Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 3
พอถูกเขาตวาดใส่ ฉันก็เครียดขึ้นมา เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ ก็พบว่าแม้ชุดคิตตี้ของเขาจะเด่นสะดุดตามาก แต่มินิสเกิร์ตลายตารางของเหล่านักเรียนหญิง ม.ปลาย ที่อยู่ข้างหลังเรานั้นสะดุดตามากกว่า สายตาของพวกผู้โดยสารผู้ชายล้วนจับจ้องวิวสวยที่อยู่ใต้กระโปรงสั้นของเด็กผู้หญิงกลุ่มนั้นอย่างไม่วางตา ส่วนคนอื่นบ้างก็สไลด์โทรศัพท์มือถือ บ้างก็สัปหงก บ้างก็คุยกัน…ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าฉันกำลังทำลามกอนาจารกับคิตตี้หนุ่มอย่างโจ่งแจ้งบนรถเมล์
ทำลามกอนาจารอย่างโจ่งแจ้ง…ทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นพวกโรคจิตยังไงยังงั้นเลย
ใจเย็นๆ นะ หลินซิงเฉิน รีบไล่ความคิดสกปรกโสมมพวกนี้ออกไปจากสมองซะ คุณหนูผู้สูงส่งสง่างามจะมีความคิดที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์แบบนี้ได้อย่างไร!
“พี่สาวครับ ทำไมพี่เอามือสอดเข้าไปในกางเกงของคิตตี้แบบนั้นล่ะครับ”
เราสองคนต่างก็ตัวแข็งทื่อพร้อมกัน
เอาแล้วไง ถูกเด็กน้อยที่ไม่มีอะไรทำจับพิรุธเอาจนได้
หายไปซะ! หายไปซะ! ใครก็ได้ช่วยเตะเจ้าคิตตี้ไปยังหลุมดำในจักรวาลให้ฉันที ไม่ต้องให้เขามาปรากฏตัวบนโลกนี้อีกตลอดกาล ฉันยินดีมอบกระเป๋าแบรนด์เนมทั้งหมดของฉันให้เขาเลย!
อีกาสามสี่ตัวร้องเสียงดังพลางบินผ่านไป เจ้าคิตตี้ยังอยู่ไม่หายไปไหน มือเล็กบอบบางของฉันก็ยังคงคาอยู่ตรงเป้ากางเกงเขา ส่วนเด็กน้อยก็ยังคงกะพริบตาอันใสซื่อพลางรอคำตอบจากฉัน
“หนูจ๊ะ หนูรู้จักกระเป๋าวิเศษของโดราเอมอนมั้ย” ฉันคิดขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน “สามารถหยิบอุปกรณ์ออกมาจากในนั้นได้มากมายเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับโนบิตะ”
“รู้จักครับ” เด็กน้อยพยักหน้า
“ในกางเกงของคิตตี้ก็มีกระเป๋าวิเศษด้วยเหมือนกันนะ สามารถหยิบอุปกรณ์จากในนี้ได้เยอะแยะเลย”
เด็กน้อยตื่นเต้นสุดขีด “จริงเหรอครับ แล้วหยิบอุปกรณ์อะไรออกมาได้บ้างครับ”
หยิบอะไรออกมาได้บ้าง? ฉันเกือบสำลักน้ำลายตัวเองตาย ในเป้ากางเกงของคิตตี้ตัวผู้จะหยิบอุปกรณ์อะไรออกมาได้อีกล่ะ
“หยิบ…เอิ่ม หยิบปืน…ออกมาได้…” ฉันอธิบายเสียงเอื่อย แล้วจู่ๆ ก็ถูกศอกเข้าที่บั้นเอวอย่างแรง ฉันจึงรีบพูดให้จบประโยคว่า “ใช้โจมตีเหล่าร้าย รักษาสันติภาพของโลก!”
