Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 3
“โอย…กี่โมงแล้วเนี่ย…”
ฉันทุบหัวที่ปวดจนแทบระเบิดจากการเมาค้าง หลังจากได้สติกลับมาเล็กน้อยฉันก็ขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“กรี๊ด!”
หัวของแมวไร้ปากขนาดใหญ่ยักษ์ที่สกปรกหัวหนึ่งอยู่ประชิดตรงหน้าฉัน โบสีชมพูเอียงกระเท่เร่อยู่ที่หูแมว ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นคือลูกตาของแมวยักษ์หลุดออกมาหนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างห้อยต่องแต่งอยู่นอกเบ้า ฉันตกใจกลัวจนส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน
“กรี๊ด!”
“อืม…ปลอดภัยแล้วล่ะ” เสียงของสิ่งมีชีวิตตัวผู้ดังขึ้นที่เหนือศีรษะฉัน สุ้มเสียงฟังดูเกียจคร้านเหมือนยังไม่ตื่นดี
พูด…พูดภาษาคนเป็นด้วย?
“กรี๊ดๆ!” ฉันกรีดร้องต่อ
“หยุดร้องได้แล้วน่า…” อุ้งเท้าแมวสีขาวขนาดใหญ่ที่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่มือมนุษย์แตะที่ปากฉัน แม้แต่จมูกฉันก็ถูกปิดไปด้วย ทำให้ฉันไม่สามารถหายใจเอาอากาศสดชื่นเข้าไปได้ ฉันทั้งเตะทั้งถีบไปที่ท้องอ้วนกลมของเขา เขาครางเสียงต่ำอย่างไม่พอใจ แล้วเพื่อที่จะควบคุมฉัน นึกไม่ถึงว่าเขาจะออกแรงกอดฉันแน่นกว่าเดิม
ฉันดิ้นรนขัดขืนสุดแรงเกิด สองมือคลำหาหัวของแมวไร้ปาก จากนั้นออกแรงดึงแล้วใช้ฝ่ามือปัดออกอีกที หัวแมวหลุดกระเด็นออกจากคอเขาอย่างรวดเร็วและกลิ้งหลุนๆ ลงบนพื้น
อ๊ากๆๆ ฉันฆ่าแมวปีศาจ!
“ตื่นแล้วเหรอ”
ในที่สุดเสียงกรีดร้องของฉันก็ดึงดูดมนุษย์มา เขาแต่งตัวเป็นตำรวจ…ไม่สิ เป็นคุณตำรวจท่านหนึ่งเดินเข้ามาหาเรา
“คือว่า…ฉัน…เขา…” ฉันตัวสั่น นิ้วชี้สั่นระริกพลางชี้ไปที่แมวไม่มีหัวตัวนั้น “เขา…”
“อ๋อ เขาน่ะเหรอ” คุณตำรวจผลักไหล่เจ้าแมวปีศาจเบาๆ “พ่อหนุ่ม ตื่นๆ”
เขาไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ มีเพียงแผงอกที่ขยับขึ้นลงเล็กน้อย
คุณตำรวจเพิ่มระดับเสียงขึ้นด้วยความจนปัญญา เขย่าบ่าเขาพลางเรียกอีกสองสามที “พ่อหนุ่ม ตื่นได้แล้ว เรารอที่จะบันทึกคำให้การอยู่!”
