเพลงป้อนเลือดเป็ดหนึ่งชิ้นใส่ปากเขาทันที
รสชาติเผ็ดร้อนทำเอาเขาสำลักไอเล็กน้อย ใบหน้ากลายเป็นสีแดงก่ำ เขาก้มหน้ารีบตักข้าวใส่ปากสามสี่คำ
คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้หัวตุ๊กตาแมวแสนน่ารักจะเป็นมาสคอตตัวจริงเสียงจริง!
หลินซิงเฉิน เธอเก็บสิ่งล้ำค่าได้ล่ะ!
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าฉันดูอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี คิ้วเรียวยาว ที่แก้มซ้ายมีลักยิ้มเด่นชัด ด้านล่างจมูกที่โด่งเป็นสันคือริมฝีปากที่อวบอิ่มดังลูกเชอรี่ รูปปากสวยมาก ริมฝีปากบนบางกว่าริมฝีปากล่างเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหน่อยราวกับอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นใบหน้าหล่อเหลาที่ชวนให้กระทำความผิดชัดๆ
ในหัวฉันแวบขึ้นมาว่า…สินค้าเกรดเอ ฝ่ายรับ!
ดูเหมือนว่าจะสังเกตเห็นสายตาที่แฝงเจตนาไม่ดีของฉัน พ่อหนุ่มคิตตี้จึงเงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่ฉันราวกับกำลังพูดว่า ‘มองอะไร’
พอถูกดวงตาที่ตาขาวกับตาดำแยกกันชัดเจนของเขาจ้องมอง หัวใจดวงน้อยของฉันก็เต้นตึกตักๆ ไม่หยุด เพื่อที่จะปกปิดอาการหน้าแดงและหัวใจเต้นแรง ฉันจึงชิงโวยวายก่อน “มองอะไรน่ะ รีบทานสิ!”
เขาเลิกคิ้ว “ไม่ใช่เธอหรอกเหรอที่เป็นฝ่ายจ้องมองฉันก่อนน่ะ”
ถูกจับได้แล้ว!
“คุณ…นายอย่าเอาแต่ทานซุปใสสิ” ฉันไอแห้งสองสามที แล้วตักเนื้อหมู เนื้อปลา และเครื่องหม้อไฟจากหม้อซุปเผ็ดใส่ลงในชามของเขา “ในเมื่อสั่งหม้อไฟยวนยางหม่าล่ามาก็ต้องทานซุปเผ็ดร้อนด้วยถึงจะสดชื่น”
พ่อหนุ่มคิตตี้เม้มปากเล็กน้อยและซี้ดปากไม่หยุด “เผ็ดจัง…” เขาเผ็ดจนริมฝีปากแดงแจ๋ ดูแล้วสีสวยน่าหม่ำมาก
“เผ็ดแต่สดชื่นมากเลยใช่มั้ยล่ะ เอ้านี่ ปูจักรพรรดิตัวนี้ฉันก็ให้นายด้วย…” ฉันคะยั้นคะยอ แล้วตักปูจักรพรรดิตัวมันวาววางลงบนจานตรงหน้าเขา “กินทิ้งกินขว้างเป็นพฤติกรรมที่น่าละอาย จะต้องทานให้หมดนะ”
ในที่สุดคิตตี้หนุ่มที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินก็ทนกับความกระตือรือร้นของฉันไม่ไหว “แล้วทำไมเธอไม่ทานบ้างล่ะ”
“ฉันก็กำลังทานอยู่นี่ไม่ใช่เหรอไง” ฉันคีบปลากะพงจากในซุปใสขึ้นมาหนึ่งชิ้น จากนั้นเป่าให้หายร้อนและเอาใส่ปากเคี้ยวสามสี่ที “อืม ไม่เผ็ดเลยสักนิด”
“สาเกญี่ปุ่นในราคาพิเศษ ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งค่ะ ไม่ทราบว่าสองท่านรับมั้ยคะ” บริกรสาวเข็นรถเข็นมาขายที่โต๊ะ
มาสคอตที่อยู่ตรงหน้าช่างน่ากินเหลือเกิน ฉันกลัวว่าตัวเองเมาแล้วจะขาดสติเผลอกลืนกินเขา…ขณะที่กำลังจะปฏิเสธ คิตตี้หนุ่มก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “กล้าดื่มสาเกหรือเปล่า” ในดวงตาเปี่ยมด้วยแววท้าทาย
หนุ่มน้อย นายท้าทายผิดคนแล้วล่ะ นายต้องไม่รู้แน่ว่าตอนอยู่ที่ญี่ปุ่น ฉันเป็นนักดื่มตัวยงในวงสังคมไฮโซเชียวนะ
“ทำไมจะไม่กล้า” ฉันเม้มปากยิ้ม คิดจะมอมเหล้าฉันแล้วถือโอกาสหนีไปงั้นหรือ ไม่มีทางซะหรอก!