“ว้าว!” เด็กน้อยตาเป็นประกายวาวและมองพวกเราด้วยสีหน้าเลื่อมใส
“นี่เป็นความลับระหว่างพี่กับหนูนะจ๊ะ” ฉันใช้มือซ้ายที่ว่างอยู่ชูนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปาก “ชู่ว์ เป็นความลับนะ ห้ามบอกให้คนอื่นรู้”
เด็กน้อยหัวเราะคิกคักพลางชูนิ้วชี้ขึ้นทำเสียงชู่ว์ตามฉัน จากนั้นก็หันศีรษะไปซุกอยู่ข้างคุณแม่แต่โดยดี
หลังจากไล่เด็กน้อยไปได้ฉันก็ถอนหายใจโล่งอก หันมาบอกชายหนุ่มที่ตกใจจนแข็งทื่อไปทั้งตัวเรียบร้อยแล้วว่า “ทนหน่อยนะ ฉันจะเอามือออกมาล่ะ”
“ช่วย…เร็วๆ หน่อย” เขาหายใจหอบอย่างอ่อนแรง
ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดตุ๊กตาคิตตี้หดตัวลีบและกลั้นหายใจ ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย มือเล็กๆ ของฉันขยับอยู่ในเป้ากางเกงของเขาอย่างช้าๆ พยายามหลบเลี่ยงจุดสงวนนั้นด้วยความระมัดระวัง ขณะที่กำลังจะดึงมือออกมานั้นก็พบว่ามีแรงดึงบางอย่างดึงรั้งข้อมือฉันไว้เบาๆ แล้วฉันก็ออกแรงดึงอีก
“เร็วหน่อย!” แผงอกของชายหนุ่มกระเพื่อมแรง ดูเหมือนว่าความอดทนของเขาใกล้จะถึงขีดสุดแล้ว
“ฉันเองก็อยากเร็วอยู่เหมือนกัน!” ฉันพยายามดึงมือออกมา แต่มือยังคงคาอยู่ที่ช่องกระเป๋าเหมือนเดิม ฉันบิดข้อมืออยู่หลายครั้ง ทว่าแรงดึงประหลาดนั้นยิ่งบิดก็ยิ่งแน่นขึ้น แล้วฉันก็นึกขึ้นมาได้ “…สงสัยสร้อยข้อมือบุลการีของฉันคงจะพันกับด้ายที่อยู่ข้างในแล้วล่ะ”
บุลการีเป็นสร้อยข้อมือที่ฉันชอบที่สุด ทำจากทองคำสีกุหลาบ 18K เลี่ยมด้วยเปลือกหอยกระจกสีขาว เส้นหนึ่งราคาเกือบแสนเหรียญ สำหรับฉันแล้วสร้อยข้อมือนี้สำคัญยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก
ไม่ใช่เพราะว่าเป็นของดีราคาแพง แต่เพราะเป็นของขวัญวันเกิดที่คุณพ่อให้ แล้วก็เป็นของขวัญเพียงชิ้นเดียวจากเขา
“ทำยังไงดีล่ะ” หญิงสาวถามอย่างเคอะเขิน
“ดึงให้ขาดเลย!” ชายหนุ่มแสดงความเห็นอย่างสั้นกระชับ
“ไม่ได้!” ฉันเงยหน้าจ้องเขาเขม็ง “ฉันจะให้บุลการีของฉันได้รับความเสียหายใดๆ ไม่ได้ทั้งนั้น!”
“แม่ง!” ปากเขาพ่นคำหยาบออกมา ในที่สุดความอดทนก็พังทลายลง “งั้นฉันก็จะตัดมือสกปรกของเธอทิ้งซะ!”