แมวปีศาจตัวสั่นเล็กน้อยเหมือนกับกำลังบิดขี้เกียจ จากนั้นศีรษะของชายหนุ่มก็ลอดออกมาจากรอยฉีกขาดตรงคอแมวราวกับเล่นกล เขาหาวหวอดอย่างไม่สนใจใคร ยกอุ้งเท้าแมวขึ้นมาเช็ดใบหน้า แล้วถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าความง่วงงุนในดวงตายังไม่จางหายไป
เขาเหม่อมองไปรอบๆ สุดท้ายสายตาก็ปรับโฟกัสได้ เขาจับจ้องที่ฉันราวกับกำลังถามว่าเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
จริงด้วย เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงนะ
ฉันเอามือเท้าแก้ม แล้วเริ่มพยายามย้อนนึกถึงความชุลมุนวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้
ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง คุณลุงตำรวจที่ศีรษะล้านเล็กน้อยเดินถือนมสดเข้ามาสองแก้ว “หิวแล้วสินะ ดื่มนมสักหน่อยสิ”
แสงแดดเจิดจ้าส่องเข้ามาทางประตูที่เปิดกว้างแล้วตกกระทบลงบนตัวชายหนุ่มเพียงคนเดียวในห้อง เขารับแก้วนมมาและกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท ก้มหน้าดื่มนม บริเวณแก้มซ้ายปรากฏรอยลักยิ้มจางๆ ดูแล้วเหมือนลูกแมวเหมียวที่น่ารักน่าเอ็นดู
แน่นอนว่าไม่นานนักฉันก็พบว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพลวงตา ภาพที่เขากำลังงัวเงียนี้ก็เหมือนกับเวทมนตร์ในเรื่องซินเดอเรลล่า พอถึงเวลาทุกอย่างก็จะค่อยๆ มลายหายไปโดยอัตโนมัติ
“เมื่อวานนี้อันตรายมากจริงๆ โชคดีที่มีสายตรวจผ่านไปทางนั้น ไม่อย่างนั้นพวกเธอสองคนคงจะเอาชีวิตไม่รอด” คุณลุงตำรวจขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าดูเคร่งขรึม
เอาชีวิตไม่รอด?
ฉันเกือบจะพ่นนมออกมา ทันใดนั้นศีรษะที่วิงเวียนก็ปรากฏภาพอันน่าหวาดเสียวขึ้นมาภาพแล้วภาพเล่า ซอยมืดสลัวที่ทั้งเงียบวังเวงและคดเคี้ยว ธุรกิจที่น่าสงสัยของชายชุดดำ เสียงหายใจหอบที่แหวกผ่านท้องฟ้ายามราตรี การวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต…ฉันพอจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว เหงื่อเย็นๆ ซึมออกมาทั่วตัวทันที
ใช่ เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดจริงๆ!
“พวกเธอสองคนเป็นเด็กเป็นเล็ก ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเสียเลย ค่ำมืดดึกดื่นยังเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก มันอันตรายมากนะ!” คุณลุงตำรวจตำหนิและตักเตือนเราอยู่พักหนึ่ง ยิ่งพูดก็ยิ่งจริงจัง จนในที่สุดเขาก็หยิบสมุดกับปากกาบันทึกเสียงออกมาวางบนโต๊ะยาว “ในเมื่อพวกเธอตื่นกันแล้ว เราขอบันทึกคำให้การหน่อย พอบันทึกเสร็จแล้วก็กลับบ้านได้”
ในเมื่อพวกเธอตื่นกันแล้ว…ฉันเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งคอเอียงอยู่บนม้านั่งยาว เขาผล็อยหลับไปอีกแล้ว
เอ่อ คนที่ตื่นดูเหมือนจะมีแค่ฉันคนเดียว
“คุณตำรวจคะ คือว่าเมื่อวาน…ดูเหมือนว่าเราจะเจอ…” ฉันตัวสั่นอยู่นานและกลืนน้ำลาย จากนั้นลดเสียงเบาลง พูดออกมาเหมือนกำลังบอกความลับ “เจอเข้ากับชายชุดดำในเรื่อง ‘ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน’ น่ะค่ะ”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ช่างเหมือนฝันเสียเหลือเกิน มันเหมือนกับได้ทะลุมิติเข้าไปในเรื่อง ‘โคนัน’ แล้วประสบกับเหตุอาชญากรรมหนึ่ง
ฉันเล่าบทสนทนาตอนที่ชายชุดดำคุยธุรกิจกันให้กับคุณลุงตำรวจฟังอย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น แน่นอนว่าฉันตัดเรื่องน่าขายหน้าระหว่างฉันกับแมวคิตตี้ออกไป
คุณลุงตำรวจครุ่นคิดอยู่นานแล้วพูดว่า “พวกเธอเจอเข้ากับแก๊งค้ายาชัวร์ ชื่อแบรนด์เนมพวกนั้นคงจะเป็นรหัสลับของพวกมัน ‘ใส่ไม่สบาย’ น่าจะหมายถึงคุณภาพไม่ดี”
แก๊งค้ายา? ช่างบังเอิญจริงๆ เลย น่าหวาดเสียวอะไรเช่นนี้! มิน่าล่ะคนพวกนั้นถึงคิดจะฆ่าพวกเราปิดปาก!
