Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 4
ปิดเทอมฤดูร้อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนี้เป็นวันเปิดเทอม
“คุณหนู ตื่นได้แล้วครับ ลุงเต๋อจะเปิดประตูแล้วนะครับ” หลังจากที่ลุงเต๋อเคาะประตูเบาๆ อยู่หน้าห้องก็ผลักประตูเข้ามา เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจไปเลย
น้อยครั้งที่เขาจะไม่เห็นฉันนอนอืดอยู่บนเตียง วันนี้ฉันแต่งหน้าสวยงามเสร็จเรียบร้อยแต่เช้า นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ใช้แขนค้ำหัวไว้…งีบหลับต่อ
“คุณหนู…”
เขาเรียกไม่กี่ครั้ง พอไม่ได้ยินเสียงตอบรับก็เข้ามาสะกิดที่ไหล่ มีเสียง ‘ตุบ’ หน้าผากฉันพุ่งตรงลงไปที่หน้าโต๊ะ เจ็บมากเลย!
“คุณหนู คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
ฉันดีดตัวขึ้นมา รีบร้อนเช็ดรอยน้ำลาย “กี่โมงแล้วคะ หนูสายหรือยัง อาเมิ่งซีไปรึยังคะ”
“ยังครับ ตอนนี้ยังเช้าอยู่มาก” ลุงเต๋อหยิบแว่นสายตามาเช็ดๆ ดูเหมือนยังไม่อยากจะเชื่อ
“อาเมิ่งซีบอกว่าวันนี้จะไปส่งหนูที่โรงเรียน” ฉันอธิบายด้วยความเขินอาย
อาจารย์ใหญ่ ครูผู้ชายในฝัน สวนงดงามด้านหลังโรงเรียนตามเรื่องเล่า โรงเรียนมัธยมเก่าแก่ชื่อดังที่ลึกลับที่สุด…โอ๊ย ฉันจะไม่มีทางพูดเป็นอันขาดว่าฉันตื่นเต้นเสียจนนอนไม่หลับทั้งคืน!
เปลี่ยนใส่ชุดยูนิฟอร์ม ส่องกระจกทั้งตัวพลางหมุนไปรอบๆ หลายครั้ง เป็นอาเมิ่งซีที่ให้คนส่งชุดยูนิฟอร์มของเซนต์เลออนนี้มา เหมือนเขาจะรู้สัดส่วนฉันเป็นอย่างดี ชุดยูนิฟอร์มใส่ได้พอดีตัว
ชุดยูนิฟอร์มของเซนต์เลออนเป็นสไตล์ผู้ดีอังกฤษ เชิญดีไซเนอร์ชื่อดังระดับสากลมาออกแบบด้วยตนเองเป็นพิเศษ อีกทั้งร่วมกับช่างตัดเย็บมืออาชีพมาตัดเย็บด้วยมือ ชุดยูนิฟอร์มของนักเรียนทุกคนล้วนวัดตัวแล้วสั่งทำ ผู้หญิงสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเข้ากับกระโปรงสั้นจีบรอบลายสก็อตสีเทาอ่อน ผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวลายสก็อต เข้าคู่กับเสื้อคลุมแบบทหารสีดำ เสื้อคลุมติดกระดุมสองแถวสีเงิน
ถึงตรงนี้ต้องนับถือความคิดของดีไซเนอร์ โรงเรียนเก่าแก่ชื่อดังหลายแห่งล้วนมีชุดยูนิฟอร์มคู่กับเสื้อสูทนอก มีเพียงเซนต์เลออนเท่านั้นที่เลือกใช้เสื้อคลุมแบบทหาร แม้ไม่ได้ดูเป็นทางการเท่ากับเสื้อสูทนอก แต่กลับดูภูมิฐานอย่างเห็นได้ชัด ยึดแนวคิดชนชั้นสูงสุด ในขณะเดียวกันเสื้อคลุมแบบทหารก็เน้นถึงความเข้มงวดของเซนต์เลออนไว้จางๆ