“ตัดเลย! กลัวที่ไหน!” ใจกล้าขนาดนี้ แต่เมื่อกี้ตอนที่อยู่ต่อหน้าเด็กน้อยทำไมไม่พูดอะไรเลยสักแอะ ฉันไม่ยอมอ่อนข้อ พูดปากแข็งว่า “บนรถเมล์ ในที่สาธารณะแบบนี้ นายไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก”
ได้ยินดังนั้นคิตตี้หนุ่มจึงกดกริ่งทันที แล้วลากฉันลงจากรถ
มือเล็กบอบบางของหญิงสาวผู้เขินอายคาอยู่ในเป้ากางเกงเอี๊ยมสีน้ำเงินของคิตตี้ หนึ่งคนกับหนึ่งแมวยักษ์จึงดูเหมือนกับแฝดตัวติดกัน พวกเราเชื่อมติดกันด้วยท่าทางแปลกประหลาด แล้วเคลื่อนที่ไปบนถนนใหญ่อย่างเชื่องช้า มือซ้ายของฉันหิ้วถุงช็อปปิ้งพะรุงพะรัง ฉันต้องยกขึ้นมาบังปิดอยู่ตลอดเวลาเพื่อหลบเลี่ยงสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คนที่สัญจรไปมา
ฉันข่มอาการหน้าแดงและหัวใจเต้นแรงเอาไว้ ‘จระเข้น้อย’ นับหมื่นตัวแผดเสียงก้องอยู่ในใจ พวกมันเกือบจะวิ่งตะบึงออกมาจากลำคอของฉัน แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นการไถ่ถาม
“เราจะไปไหนกัน”
“ห้องน้ำ”
“ห้องน้ำชายหรือว่าห้องน้ำหญิง” คำถามของฉันทำเอาเขานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
“ได้หมด” สายตาเขาหยุดอยู่ที่ป้ายร้านที่มีตัว M สีเหลืองซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก “แมคโดนัลด์?”
“ไม่ได้ๆ” ฉันส่ายหัวอย่างแรง เขามีหัวตุ๊กตาคิตตี้ ถ้าไม่ถอดออกก็ไม่มีใครจำเขาได้ แต่ฉันเป็นใคร ฉันเป็นสาวสวยไฮโซผู้สง่างามน่าเกรงขาม (สาวสวยคนดังในแวดวงไฮโซย่อเป็น ‘สาวสวยไฮโซ’) แถมในอนาคตยังอาจจะเป็นหลานสะใภ้แห่งกลุ่มบริษัทรื่อเย่าอีกด้วย ถ้าถูกถ่ายภาพ ‘สำเร็จความใคร่ด้วยมือกับคิตตี้’ แล้วเกิดแพร่สะพัดออกไป ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ฉันยังจะโค่นล้มอวิ๋นอวิ๋น เจ้าของห้างสรรพสินค้า ‘บรีซ เซ็นเตอร์’ แล้วขึ้นนั่งบัลลังก์สุดยอดเซเลบริตี้ได้อยู่ไหม
“ไม่ได้นะ ไม่ได้ ต้องหาที่ที่ไม่มีคน” ศีรษะฉันส่ายไปมาอย่างกับของเล่น ข้ออ้างกระเป๋าวิเศษเอาไว้ใช้หลอกเด็กน้อยได้เท่านั้น ถ้าเจอเข้ากับปาปารัซซี่ ชื่อเสียงดีๆ ที่ฉันสั่งสมมาต้องพังย่อยยับแน่นอน
แม้จะซ่อนอยู่ใต้หัวตุ๊กตาที่หนาหนัก แต่ฉันก็รู้สึกได้ถึงสายตาพิฆาตที่ออกมาจากสองตาของเขา…เห็นว่าเสือไม่แสดงอานุภาพ เธอเลยคิดว่าฉันเป็นแมวคิตตี้ไปจริงๆ งั้นเหรอ
“ตรงนั้นเป็นไง” มือซ้ายฉันชี้ไปที่ซอยมืดสลัวซอยหนึ่ง
“…”