“ไม่แน่ว่า…รังของพวกมันอาจซ่อนอยู่หลังบานประตูเหล็กบานนั้นก็ได้” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเกือบจะถูกลากเข้าไปหลังบานประตูเหล็ก ฉันก็ตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นซึมทั่วตัวอีกครั้ง
“เธอยังจำหน้าของคนพวกนั้นได้อยู่มั้ย แล้วก็ตำแหน่งที่แน่ชัดที่พวกมันคุยธุรกิจกัน”
ฉันส่ายหัวอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย ฉันไม่คุ้นเคยกับละแวกนั้นเลย ถ้าไม่ใช่เพราะนั่งรถเมล์โคลงเคลงตามคิตตี้หนุ่มไป ฉันก็ไม่มีทางไปแถวนั้นหรอก
ไม่รู้ว่าคิตตี้หนุ่มตื่นขึ้นมาตอนไหน เขาพูดเสียงเบาว่า “ผมยังจำได้…” นัยน์ตาเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือด แต่ลูกตาดำกลับทั้งดำขลับและเป็นประกาย
จากการบันทึกคำให้การทำให้ฉันรู้แล้วว่าคิตตี้หนุ่มไม่ได้ชื่อว่าคิตตี้ เขามีชื่อที่ไพเราะซึ่งไม่เหมือนกับชื่อผู้ชายเลย เขาชื่อว่าเจียงเนี่ยนอวี่ อายุสิบเก้าปี
หลังจากบันทึกคำให้การเสร็จเรียบร้อย คุณลุงตำรวจก็จับมือเจียงเนี่ยนอวี่กับฉันแล้วพูดว่า “แก๊งนี้เงียบหายไปนานมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมาซ่อนตัวอยู่ในบ้านของชาวบ้าน ขอบใจนะที่ให้ข้อมูลกับทางเรา มันช่วยในการไขคดีได้เป็นอย่างมาก”
“ไม่หรอกค่ะๆ เราก็แค่บังเอิญไปเจอเท่านั้นเอง” ฉันเม้มปากอมยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดจาสุภาพ “เราเองก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีส่วนได้ช่วยเหลือทางตำรวจ หวังว่าพวกคุณจะสามารถจับตัวคนร้ายพวกนี้มาลงโทษตามกฎหมายได้ในเร็ววันนะคะ”
“เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว” แล้วหัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนไป คุณลุงตำรวจที่ผ่านการทำคดีมานับไม่ถ้วนได้กลิ่นผิดปกติจริงๆ ด้วย “ว่าแต่ตอนนั้นทำไมพวกเธอสองคนถึงไปปรากฏตัวอยู่ที่ซอยนั้นพร้อมกันได้ล่ะ”
รอยยิ้มของฉันนิ่งค้างอยู่ที่มุมปากทันที
เจียงเนี่ยนอวี่เหลือบมองมาทางฉัน นานทีเดียวกว่าจะได้ยินเขาพูดออกมาเบาๆ ว่า “เพราะว่ามีเรื่องต้องคุยกันกะทันหัน เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะส่วนตัวหน่อย…”
“พวกเธอสองคนเป็นอะไรกัน” คุณลุงตำรวจถามต่อ
“ไม่รู้จักกันค่ะ” ฉันตอบ
“แฟนกันครับ” เขาตอบ
เราตอบออกมาพร้อมกันอย่างรู้ใจกันมาก แต่คำตอบกลับไม่มีความรู้ใจกันแม้แต่น้อย
ฉันดึงแขนเจียงเนี่ยนอวี่เล็กน้อย แต่เขามองฉันด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“ที่แท้ก็เป็นคู่รักทะเลาะกัน…” คุณลุงตำรวจหัวเราะพรืดอย่างมีเลศนัย “ดูซิว่าต่อไปพวกเธอยังจะกล้าจู๋จี๋กันกลางแจ้งอีกมั้ย!”