เคยได้ยินอาเมิ่งซีพูดว่ายูนิฟอร์มของเซนต์เลออนเป็นสัญลักษณ์ศักดินาในโรงเรียนด้วย
การจะศึกษาเล่าเรียนที่เซนต์เลออน แน่นอนว่าหากมาจากครอบครัวธรรมดาจะต้องรับภาระทั้งหมดเกินตัว นอกจากค่าเทอมที่แสนแพง ค่าใช้จ่ายจิปาถะแต่ละอย่างยิ่งชวนให้ตกใจ ชุดยูนิฟอร์มทั้งชุดของเซนต์เลออนหนึ่งชุดราคาใกล้เคียงกับชุดสั่งตัดของแบรนด์เนมระดับแถวหน้า เพราะเหตุนี้นักเรียนที่ก้าวเข้ามาในประตูใหญ่ของเซนต์เลออนได้จึงมีฐานะร่ำรวยและเป็นที่น่าเคารพ
จะแบ่งแยกระดับสูงต่ำในกลุ่มคุณหนูคุณชายแสนโชคดีและน่าภูมิใจได้อย่างไรน่ะหรือ
จุดสำคัญอยู่ที่ส่วนประกอบของชุด ผู้ชายสวมเนกไทลายเทาดำ ผู้หญิงมีผ้าลายเทาดำมัดเป็นรูปโบ น้อยคนนักที่จะมีลายปักดิ้นสีทองเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ ซึ่งไม่เพียงแค่ต้องเป็นนักเรียนตัวอย่างที่เรียนดี ประพฤติดี ยังจะต้องอยู่ในชนชั้นปกครองของโรงเรียนเซนต์เลออน เฉพาะคนที่รับหน้าที่ประธานสภานักเรียน กลุ่มแกนนำหลัก และเด็กมีผลการเรียนสามอันดับแรกตลอดทั้งเทอมเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ปักดิ้นทอง เป็นการแสดงชัดถึงตำแหน่งผู้ชนะในการแข่งขันผ่านความแตกต่างของส่วนประกอบชุดยูนิฟอร์มเหล่านี้
แต่ส่วนน้อยในส่วนน้อยที่ไม่สวมเนกไท ไม่มัดโบ ติดเข็มโรงเรียนสีทองที่อกซ้าย เป็นนักเรียนที่ ‘รับเข้ากรณีพิเศษ’ พวกเขามีอำนาจถึงขั้นเข้าร่วมสภานักเรียนได้
รับเข้ากรณีพิเศษหมายถึงพวกไหนน่ะหรือ หมายถึงพวกที่มีภูมิหลังครอบครัวพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นเจิ้งฉู่เย่าและหลินซิงเฉิน
ฉันกินมื้อเช้าอย่างไม่รีบร้อน ตอนที่ยังเหลืออีกสามนาทีจึงจะถึงเวลาที่นัดไว้ ลุงเต๋อก็มารายงานว่ารถบ้านสกุลเจิ้งได้มาถึงเรียบร้อยแล้ว ฉันหนีบกระเป๋าหนังสือ ยกยิ้มที่สุดแสนจะสดใสออกมา ก้าวสามก้าวกระโดดสองครั้งเร่งไปจนถึงหน้าประตู…เมื่อเห็นรถสีดำคันนั้น อารมณ์ดีๆ ทุกอย่างพลันมลายหายไปหมด!
ฉันจ้องชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งพักสายตาอยู่ในรถแล้วเอ่ยถาม “ทำไมถึงเป็นนาย”
เจิ้งฉู่เย่าส่งสายตาราวกับถามว่า ‘เธอนึกว่าใครล่ะ’ มาให้ฉัน เขามองนาฬิกาข้อมือ หัวเราะเยาะแล้วกล่าวออกมา “ไปเถอะ”
การกระทำทั้งหมดของเขา ไม่บอกฉันก็รู้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่ยังเคืองใจเรื่องครั้งก่อนที่ฉันสาย!