หม้อไฟมีไอพวยพุ่ง เนื้อตัวร้อนผ่าวและเหงื่อไหลซึมไปทั่ว พอสาเกที่ผ่านการแช่เย็นไหลลงคอก็ช่วยบรรเทาความร้อนภายในกระเพาะอาหารลง และแล้วก็สั่งเพิ่มอีกสองขวด…พวกเราดื่มสาเกไปมากมายโดยไม่รู้ตัว
“ขอโทษนะ ขอตัวสักเดี๋ยว” ฉันใช้ทิชชูเช็ดมุมปาก ยังคงรักษาความสง่างามไว้จนกระทั่งก่อนที่จะเข้าห้องน้ำ จากนั้นฉันก็กอดชักโครกอาเจียนอยู่สองสามรอบ เมื่อกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง มาสคอตตัวนั้นก็หายไปแล้ว แน่นอนว่ากระเป๋าเป้สีดำของเขาก็หายไปด้วย
“หนีไปดื้อๆ แบบนี้เลยเหรอ ไม่บอกสักคำด้วย เสียมารยาทจริงๆ…” ฉันบ่นพึมพำแล้วหิ้วข้าวของพะรุงพะรังขึ้นมา แต่ตอนที่เตรียมจะจ่ายเงิน ฉันกลับหาบิลไม่เจอเลยสักใบ
ขณะที่ฉันเกือบจะพลิกโต๊ะหาอยู่นั้นเอง ซุยกะทาโร่ก็รีบวิ่งเข้ามาหา “คิตตี้ตัวนั้น เอ่อ…เพื่อนคุณ…จ่ายเรียบร้อยแล้วครับ”
“อย่างงั้นเหรอ ตกลงไว้แล้วว่าฉันจะเลี้ยงไม่ใช่เหรอ ไม่ไหวเลยจริงๆ” ฉันส่ายหัว ก่อนจะเหลือบเห็นหัวตุ๊กตาแมวอันคุ้นเคยที่ฝั่งตรงข้าม
ฉันพุ่งถลาออกไปโดยไม่แม้แต่จะคิด
ฉันไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเขา ถ้าปล่อยเขาไปก็เท่ากับปล่อยปลาว่ายกลับไปในมหาสมุทร แล้วก็จะไม่ได้เจอกันอีก ฉันคงแจ้งความไม่ได้ด้วยสินะว่าฉันต้องการตามหาคิตตี้ ไม่อย่างนั้นฉันต้องถูกหาว่าเป็นคนบ้าแน่!
“นี่ คิตตี้! อย่าวิ่งนะ! รอฉันก่อน!” ฉันตะโกนเรียกเขาขณะข้ามถนนใหญ่ที่มีรถยนต์วิ่งขวักไขว่
เงาร่างสีขาวขนาดใหญ่ของเขาหยุดนิ่งทันที เขามองฉันอย่างงงๆ อยู่สามสี่วินาที ก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้าต่อ ฉันมองดูสัญญาณไฟคนข้ามถนนที่เป็นสีแดงด้วยความร้อนใจ ยังเหลืออีกสิบวินาทีกว่าจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ฉันจึงกัดฟันและเดินฝ่าฝูงรถอย่างไม่เสียดายชีวิต และแล้วในที่สุดฉันก็ไล่ตามเขาทันที่ป้ายรถเมล์ป้ายหนึ่ง
“หยุด! หยุดนะ!” ฉันหายใจหอบแฮก สองมือยันที่เข่า
“เธออยากตายเหรอไง” น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูเกรี้ยวกราด
“ไม่ทำแบบนี้แล้วจะตามนายทันเหรอ” น้ำเสียงของฉันดุดันกว่าของเขาเสียอีก
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ” ทั้งที่เขาถามแบบนี้ แต่กลับฟังเหมือนกำลังถามว่า ‘เธอบ้าไปแล้วเหรอ’ มากกว่า
“คืนเงินนาย” ท่าทีของฉันดูจริงใจ “ฉันไม่เคยติดเงินใคร!”