พวกคู่รักที่หลบอยู่ในซอยมืดๆ ล้วนแต่กำลังจู๋จี๋กันกลางแจ้งอย่างนั้นเหรอ
ฉันกับเจียงเนี่ยนอวี่มองหน้ากัน เราต่างอึ้งพูดไม่ออกทันที
“พวกเธอรออยู่ที่นี่แป๊บนึง ฉันจะไปรายงานสักหน่อย พอพวกเธอเซ็นชื่อกันเสร็จแล้วก็บอกให้คนที่บ้านมารับได้” เมื่อคุยเรื่องงานจบ สีหน้าของคุณลุงตำรวจก็ดูผ่อนคลายขึ้น มือใหญ่ตบบ่าเจียงเนี่ยนอวี่เบาๆ แล้วขยิบตาให้ฉัน “สมัยนี้ไม่เห็นมีอะไรต้องเขินอายนี่นา เมื่อวานเขาปกป้องดูแลเธอทั้งคืน เธอเองก็กอดเขาเสียแนบแน่น ไม่ใช่แฟนแล้วเรียกว่าอะไรล่ะ!”
ฉันยิ้มอย่างเคอะเขิน เจียงเนี่ยนอวี่เหลือบมองฉันแวบหนึ่ง เขาอมยิ้มคลุมเครือเล็กน้อย
เมื่อคุณลุงตำรวจเดินออกไปแล้ว เขาก็ยื่นมือออกมาทันที “กระเป๋าเป้ฉัน”
ฉันขยับตัวแล้วถึงได้รู้ว่ากระเป๋าเป้สีดำของเขาถูกฉันนั่งทับไว้ตลอดเวลา ฉันรีบดึงออกมาให้เขา
“ทำไมต้องบอกว่าฉันเป็นแฟนนายด้วย” ฉันเสยผมและพูดอย่างจีบปากจีบคอ “ฉันรู้ว่าตัวเองมีเสน่ห์เหลือร้าย แต่เราเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงวัน หรือว่านายจะตกหลุมรักฉันแล้วอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่งั้นจะให้บอกตำรวจว่าเธอทำอนาจารฉัน แล้วลากฉันไปที่ซอยมืดเหรอไง” เขาขัดจังหวะการพูดจาหลงตัวเองของฉันอย่างรวดเร็ว
ก็ได้ ถือเสียว่าฉันไม่ได้ถามละกัน
เจียงเนี่ยนอวี่หยิบเสื้อกับกางเกงที่สะอาดออกมาจากกระเป๋าและวางบนม้านั่งยาวด้านข้าง จากนั้นเขาก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นลูบๆ คลำๆ ที่แผ่นหลัง คลำอยู่นานสองนานไม่รู้ว่าคลำหาอะไรอยู่ พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นฉันกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า เขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ช่วยมารูดซิปให้ฉันหน่อย”
“หา?”
ฉันเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้ว่าเขาจะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นี่!
เทพแห่งความสำรวมเอย เทพแห่งจริยธรรมเอย…กรุณาหลบไป ฉันกลืนน้ำลายแล้วเดินไปข้างหน้า ความสุขที่มาประเคนถึงที่แบบนี้ ฉันไม่เกรงใจล่ะนะ!