พวกเรายื้อยุดกันอยู่สักพักหนึ่ง แล้วคิตตี้ที่น่ารักก็สบถคำหยาบออกมาอีกครั้ง คาดว่าเด็กๆ ได้ยินเข้าคงจะใจสลาย สุดท้ายเขาก็ต้องยอมอ่อนข้อให้อย่างจนปัญญา ปล่อยให้ฉันลากเขาไปที่ซอยมืดสลัวนั้น
จะไม่ยอมอ่อนข้อให้ก็ไม่ได้ ใครใช้ให้ ‘ไอ้นั่น’ ของเขาตกอยู่ในกำมือของฉันล่ะ
ซอยมืดนี้ไม่มีป้ายชื่อถนน มันเป็นซอยที่คดเคี้ยว ทั้งลึกทั้งแคบทั้งยาว ท่าทางจะเป็นซอกแคบที่เกิดจากการตัดสลับกันของอาคารเก่าแก่สามสี่หลังที่อยู่ใกล้เคียงกัน เมื่อเดินเลี้ยวไปสองสามหัวมุม เสียงผู้คนและรถยนต์บนถนนใหญ่ก็ดูเหมือนจะอยู่ไกลออกไปมาก แล้วเมื่อเดินไปจนสุดซอยถึงได้รู้ว่านี่เป็นซอยตัน ที่ท้ายซอยมีประตูเหล็กบานหนึ่งที่คราบสนิมขึ้นเป็นจุดๆ ไม่รู้ว่าเป็นประตูหลังบ้านใคร
สัญญาณเตือนภัยส่งเสียงดังขึ้นในใจฉัน ดูท่าว่าจะไม่ดีเสียแล้ว จากประสบการณ์การศึกษา ‘การ์ตูนยอดนักสืบจิ๋วโคนัน’ มาหลายปีของฉัน ซอยที่มืดสลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งซอยตัน เป็นแหล่งเกิดอาชญากรรมประเภทต่างๆ…
เขาพูดเสียงเบา “ตรงนี้คงไม่มีใครเดินผ่านไปมาแล้วล่ะมั้ง”
ฉันขานตอบหนึ่งที ฉันเป็นคนเลือกสถานที่เองจึงพูดอะไรมากไม่ได้
ชายหนุ่มถอดหัวตุ๊กตากับถุงมืออุ้งเท้าแมวออกและวางบนตู้แปลงไฟฟ้าที่อยู่ข้างๆ จากนั้นอาศัยแสงไฟอันริบหรี่เช็กดูบริเวณนั้นที่ควรเบลอภาพโดยการใส่เอฟเฟ็กต์โมเสกเข้าไป
ฉันเบือนหน้าไปอีกทาง รู้สึกขวยเขินอย่างหนัก
หลอดไส้ที่มีคราบน้ำมันเป็นจุดๆ แขวนอยู่ที่ซุ้มประตู แสงไฟติดๆ ดับๆ เงาที่บ้างยาวบ้างสั้นทอดลงบนใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม แสงสะท้อนทำให้แววตาของเขาดูลุ่มลึกยิ่งขึ้น
เขาขมวดคิ้วมุ่น แล้วก้มหน้าลงอย่างช้าๆ จากนั้นโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อที่จะปรับตัวไปตามท่าทางของเขาฉันก็อดไม่ได้ที่จะค่อยๆ เอนตัวไปข้างหลัง จนกระทั่งแผ่นหลังชนติดกับกำแพงปูนซีเมนต์ ไม่มีทางให้ถอยได้อีก
ลมหายใจอุ่นๆ ระคนกับกลิ่นเหล้าของเขารินรดลงที่กระดูกไหปลาร้าอันแสนจะอ่อนไหวของฉัน เลือดลมที่ร้อนวูบวาบอยู่ในทรวงอกพุ่งปรี๊ดไปยังหน้าผาก ฉันกัดฟันแน่น พยายามข่มใจไม่ให้จับชายหนุ่มกระแทกกับกำแพงแล้วก็ ‘ทำนั่น’ ‘ทำนี่’ กับเขา…
นี่! ในเรื่อง ‘ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน’ ไม่มีฉาก 18+ ประเภทผลักล้มลง กระโจนเข้าใส่ แล้วก็คร่อมบนตัวหรอกนะ!