ภาพที่เขาจูงมืออวี๋ยางยางขึ้นรถจากไปพลันแวบขึ้นมาในหัว ในฐานะคู่หมั้น ฉันควรได้รับการปฏิบัติที่ใส่ใจยิ่งกว่าจากเขา
ฉันเงียบไปไม่กี่วินาทีก็แสดงท่าทางอวดดีและเชิดคางขึ้น “จะไม่เปิดประตูรถให้ฉันหน่อยเหรอ”
จบคำพูดฉันมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะได้รับเสียงฟึดฟัดไม่พอใจจากเขา การทำให้เจิ้งฉู่เย่าหงุดหงิดนั้นเป็นจุดแข็งของฉันเสมอมา
เจิ้งฉู่เย่าขมวดหัวคิ้วเพียงชั่วพริบตาเดียว นี่เป็นสัญญาณก่อนที่เขากำลังจะโมโห
แขนทั้งสองข้างฉันกอดอก ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ในเมื่อจะเป็นสุภาพบุรุษก็ควรจะทำให้ถูกต้องทั้งหมดสิ ใช่ไหม”
พูดถึงตรงนี้ อีกทั้งรวมกับสีหน้าของเขา ฉันมั่นใจว่าคุณชายเจิ้งจะต้องเร่งคนขับรถให้ขับไป คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องประหลาดขึ้นแล้ว! ขายาวของเขาก้าวลงมาจากรถช่วยเปิดประตูให้ฉันจริงด้วย
แม้จะแสดงอาการไม่เต็มใจแต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี การเริ่มต้นที่ดีถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง หรือฉันต้องพยายามอีกครึ่งหนึ่งก็จะชนะจอมโมโหง่ายคนนี้กันนะ?
รถวิ่งเร็ว ต้นไม้ข้างนอกหน้าต่างผ่านไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว ฉันแอบมองไปทางเขา แสงแดดยามเช้าส่องลอดช่องว่างระหว่างใบไม้เข้ามาในตัวรถ ใบหน้ามุมข้างของชายหนุ่มฉาบไปด้วยแสงสีทองนวล คิ้วของเขาขมวดน้อยๆ เม้มริมฝีปากบาง ท่านั่งตรงแบบผิดปกติ สีหน้าฉุนเฉียวหงุดหงิด ไม่รู้ว่ากำลังหงุดหงิดฉันหรือตัวเอง…สีหน้าท่าทางแบบนี้จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าน่ารักดี
หรือว่าพยายามขึ้นอีกหน่อยฉันก็จะรักเขาได้นะ?