เมื่อชุดตุ๊กตาตัวใหญ่ร่วงลงบนพื้น ฉันก็เห็นรูปร่างของเจียงเนี่ยนอวี่ที่แม้จะผอมแต่ก็มีมัดกล้ามชัดเจน กล้ามท้องแน่นได้สัดส่วน ตั้งแต่ช่วงบ่าไล่ลงมาจนถึงเอวบางคอดนั้น หุ่นของเขาดูสวยงามมาก ส่วนร่างกายท่อนล่าง…เมื่อคำนึงถึงเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกที่เปราะบางแล้ว ฉันก็เบนสายตาไปทางอื่นด้วยความเคอะเขิน
เขาเองก็คงจะตระหนักได้ว่าไม่เหมาะสม เขาหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นหันหลังให้และสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ เจียงเนี่ยนอวี่…” ฉันมองดูรอยฟกช้ำต่างๆ ตามตัวเขา แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานตอนที่วิ่งหนี มีหลายครั้งที่ฉันหกล้มแล้วดึงตัวเขามาเป็นเบาะรอง ฉันรู้สึกไม่สบายใจมาก แต่ยังไม่ทันจะคิดใคร่ครวญฉันก็พูดโพล่งออกมาว่า “ขอบคุณนะ”
ฉันเอามือปิดปาก รู้สึกประหลาดใจที่ตัวเองก็รู้จักกล่าวขอบคุณ ถ้าเป็นหลินซิงเฉินคนก่อนคงจะขอโยนธนบัตรปึกหนึ่งให้เขา แต่จะไม่ยอมพูดคำว่า ‘ขอบคุณ’ เด็ดขาด
“ไม่เป็นไร” เขาหันหน้ามาแล้วยิ้มบางๆ ให้ฉัน
เมื่อเดินออกมาจากสถานีตำรวจ ท้องฟ้าทั่วทั้งเมืองก็สว่างไสวด้วยแสงอาทิตย์ยามเช้า ดูเหมือนว่าเมื่อสักครู่นี้จะมีฝนตกลงมาพักหนึ่ง อากาศยังคงชื้นอยู่ นกกระจอกตัวหนึ่งเกาะอยู่บนสายไฟอย่างงกๆ เงิ่นๆ ดวงตาดำขลับของมันกลอกไปมาไม่หยุด
ลุงเต๋อขับรถมารับฉัน เขาจู้จี้จุกจิกกับฉันเหมือนเช่นเคย แต่ฉันไม่ค่อยได้ฟังสักเท่าไร เอาแต่เออออทราบแล้วลูกเดียว ฉันมองเห็นเงาร่างหนึ่งยืนแกร่วอยู่หน้ากำแพงอิฐสีแดงหม่นในสถานีตำรวจผ่านทางกระจกรถ เงาร่างสูงเพรียวที่เด่นสะดุดตาเป็นพิเศษนั้นดูเย็นสบายสดชื่นเหมือนสายฝน
ดูเหมือนว่าเจียงเนี่ยนอวี่กำลังรอใครอยู่ ใครจะมารับเขากันนะ
“เสี่ยวอวี่!”
เสียงหวานไพเราะของผู้หญิงดังกังวานขึ้น รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของชายหนุ่มฉีกกว้างขึ้นมาทันที ส่งผลให้ลักยิ้มบนแก้มดูบุ๋มลึกยิ่งขึ้น
ฉันมองไปตามที่มาของเสียง เมื่อเห็นใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวที่รวบผมหางม้าคนนั้น หัวใจฉันก็เหมือนถูกหยิกไปหนึ่งที
“ลุงเต๋อ รีบออกรถเถอะค่ะ” ฉันถอนสายตากลับมา จู่ๆ ก็รู้สึกหมดความสนใจ
หลังจากกลับมาถึงบ้าน ฉันเข้าห้องไปนอนโดยไม่สนใจเสียงเรียกของลุงเต๋อ
เหนื่อยสุดๆ เลย ฉันรู้สึกงัวเงียตลอดเวลา และฝันนู่นนี่มากมาย ดินแดนแห่งความฝันกับความเป็นจริงดูเหมือนจะเชื่อมต่อกัน…เหมือนกับว่าฉันย้อนกลับไปสมัยเด็ก ช่วงก่อนอายุหกขวบ ฉันไม่ใช่เจ้าหญิงคริสตัล แต่ยังเป็นหลินซิงเฉินลูกนอกสมรสอยู่