“ฉันไม่เคยให้ผู้หญิงจ่ายเงินให้” เขาเป็นพวกซื่อสัตย์ยุติธรรม
ทั้งคู่ต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ขณะนั้นเองรถเมล์คันหนึ่งก็หยุดจอดข้างๆ เรา ผู้คนที่ยืนรอรถพากันออขึ้นรถ เราแยกห่างจากกันเล็กน้อย เขาเอี้ยวร่างขนาดใหญ่ยักษ์แล้วถือโอกาสเบียดขึ้นรถไป ฉันสาวเท้ายาวเดินตามก้นเขา ทันใดนั้นก็มีเสียงบ่นดังลอยมาจากข้างหลังเป็นระยะๆ “นี่ คุณผู้หญิง อย่าแซงคิวสิ”
ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวสักหน่อยที่แซงคิว ไม่เห็นเหรอว่าข้างหน้ายังมีคิตตี้ตัวใหญ่เบ้อเร่ออีกตัวน่ะ
ฉันกวาดตามองไปข้างหลังด้วยสีหน้าถมึงทึง แล้วเสียงซุบซิบก็เงียบลงทันที มนุษย์เราช่างเป็น ‘พวกที่รังแกคนดี เกรงกลัวคนเลว’ เสียจริงๆ
เมื่อเผชิญกับสายตาที่จ้องมองมาของทุกคน เจ้าหญิงก็เชิดคางขึ้นแล้วก้าวขึ้นรถไปอย่างเย่อหยิ่ง แต่ถุงกระดาษที่ถือพะรุงพะรังอยู่ในมือทำให้ตัวฉันติดอยู่ระหว่างประตูรถกับทางเดินเล็กแคบซึ่งอยู่ข้างที่นั่งคนขับ ขยับไม่ได้เลยสักก้าว ฉันยันพนักเก้าอี้แล้วมองดูคิตตี้หนุ่มขยับเขยื้อนตัวเข้าไปยังที่นั่งแถวหลังสุดตาปริบๆ ขณะที่ฉันเตรียมจะเบียดตามเข้าไป คนขับรถก็ตะโกนขึ้นมาว่า “คุณครับ คุณยังไม่ได้แตะบัตร”
แตะบัตร?
ฉันงุนงง มองไปตามสายตาของคนขับรถ มันคืออุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ข้างประตูรถ
ฉันร้อง “อ๋อ” ขึ้นมา ควักบัตรออกมาทาบลงบนเครื่อง เครื่องส่งเสียงดังตู๊ดที่ชวนให้รู้สึกอับอายเพื่อบอกว่า…แตะบัตรไม่ผ่าน!
ฉันเปลี่ยนบัตรครั้งแล้วครั้งเล่าไปหลายใบแต่ก็ล้วนออกมาอีหรอบเดิมหมด ความอดทนของฉันถูกใช้จนหมดสิ้น ฉันแผดเสียงดัง “คุณคนขับ เครื่องเสียแล้ว!”
“คุณใช้บัตรอะไรแตะ บัตรเครดิต?” คนขับรถเอี้ยวตัวมาดู แล้วถลึงตาใส่พลางพูดเสียงดังว่า “คุณไม่เคยนั่งรถเมล์เหรอ หยิบบัตรอีซี่การ์ดออกมาสิ!”