จู่ๆ เจิ้งฉู่เย่าก็หันหน้ามา แววตาของเขาสบเข้ากับสายตาฉันอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉันส่งยิ้มเล็กน้อยให้เขาด้วยความประหม่าครึ่งหนึ่งเย้าแหย่ครึ่งหนึ่ง เขาใจสั่นระรัวเพียงไม่กี่วินาทีก็หันหน้าไปด้วยความอึดอัดใจทันที อีกทั้งวางสายตาไว้ที่ข้างหน้าต่าง
“มีอะไรจะพูดกับฉันเหรอ” ที่จริงฉันก็ซึนเดเระมาก “ฉันไม่ชอบให้ใครทำเหมือนจะพูดแต่ไม่พูด”
“ชุดยูนิฟอร์มของเซนต์เลออน” น้ำเสียงของเขาฟังดูราบเรียบเหมือนกับไม่มีความรู้สึกเจืออยู่ “เหมาะกับเธอมาก ใส่แล้วสวยมาก”
การเอ่ยชมที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดทำฉันลืมถือตัวไปเสียสนิท ฉันเอ่ยพึมพำออกมา “จริงเหรอ…” ฝ่ามือที่มีเหงื่อออกเล็กน้อยนั้นเผลอจิกกระโปรงพลีตบนเข่า
ในรถมีเพียงเสียงลมหายใจรัวเร็วเล็กน้อยของฉันกับเจิ้งฉู่เย่า
เงียบ
ไม่มีบรรยากาศที่ชวนตึงเครียด เราทั้งคู่มองออกไปออกหน้าต่างอย่างไม่รู้จะทำอะไร
ถ้าหากไม่ได้สวมชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนมัธยมปลาย ฉันก็เกือบลืมไปเสียแล้วว่าฉันกับเจิ้งฉู่เย่าเพิ่งจะอายุสิบแปดปี
เด็กผู้ชายเด็กผู้หญิงธรรมดาอายุสิบเจ็ดสิบแปดปียังมีความรักบริสุทธิ์ในโรงเรียนอยู่เลยสินะ บางครั้งก็เป็นกังวลเรื่องสอบ ต่างก็บ่นเรื่องเรียนไม่มีหยุด เก็บเงินได้ไม่เยอะ ซื้อของขวัญวันเกิดให้อีกฝ่าย อนาคตเป็นเรื่องหลังจากฝนบัตรเข้าห้องสอบ…ทั้งสองมีความรักกันอย่างเรียบง่าย ในสายตาของแต่ละฝ่าย ขอเพียงมีความรักซึ่งกันและกันก็เพียงพอแล้ว
แต่ฉันกับเจิ้งฉู่เย่า พวกเราพัวพันเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ธุรกิจของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่สองกลุ่ม ด้านหลังยังมีคนจ้องจับผิดอยู่อีกไม่รู้เท่าไร มีกี่คนที่ร่วมอวยพรด้วยความเต็มใจและจริงใจ? เกรงว่าจะไม่มีเลย พวกเขาเพียงแค่รอหาผลประโยชน์เท่านั้น
นี่ไม่ใช่ความรักที่คนอายุอย่างเราตอนนี้ต้องมาเผชิญ!
เราได้รับชีวิตอิสระที่อยู่ภายใต้เงาของตระกูล มีทุกอย่างมากมายแต่กลับสูญเสียไปมากยิ่งกว่า
พอคิดถึงตรงนี้ ดูเหมือนฉันจะเข้าใจว่าทำไมเจิ้งฉู่เย่าจึงได้ต่อต้านการคบกับฉันแบบนี้ นั่นเป็นการขัดขืนต่อต้านรูปแบบหนึ่ง
รถจอดติดไฟแดง ฉันเห็นนักเรียนชายนักเรียนหญิงคู่หนึ่งเดินอยู่ริมถนน พวกเขาสวมชุดยูนิฟอร์มเรียบง่ายของโรงเรียนรัฐบาล ทั้งสองเดินไปด้วยหัวเราะไปด้วย พลันเด็กผู้ชายก็หยอกล้อด้วยการดึงผมหางม้าของเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงผลักเขาโดยที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ เท้าของเด็กผู้ชายเหยียบลงไปในแอ่งน้ำบนถนน เด็กผู้หญิงเห็นเหตุการณ์ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่ได้ยื่นมือให้เขาจับ กลับยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป พูดเสียงดังว่าจะโพสต์รูปที่เขาทำตัวทึ่มนั้นลงเฟซบุ๊ก…