ส่วนคุณนายจูเลียเองก็ไม่ใช่เมียน้อยเศรษฐีที่แต่งตัวสวยหรูอย่างเช่นทุกวันนี้ เธอเป็นเพียงผู้หญิงโชคร้ายคนหนึ่งที่ถูกคุณชายผู้ร่ำรวยหลอกจนตั้งท้องคลอดลูกนอกสมรส ซ้ำยังถูกทิ้งขว้าง
เมื่อไม่มีวุฒิการศึกษาที่น่าเชื่อถือ แถมยังพ่วงด้วยตัวภาระอีกหนึ่ง แน่นอนว่าแม่หางานดีๆ ทำไม่ได้ คุณลุงคุณป้าที่ขายไก่ทอดอยู่ในซอยเล็กๆ เห็นพวกเราดูน่าสงสารจึงจ้างแม่ให้มาช่วยจัดการเรื่องวัตถุดิบอาหารและให้เงินเดือนเล็กๆ น้อยๆ กับแม่
บางครั้งคุณลุงคุณป้าก็ให้แม่ไปหาซื้อวัตถุดิบที่ตลาดสด แม่เดินนำหน้า เด็กตัวเล็กๆ อย่างฉันเดินตามไม่ทันแล้วก็มักจะเหยียบลงไปในแอ่งน้ำอยู่บ่อยๆ
แม่หันกลับมามองฉัน ใบหน้าเปี่ยมด้วยความปวดใจ แต่ปากกลับพูดว่า ‘รีบเดินหน่อย ถ้าสายจะไม่ได้ของราคาพิเศษ’
ดังนั้นตอนที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าหญิงจริงๆ ไม่ว่าใต้ฝ่าเท้าจะเต็มไปด้วยโคลนแค่ไหน ฉันก็รู้จักที่จะรักษาท่วงท่าอันสง่างามเอาไว้โดยยืดอกเชิดหน้าและเดินตรงไปข้างหน้า
ที่ตลาดสดมีคนขายเนื้ออยู่คนหนึ่ง ลูกชายตัวอ้วนตุ้ยนุ้ยที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นของเขาถือโอกาสตอนที่แม่ฉันต่อราคากับพ่อเขา ชอบยื่นมือมันแผล็บออกมาแตะเนื้อต้องตัวฉันอยู่เรื่อย
แม่ฉันเห็นแต่ก็ไม่ห้ามอะไร เพราะเมื่อจ่ายเงินเสร็จคนขายเนื้อคนนั้นมักจะแอบยัดเงินเล็กๆ น้อยๆ ใส่ในมือแม่ แล้วบอกว่าการที่เธอต้องกระเตงลูกทำมาหากินไม่ใช่เรื่องง่าย
ตอนนั้นฉันกับแม่อาศัยอยู่ในห้องเก็บของเล็กๆ ซึ่งอยู่ชั้นบนของแผงขายไก่ทอด ส่วนที่ว่ามีข้าวของอะไรบ้างนั้นฉันจำไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่าฝนตกทีไรมีน้ำซึมลงมาทุกที แล้วก็มีกลิ่นเชื้อราคละคลุ้งกับกลิ่นเขม่าควันที่สะสมมาหลายปีของแผงขายไก่ทอด จนถึงตอนนี้ดูเหมือนว่ากลิ่นนั้นก็ยังคงติดอยู่ในโพรงจมูกฉันไม่หายไปไหน
จนกระทั่งดึกดื่นคืนหนึ่ง มีคนเคาะประตูห้องก๊อกๆๆ ทั้งแรงและเร็ว ราวกับว่าจะเร่งเอาชีวิตยังไงยังงั้น ฉันกอดแม่พลางตัวสั่นงันงก แยกไม่ออกว่าหิวหรือว่ากลัวกันแน่
แม่เดินไปเปิดประตู ส่วนฉันซ่อนอยู่ในผ้านวม ไม่กล้าโผล่หัวออกมา แค่ได้กลิ่นหอมจางๆ ซึ่งไม่ควรมีอยู่ในโลกอันยากจนข้นแค้นนี้ของเรา
จากนั้นแม่ก็กลับมาที่ผ้าห่ม ฉันรีบโผเข้าไปจับมือแม่ แต่กลับพบว่ามือคู่นั้นเย็นเฉียบและชุ่มเหงื่อ
‘ซิงเฉิน แม่พาลูกไปหาคุณพ่อดีมั้ย’
‘คุณพ่อ? ซิงเฉินก็มีคุณพ่อเหรอ’ ฉันมีสีหน้ามึนงง
‘มีสิ ซิงเฉินมีคุณพ่อ’ แม่พูดพึมพำราวกับว่ากำลังเล่านิทานที่เกิดขึ้นในที่ที่ไกลแสนไกล ‘คุณพ่อของซิงเฉินรวยมาก อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่มีสวนดอกไม้สวยๆ ที่บ้านคุณพ่อมีของกินอร่อยๆ เยอะแยะเลย แล้วก็ยังจะซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้ซิงเฉินอีกเพียบ…’