“นายดูตั้งนานแล้วนะ เร็วหน่อยสิ” ฉันกัดฟันเสียงดังกึกๆ “ลงมือจริงจังซะที!”
ชายหนุ่มแววตามืดหม่นลง เขาถอยออกไปเล็กน้อย แล้วหยิบคัตเตอร์ออกมา
“คิดจะทำอะไรน่ะ” ฉันตัวสั่นเล็กน้อย “ฆ่าปิดปากเหรอ”
แค่เพราะฉันจับ ‘ไอ้นั่น’ ของเขาน่ะเหรอ
“เงียบปาก” หางคิ้วเรียวสวยของเขาเลิกขึ้น มุมปากเม้มเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาฉันกลัวขนลุกซู่ไปหมด “ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้เธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต”
ฉันหุบปากแต่โดยดี
เขาถือคัตเตอร์พลางจัดการอย่างเงียบๆ อยู่พักใหญ่ ฉันหาวหวอดหนึ่งที แล้วเอนศีรษะพิงบนไหล่เขา จากนั้นความง่วงงุนก็ค่อยๆ เข้าจู่โจม ขณะที่สะลึมสะลืออยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงซุบซิบดังลอยมาจากด้านหลังประตูเหล็กแบบขาดหายเป็นห้วงๆ
เสียงที่แหบแห้งพูดอย่างเร่งร้อน “สินค้าล็อตนี้มีอะไรบ้าง”
เสียงที่มีสำเนียงแปลกๆ พูดว่า “หลุยส์ วิตตอง อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ ซิลเวีย…”
พอได้ยินชื่อแบรนด์เนมต่างๆ ฉันก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง แล้วยื่นหน้าไปดูที่ร่องประตูด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่อัดแน่นเต็มอก ด้านในเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ราวๆ สี่คนกำลังคุยกัน
“ปริมาณล่ะ”
“อย่างละร้อยกรัม”
กรัม? หน่วยวัดประหลาดนี้ทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มเองก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน เขาวางงานในมือลงและเงี่ยหูตั้งใจฟัง
เสียงที่แหบแห้งถามต่ออีกว่า “ข้างล่างประเมินว่ายังไงบ้าง”
เสียงที่เคร่งขรึมอีกเสียงพูดว่า “ซิลเวียใส่ไม่สบาย”
“ครั้งต่อไปก็เอามาน้อยหน่อย” เสียงนี้ฟังดูค่อนข้างมีอำนาจน่าเกรงขาม คงจะเป็นหัวหน้าหรือไม่ก็เจ้านาย “ไม่งั้นก็ให้พวกเขาเอาอีฟส์ แซงต์ โลรองต์มาแทน”
“ครับ”
ซิลเวีย โทเลอดาโนเป็นแบรนด์ที่สร้างขึ้นโดยศิลปินชื่อซิลเวีย กระเป๋าแต่ละรุ่นล้วนตกแต่งด้วยคริสตัลสวารอฟสกี้ในธีมและลวดลายที่แตกต่างกันไป เป็นงานแฮนด์เมดล้วนและผลิตจำนวนจำกัด นับเป็นสุดยอดของคุณภาพดี บรรดาคุณหนูและเซเลบริตี้ในแวดวงไฮโซฝั่งตะวันตกต่างเข้าแถวยื้อแย่งกันสุดชีวิต แต่ฟังจากน้ำเสียงของคนที่อยู่ข้างใน คิดไม่ถึงว่าผู้ชายจะยังจู้จี้จุกจิกกับสินค้า…หรือว่าจะมีคนขายของก๊อปเกรดเอกันนะ
ทว่าเห็นได้ชัดว่าคนที่ขายสินค้าเลียนแบบไม่ค่อยขยันขันแข็งนัก ซิลเวียเป็นแบรนด์กระเป๋า พวกเขาขายเสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน หนำซ้ำยังบอกว่าสวมใส่ไม่สบายอีก
มือข้างที่ถูกด้ายพันไว้คลายออกมา ในที่สุดมือขวาก็เป็นอิสระสักที ฉันถอนหายใจยาว ส่วนชายหนุ่มค่อยๆ ผละออกจากฉันแล้วโบกไม้โบกมือบอกให้ฉันเดินกลับออกไปอย่างเงียบๆ แต่ฉันยังอยากแอบฟังต่อจึงส่ายหัวให้เขา
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเขียวปั้ด เขายื่นมือมาดึงตัวฉัน ฉันร้อง ‘อ๊ะ’ ออกมาเบาๆ เขาตั้งใจจะปิดปากฉัน แต่ไม่ทันเสียแล้ว
แย่แล้ว…
ทันใดนั้นเสียงตวาดก็แผดก้องมาจากข้างใน “ใครน่ะ!”