เมื่อคนขับรถเอ่ยถาม ฉันก็ครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งแต่ที่ฉันจำความได้ ฉันไม่เคยนั่งรถเมล์เลย แม้ตอนที่ไปเรียนที่ญี่ปุ่นจะมีรถราง รถไฟใต้ดิน แล้วก็มีรถเมล์ ทว่าคุณหนูที่มีชีวิตสุขสบายอย่างฉัน เวลาไปไหนมาไหนก็มีคนขับรถขับรถยนต์คันหรูคอยรับส่งเสมอ แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะมีโอกาสได้โดยสารรถสาธารณะพวกนี้
“ใครบ้างที่ไม่เคยนั่งรถเมล์น่ะ เหอะๆ ฉันเคยนั่งอยู่แล้วล่ะ” ฉันยกมือขึ้นเสยผมและหัวเราะแห้งๆ สองที “ว่าแต่อะไรคือ ‘บัตรอีซี่การ์ด’ เหรอ มันเจ๋งกว่าบัตรเครดิตโกลด์ไดมอนด์ของฉันอีกงั้นเหรอ”
ใบหน้าของคุณลุงคนขับรถพลันดูยับย่นยิ่งกว่าชุดราตรีของอิซเซ่ มิยาเกะ “เฮ้อ ช่างเถอะๆ หยอดเหรียญก็ได้” เขาบุ้ยปากไปทางกล่องกระจกใบหนึ่งตรงข้างที่นั่ง บนกล่องติดข้อความว่า ‘กรุณาหยอดเหรียญ’ ซึ่งที่ก้นกล่องมีเหรียญอยู่เพียงไม่กี่เหรียญ
แสงไฟในรถเมล์มัวสลัว ฉันหรี่ตาพลางควานหาในกระเป๋าสายโซ่อยู่นานสองนาน จากนั้นดึงธนบัตรหนึ่งพันออกมาหนึ่งใบ
“หนึ่งพันพอมั้ย”
คนขับรถมองค้อนตาเหลือกใส่ฉัน แล้วบุ้ยปากอีกครั้ง ฉันมองไปตามสายตาเขาแล้วก็เห็นตัวหนังสือเล็กๆ อีกแถวหนึ่งบนกล่องกระจก…‘ขออภัย ไม่มีการทอนเงิน’
“ไม่เป็นไร เงินพอก็ดีแล้ว ไม่ต้องทอนหรอก” แค่เงินค่าจิบน้ำชายามบ่ายนิดๆ หน่อยๆ ฉันไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอก
ตอนที่ฉันถือธนบัตรเตรียมจะหย่อนลงในกล่อง จู่ๆ ข้อมือฉันก็ถูกคว้าไว้อย่างแรง ฉันร้องตกใจด้วยความเจ็บ ธนบัตรใบละหนึ่งพันโดนดึงออกจากมือไปทันที จากนั้นเสียงแกร๊งก็ดังชัดเจนกังวาน เหรียญสามสี่เหรียญหล่นลงในกล่องกระจก
“เธอมีเงินเยอะนักเหรอไง” ไม่รู้ว่าเจ้าคิตตี้เบียดตัวมายืนอยู่ข้างฉันตั้งแต่เมื่อไร เสียงในหัวตุ๊กตาแมวฟังดูน่ากลัวมาก
ฉันประหลาดใจ “นายรู้ได้ยังไง” ที่แท้ต่อให้ฉันแต่งตัวธรรมดาๆ ก็ไม่อาจปิดซ่อนกลิ่นอายความร่ำรวยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดได้อยู่ดี
คิตตี้หนุ่มไม่พูดอะไรอีก เขาสวมหัวตุ๊กตาแมวเอาไว้ ฉันก็เลยไม่เห็นสีหน้าเขา ได้ยินแค่เสียงถอนหายใจแว่วๆ
ร่างกายโยกเยกไปมาตามแรงสั่นสะเทือนของรถเมล์ ฉันยังคงไม่เลิกล้มที่จะคืนเงินให้เจ้าคิตตี้ ฉันติดนิสัยอวดรวยจนชินแล้ว เวลามีคนเลี้ยงข้าวแล้วรู้สึกเหมือนติดเงินคนอื่น รู้สึกไม่ดีเลย
“สำหรับฉันแล้วมื้อเมื่อครู่นี้เป็นแค่เงินเล็กน้อย แต่สำหรับนักเรียนที่แต่งตัวเป็นตุ๊กตายืนแจกใบปลิวอย่างนาย ต้องทำงานหาเงินนานแค่ไหนกัน” ฉันนึกขึ้นได้ว่าอวี๋ยางยางเคยบอกว่าเธอทำงานที่โรงแรม W ได้ค่าจ้างแค่ชั่วโมงละร้อยกว่าเหรียญไต้หวัน นอกจากจะทำงานหนักแล้วยังต้องถูกผู้หญิงอย่างฉันทำให้อับอายขายหน้าอีก ความจริงฉันเองก็รู้สึกไม่สบายใจมากเหมือนกัน
“…”
“คิตตี้ การที่คนหนุ่มคนสาวมีศักดิ์ศรีเป็นเรื่องที่ดี แต่ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้หรอก” วันนี้องค์พระโพธิสัตว์ลงประทับร่างฉันจริงๆ “ในเมื่อฉันบอกว่าจะเลี้ยงนายก็ต้องเลี้ยง! เลิกบอกปัดสักทีเถอะ!”