‘คุณพ่อเป็นพระราชาเหรอ ทำไมถึงมีเงินเยอะจัง’
‘อืม’
‘แล้วซิงเฉินใช่เจ้าหญิงตัวน้อยหรือเปล่า’
‘อืม ซิงเฉินเป็นเจ้าหญิงตัวน้อย เป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของคุณพ่อ’ แม่พูดเสียงเบา ‘แล้วก็เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของทายาท ‘กลุ่มบริษัทดอลลี่’ ’
‘ดีค่ะ ซิงเฉินอยากไปหาคุณพ่อ’ พอได้ยินประโยคแรก ฉันก็ยิ้มมีความสุข
‘แต่ไปถึงบ้านคุณพ่อแล้วซิงเฉินจะอยู่กับแม่ไม่ได้ แล้วก็เรียกแม่ว่าแม่ไม่ได้ด้วยนะ…’ ใบหน้าของแม่แทบจะไม่มีความเศร้าเสียใจใดๆ บางทีอาจจะมี เพียงแต่ตอนนั้นฉันยังเด็กมากจึงดูไม่ออก
‘ทำไมถึงเรียกแม่ไม่ได้ล่ะ’
‘เพราะซิงเฉินจะมีแม่ใหม่คนสวย…’
‘แม่ใหม่? ซิงเฉินต้องอาศัยอยู่กับแม่ใหม่คนสวยเหรอ’ ฉันเอียงศีรษะและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ‘งั้นแม่ก็อยู่ด้วยกันกับเราก็ได้นี่นา! คุณครูบอกว่าเด็กๆ ทุกคนต้องอยู่กับพ่อแม่’
แม่ส่ายหัว ‘ไม่ได้หรอก แม่ไม่ได้แต่งงานกับคุณพ่อ’
‘ทำไมแม่ไม่ได้แต่งงานกับคุณพ่อ แม่ทะเลาะกับคุณพ่อเหรอ หรือว่าแม่ไม่ชอบคุณพ่อ’ ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกงุนงงยิ่งกว่าเดิม ‘แต่ว่าคุณลุงคุณป้าร้านไก่ทอดก็ทะเลาะกันทุกวันเหมือนกัน คุณป้าชอบด่าทอคุณลุงว่าหมูตอน หมูขึ้นอืด หมูน่ารังเกียจ แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ด้วยกันนี่นา!’
‘เราไม่ได้ทะเลาะกัน แล้วแม่ก็ไม่ได้ไม่ชอบคุณพ่อของซิงเฉิน…’ แม่นิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วยื่นมือที่เต็มไปด้วยหนังด้านมานวดคลายรอยย่นเล็กๆ ตรงหว่างคิ้วของฉัน ‘คุณพ่อของซิงเฉินเป็นฝ่ายทิ้งพวกเราก่อน แล้วไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่น…’
ฉันเหม่อมองเพดานในห้องที่ดูต่ำจนชวนให้รู้สึกกดดันเล็กน้อย ด้านบนมีคราบเชื้อราอยู่สามสี่ที่ มันดูเหมือนมีดอกกุหลาบสีดำบานอยู่เหนือศีรษะ ฉันมองไปมองมา พอมองนานๆ เข้าก็รู้สึกว่ามันสวยดี ฉันจึงบอกแม่ว่า…
‘ซิงเฉินไม่ต้องการแม่ใหม่ แล้วก็ไม่อยากเป็นเจ้าหญิงแล้วได้หรือเปล่า’
‘ไม่ได้’ แม่บอกว่าไม่ได้ และยังพูดว่า ‘ซิงเฉินจ๊ะ แม่เองก็อยากมีชีวิตที่สุขสบาย นี่เป็นสิ่งที่คุณพ่อติดค้างเราไว้ แล้วตอนนี้เขาก็อยากจะชดเชยให้…’
วันรุ่งขึ้นแม่จับฉันอาบน้ำแต่งตัวและพาฉันเข้าไปในคฤหาสน์สกุลหลิน แม่บอกฉันว่านี่คือคุณพ่อฉัน นี่คือภรรยาของคุณพ่อ ส่วนนี่คือคุณปู่กับคุณย่าฉัน นั่นคืออาผู้หญิงคนเล็กกับสามี แล้วนั่นก็อาผู้ชายคนเล็กกับภรรยา…