ชายหนุ่มหยิบท่อนไม้ไผ่บนพื้นขึ้นมาแล้วพาดขวางบนสลักประตูอย่างรวดเร็ว จากนั้นเสียงทุบประตูปังๆ ก็ดังลอยมา ท่อนไม้ไผ่งอเป็นทรงคันธนู ประตูถูกแง้มออกเป็นช่องเล็กๆ มือข้างหนึ่งที่มีกล้ามเป็นมัดๆ ลอดออกมาจากด้านหลังประตูและคว้าจับผมฉันไว้แน่นทันที!
“กรี๊ด!” คราวนี้เสียงกรีดร้องดังลั่นไปทั่ว!
ชายหนุ่มคว้าหัวตุ๊กตาคิตตี้ที่อยู่บนตู้แปลงไฟฟ้ามาอย่างรวดเร็วและรัวทุบกรงเล็บปีศาจนั้นอยู่พักหนึ่งเพื่อบีบให้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นปล่อยมือ ก่อนหันมาตะเบ็งเสียงใส่ฉันว่า “หนีเร็ว!”
ฉันสวมรองเท้าส้นสูงจึงวิ่งไปข้างหน้าได้สามสี่ก้าวแบบข้างหนึ่งเอียงข้างหนึ่งกะเผลก แล้วคิดขึ้นได้ว่าแบบนี้ออกจะไร้ซึ่งความยุติธรรมเกินไป ก็เลยย้อนกลับไปอีกครั้ง ฉันถอดรองเท้าส้นสูงออก ก่อนใช้ส้นรองเท้าทุบตีแขนกำยำข้างนั้นอย่างแรงจนเป็นรูเลือดไหล คราวนี้เสียงกระแทกประตูเหล็กดังขึ้นกว่าเดิม ฉันเห็นบรรดาใบหน้าอันดุร้ายน่ากลัวกำลังจะเบียดดันออกมาจากประตูเหล็ก
“หนี!” ชายหนุ่มจับมือฉันไว้แน่นแล้ววิ่งสุดฝีเท้า
ระหว่างที่วิ่งฉันอดหันกลับไปไม่ได้ หลอดไฟมัวสลัวสะท้อนเงาร่างของชายรูปร่างกำยำล่ำสันสามสี่คนนั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นยังถือปืนหนึ่งกระบอกไว้ในมือด้วย!
นั่นมันปืนของจริงนี่นา!
ฉันวิ่งโซเซจนเกือบจะหกล้ม เหงื่อเย็นๆ ซึมออกมาจากทุกรูขุมขนบนร่างกายทันที
“ปืน…” ฉันสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แม้แต่เสียงก็แตกพร่า “คน…คนพวกนั้นมีปืน…เราต้อง…ต้องถูกฆ่าทิ้งแน่…”
“อย่าหันกลับไป!” ชายหนุ่มกุมมือฉันแน่น มุมปากอมยิ้มบางๆ “ถ้ากลัวก็มองฉันไว้!”