จู่ๆ ก็รู้สึกอิจฉาพวกเขามาก ยากมากที่ฉันกับเจิ้งฉู่เย่าจะมีช่วงเวลาแบบนั้นสินะ
อุณหภูมิในรถดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นทีละน้อย เจิ้งฉู่เย่าถอดเสื้อคลุมทหารออกแล้ววางไว้บนหน้าขา ฉันเหลือบเห็นกระดุมทองที่อกซ้ายของเขา ก้มหน้ามองลง เห็นว่าตัวเองก็มีหนึ่งอัน พลันนึกขึ้นได้ว่าฉันกำลังจะใช้ฐานะ ‘คู่หมั้นของทายาทกลุ่มบริษัทรื่อเย่า’ เข้าไปในโรงเรียนที่แปลกประหลาดนี้ นั่นเป็นวิถีชีวิตในโรงเรียนของเจิ้งฉู่เย่าที่ฉันไม่เคยเห็น
ถ้าพูดว่าไม่ตื่นเต้นก็ถือว่าเป็นคนโกหกล่ะ ฉันตื่นเต้นมากและยัง…ทำตัวไม่ถูกนิดหน่อย
แบกฐานะนี้เอาไว้ ไม่รู้ว่าฉันจะได้รับการปฏิบัติตัวอย่างไร จะมีคนอยากเป็นเพื่อนกับฉันด้วยความจริงใจไหมนะ ความรู้สึกไม่แน่ใจเช่นนี้ฉันกลับแสดงออกไปไม่ได้ ฉันต้องปกป้องตัวฉันเองแม้เป็นเพียงแค่การวางมาดใหญ่โตเพื่อตบตาคนก็ตาม
ตอนที่รถเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง ฉันส่งเสียเรียกออกไป “เจิ้งฉู่เย่า”
“อืม?”
“นายชอบเธอจริงไหม” ฉันไม่ได้พูดชื่อออกไป แต่เขาจะต้องรู้ว่าฉันหมายถึงอวี๋ยางยางเป็นแน่
เจิ้งฉู่เย่าเงียบไปพักหนึ่ง ตอนนั้นมันเหมือนกับว่าฉันกำลังถูกเขาที่มีสีหน้าเคร่งเครียดบีบคอเอาไว้ หายใจไม่เป็นจังหวะ
“ช่างเถอะ ถ้านายไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร…”
“ฉันไม่รู้” เขาถอนหายใจ
เชอะ เป็นพวกจอมซึนเสียจริง
“เอาเถอะ งั้นนายคิดว่าเธอเป็นคนแบบไหน” ฉันเองก็ถอนหายใจตาม ไม่ได้ถามเพราะอยากรู้มากเป็นพิเศษ เพียงแค่รู้สึกสงสัยนิดหน่อย คนที่ทำให้ทายาทกลุ่มบริษัทรื่อเย่าที่แสนยโสโอหังชอบ…จะเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน
“เธอไม่ใช่คนประเภทเดียวกับพวกเรา ที่บ้านยากจนมาก แต่กลับขยันทำงานมาก ไม่เคยคิดพึ่งคนอื่น…”
ฉันไม่ได้พูดแทรกเขา เพียงแค่กระซิบอยู่ภายในใจ
ผู้หญิงแบบนี้มีเยอะแยะจะตาย! สุ่มจับเอาตามถนนไปเรื่อยก็เจอ ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นวัยรุ่นสาวขยันขันแข็งอย่างเต็มที่ หรือว่านายชอบทุกคนที่เป็นแบบนั้น?
มุมปากของเจิ้งฉู่เย่าหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง “เธอใสซื่อ เป็นธรรมชาติมาก อยากร้องไห้ก็ร้อง อยากยิ้มก็ยิ้ม อยู่ตรงหน้าเธอ ฉันไม่ต้องกังวลมากเกินไป เป็นตัวของตัวเองได้ตามใจชอบ”
เฮ้อ ทนฟังไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เสแสร้งจริงๆ
ฉันพูด “อ๋อ” ออกไปพลางพึมพำเบาๆ “แบบนี้นี่เอง”
แต่รอยยิ้มของเขากลับทิ่มแทงฉันอย่างไม่มีเหตุผล
ก็จริง หลินซิงเฉินคนนี้ไม่ใสซื่อ เสแสร้งที่สุด นิสัยถึงแม้จะร้ายหน่อย ยังล้างผลาญเงินครอบครัวอย่างมาก แต่ว่าอยู่ตรงหน้าฉัน นายก็ไม่ต้องกังวลอะไร นายก็เป็นเพียงแค่เจิ้งฉู่เย่าได้นะ!