ทุกคนสวมเสื้อผ้าสวยงามแตกต่างกันไป แต่หน้าตากลับเคร่งขรึมเหมือนกันหมด คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเครือญาติที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับฉัน
ในที่สุดฉันก็ได้เจอกับพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเอง แล้วก็ได้เจอกับผู้หญิงที่ฉันเรียกว่า ‘แม่ใหญ่’
แม้แต่ตัวอักษรภาษาอังกฤษยี่สิบหกตัวฉันก็ยังท่องไม่ได้ แต่ที่นั่นฉันได้เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ยากมากคำหนึ่ง คำนั้นคือ Illegitimate child
‘Illegitimate child…’ แม่ใหญ่จับมือฉัน แล้วใช้นิ้วชี้ออกแรงเขียนลงบนฝ่ามือที่อ่อนนุ่มของฉันครั้งแล้วครั้งเล่า เล็บที่ทาน้ำยาทาเล็บสีแดงนั้นขูดขีดจนฉันรู้สึกเจ็บ เหมือนกับว่าจะกัดกินเข้าไปถึงเลือดถึงกระดูกฉัน แต่ฉันกลับไม่กล้าหดมือกลับ เมื่อฉันถามเธอว่าแปลว่าอะไร แม่ใหญ่ก็ยิ้มสวยสง่า ‘เธอจำไว้ก็พอ แล้วค่อยไปค้นพจนานุกรมเอาเองทีหลัง’
Illegitimate child ลูกนอกกฎหมาย หรือก็คือลูกนอกสมรสนั่นเอง
เพียงชั่วข้ามคืนฉันก็เปลี่ยนจากลูกนอกสมรสในตลาดสดกลายเป็นคุณหนูตระกูลเศรษฐีที่ใครๆ ต่างพากันอิจฉา
พวกเขาจัดงานเลี้ยงใหญ่โตต้อนรับฉัน ฉันสวมกระโปรงผ้าโปร่งสีชมพู ถูกจับแต่งตัวเหมือนเจ้าหญิงตัวน้อย แล้วก็ได้ดื่มได้กินอาหารกับขนมที่ชีวิตนี้ไม่เคยกินมาก่อน
เมื่องานเลี้ยงใกล้จะจบ ฉันถูกพาไปที่สวนดอกกุหลาบที่สวยงามแห่งหนึ่ง ดอกไม้ที่แน่นขนัดตัดสลับกันไปมาจนสุดสายตา แสงแดดแทบจะส่องลอดเข้ามาไม่ได้เลย แล้วบรรดาลูกพี่ลูกน้องทั้งฝั่งพ่อและฝั่งแม่ที่ฉันไม่รู้จักชื่อต่างก็เข้ามาห้อมล้อมฉัน พวกเขายื่นมือมาผลักฉันบ้าง ใช้นิ้วชี้จิ้มฉันบ้าง หัวเราะเยาะฉันบ้าง…
ที่แท้ ‘อดีต’ ที่เลวร้ายพวกนั้นก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม ไม่ว่าฉันอยากจะลืมสักแค่ไหนมันก็ยังคงฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจเหมือนเดิม
มือที่อยากลากฉันเข้าไปหลังบานประตูเหล็กที่ซอยมืดนั้น มือมันแผล็บของลูกชายคนขายเนื้อในตลาดสด แล้วก็ยังมีมือที่ไม่ประสงค์ดีเหล่านี้…มือทั้งหมดพันกันอีนุงตุงนัง ฉันแยกแยะไม่ออกว่ามือไหนชั่วร้ายกว่ามือไหน
บางทีมือเหล่านี้อาจล้วนมาจากขุมนรก แล้วมือทั้งหมดนี้ก็อยากจะลากฉันลงไปในอเวจีที่ลึกจนยากที่จะหยั่งถึง!
ในนิทาน เจ้าหญิงผู้มีจิตใจงดงามมักจะมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยให้รอดพ้นจากอันตราย แล้วในชีวิตจริงจะมีเจ้าชายมาช่วยฉันไหมนะ
ช่วย ‘เจ้าหญิงกำมะลอ’ อย่างฉัน