“ไม่ต้อง” เขาพูดอย่างเย็นชา “แล้วก็อย่าเรียกฉันว่า ‘คิตตี้’!”
ฉันไม่สนใจคำพูดประโยคหลังของเขา จะว่าไปแล้วผู้ชายล้วนแล้วแต่รักศักดิ์ศรีทั้งนั้น ฉันจึงพูดอย่างเอาใจใส่ว่า “ถ้านายรู้สึกเสียหน้ามากที่ให้ผู้หญิงเลี้ยงข้าว ถ้างั้นก็คิดเสียว่านายมาทานข้าวเป็นเพื่อนฉันหนึ่งมื้อ แล้วฉันจ่ายเงินให้นาย…”
ไม่สิ คำพูดนี้ฟังดูเหมือนเขาทำอาชีพอย่างว่าเลย ฉันครุ่นคิดครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่อาจสรรหาคำพูดที่เหมาะสมมาใช้แทนได้ คิดในใจว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้เอาใจยากแบบนี้นะ เลี้ยงข้าวก็ไม่เอา ให้เงินก็ไม่เอา เอาใจอะไรยากแบบนี้หนอ
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห สุดท้ายฉันก็ยื่นกรงเล็บออกไปลูบๆ คลำๆ ตัวเขาอยู่พักหนึ่ง เขาตกใจและอดเอี้ยวตัวหลบไม่ได้ “จะทำอะไรน่ะ”
“ให้เงินนายไง” ฉันเหลือบมองเขาทีหนึ่ง “นายไม่รับ ฉันก็เลยจะยัดใส่กระเป๋าเสื้อนายซะเลย!”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้อง!”
“ไม่ได้! ยังไงฉันก็จะให้!” นอกจากจะชอบของแบรนด์เนมแล้วหลินซิงเฉินคนนี้ชอบดื้อดึงเสียยิ่งกว่า เมื่อตัดสินใจที่จะทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด!
หลังจากสิ้นเปลืองแรงไปมาก ในที่สุดฉันก็คลำเจอช่องที่คล้ายกระเป๋าในชุดเอี๊ยมกางเกงสีน้ำเงินของคิตตี้ ฉันยัดธนบัตรลงไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
แผ่นหลังของชายหนุ่มตรงทื่อขึ้นมาทันที
นิ่มๆ อุ่นๆ…แล้วก็เปลี่ยนเป็น…แข็งๆ แถมยัง…ดีดเด้ง…
ฉันคลำเจอ…อะไรน่ะ
‘ฉ่า’ ใบหน้าฉันแดงก่ำทันที ถึงแม้จะมีผ้าบางๆ กั้นกลาง แต่ไอ้ที่อยู่ในมือก็ให้ความรู้สึกที่ชัดเจน บอกให้ฉันรู้ว่าคิตตี้ก็มีเพศเหมือนกัน!
“อันที่จริงฉันสงสัยใคร่รู้มาตลอดว่าสวมชุดตุ๊กตาแบบนี้แล้วจะเข้าห้องน้ำยังไง” ฉันมีสีหน้าสงบนิ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเชิงเข้าใจในทันที “อืม ที่แท้ก็จากตรงนี้นี่เอง”
“เอามือสกปรก-ของเธอ-ออกไป” เขาพูดเว้นเป็นจังหวะโดยเค้นเสียงออกมาจากซอกฟัน แล้วก็ตวาดว่า “ตอนนี้! เดี๋ยวนี้! ทันทีเลย!”
“เข้าใจแล้วๆ”