พวกเราวิ่งในซอยเล็กๆ ที่คดเคี้ยวไปมานี้กันอย่างสุดชีวิต เสียงลมพัดผ่านข้างหูไป ขณะที่หายใจหอบ ทรวงอกและปอดรู้สึกเจ็บราวกับไฟลุกไหม้แผดเผา บริเวณไกลออกไปดูมืดมิดเหมือนกับว่าไม่มีจุดสิ้นสุด เราทั้งคู่ต่างไม่รู้ว่าต้องวิ่งอีกไกลแค่ไหน วิ่งนานแค่ไหนถึงจะหนีพ้นจากการตามไล่ฆ่าอย่างไม่ลดละของชายชุดดำที่อยู่ข้างหลัง
นี่เหมือนกับฝันร้ายที่ไม่อาจลืมตาตื่นขึ้นมาได้
ที่น่าแปลกคือฉันไม่ค่อยรู้สึกหวาดกลัวสักเท่าไร เพราะมีมือข้างหนึ่งกุมมือฉันไว้แน่นตลอดเวลาไม่ยอมปล่อย ราวกับว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับฉัน
‘ถ้ากลัวก็มองฉันไว้!’
ใช่แล้ว! ฉันมองแต่เขา เพราะเห็นรอยยิ้มของเขาฉันก็เลยไม่กลัวอะไรทั้งนั้น!
ทันใดนั้นเอง แสงกะพริบสีแดงกับน้ำเงินก็ช่วยให้มองเห็นทางข้างหน้าได้ชัดเจน ฉันหรี่ตามอง แต่ยังไม่ทันจะปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงไฟก็ได้ยินชายหนุ่มตะโกนเสียงแหบแห้งว่า “ตำรวจ!”
เขาปล่อยมือฉัน สองมือโบกไปมา แล้วตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ในที่สุดรถตำรวจก็หยุดจอดอยู่ข้างๆ เรา
ฉันแข้งขาอ่อนยวบ เรี่ยวแรงมลายหายไปหมดตั้งนานแล้ว ฉันนั่งนวดส้นเท้าอยู่บนพื้น นวดไปนวดมา ในดวงตาก็มีของเหลวอุ่นๆ ไหลรินลงมาแล้วหยดลงบนข้อเท้า หนึ่งหยด สองหยด กลั้นอย่างไรก็กลั้นไม่อยู่
มีคนออกแรงฉุดดึงฉันขึ้นมา จัดแจงให้ฉันอยู่ในอ้อมกอดเขา ฉันร้องไห้จนหน้าตายับย่น เขาก็ช่วยเช็ดน้ำตาให้ฉันอย่างงุ่มง่าม ร่างกายเขาสั่นเทิ้มเล็กน้อย คล้ายกับจะบอกฉันว่าเขาเองก็กำลังข่มความหวาดกลัวอันมหาศาลอยู่เช่นกัน
มือเขาตบแผ่นหลังฉันเบาๆ แล้วพูดที่ข้างหูฉันว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ปลอดภัยแล้ว…” เสียงทุ้มต่ำระคนเสียงหายใจเล็กน้อย เหมือนกับน้ำพุที่เย็นสดชื่นไหลละล่องเข้าไปในหูฉัน ปลอบประโลมให้ฉันหายตื่นตกใจอย่างน่าประหลาด
เสียงนี้…เหมือนเคยรู้จัก เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ฉันรู้สึกสบายใจ เส้นประสาทที่เครียดขึงก็ค่อยๆ คลายลง จากนั้นฉันก็หลับตาลงอย่างช้าๆ แล้วผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้น ฉันจำอะไรไม่ได้เลย
ความรู้สึกวิตกกังวลขณะที่วิ่งหนีเหมือนกับว่าจะดำเนินต่อไปในดินแดนแห่งความฝัน หลายครั้งทีเดียวที่ฉันกรีดร้องตื่นขึ้นมา แต่ยังไม่ทันที่จะลืมตาก็มีคนลูบบ่าฉันเบาๆ พลางพูดพึมพำ
ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ ฉันอยู่นี่…