คำพูดเหล่านั้นยังไม่ทันได้พูดออกไปกลับถูกคำพูดของเขาขัดจังหวะขึ้นมา
“หลินซิงเฉิน”
“อืม?”
“การถ่ายรูปโฆษณาของซาลีร์ ฉันตอบตกลงแล้วนะ”
“หา?” ฉันเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ
“คุณแม่ของเธอเสนอให้กับอาเมิ่งซี การเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ของกลุ่มบริษัทดอลลี่ในครั้งนี้ต้องการเซ็ตรูปโฆษณา ฉันตอบตกลงไปถ่ายแล้ว” เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบาราวสายลม
ไม่คิดเลยว่าเจิ้งฉู่เย่าจะตอบตกลง แปลกเกินไปจริงๆ
“แต่ว่า…” เขาขมวดคิ้วพร้อมกับเหลือบมองฉันเล็กน้อย “เธอช่วยปล่อยอวี๋ยางยางไปเถอะ”
ฉันไม่รู้จะพูดอะไรชั่วขณะ คุณชายเจิ้งฉู่เย่า เขากำลังแสดงบทไหน ทำไมฉันไม่เข้าใจเลยสักนิด!
“นายกำลังขอร้องฉันอยู่เหรอ” ฉันมองเขาด้วยสายตาเหลือเชื่อ หยิ่งยโสแบบเขาทำไมขอร้องคนได้ง่ายๆ กัน
“ฉันกำลัง ‘ต่อรอง’ กับเธอต่างหาก ฉันตอบตกลงถ่ายรูปโฆษณา แล้วเธอก็ปล่อยอวี๋ยางยางไป”
“ต่อรอง?” ฉันรู้สึกตลก “อะไรที่เรียกว่า ‘ช่วยปล่อยอวี๋ยางยาง’ ฉันไม่เคยรังแกเธอเลยสักนิด นายจะมาต่อรองอะไรกับฉัน”
“อย่าแกล้งโง่เลย เรื่องนั้นไม่ใช่เธอทำหรอกเหรอ”
“เรื่องไหน” ฉันสับสน เมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดของเขาแล้วจู่ๆ ฉันก็เข้าใจขึ้นมา ไม่ว่าฉันจะบริสุทธิ์ไม่มีความผิดอย่างไร ในสายตาของเขา ทั้งหมดเกี่ยวกับฉันล้วนเสแสร้ง
ตระหนักถึงขั้นนี้แล้วฉันก็ยิ้มหยันออกมา “เรื่องที่ฉันทำเยอะมากเลยล่ะ ไม่รู้ว่าคุณชายเจิ้งหมายถึงเรื่องไหนกัน”
“ฉันเป็นคนสาดน้ำใส่เธอ ฉันยอมรับว่าเป็นความผิดของฉัน แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับอวี๋ยางยางเลยสักนิด เธอไม่ควรเอารูปเหล่านั้นมาสร้างปัญหา บีบบังคับให้เธอลาออกไปจากโรงแรม W บีบให้เธอลาออกจากโรงเรียน…”
ฉันบีบบังคับอวี๋ยางยางลาออกจากโรงแรม W? ยังบีบให้เธอลาออกจากโรงเรียน? ฉันดูว่างมากจนไม่มีอะไรทำขนาดนั้นเลยเหรอ
‘ทางสกุลเจิ้งฉันจัดการเอง’
ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด จู่ๆ คำพูดของแม่ใหญ่ก็แว่วขึ้นมาในหู…คุณผู้หญิงเฉินหมิงลี่จะต้องทำเรื่องไว้แน่!
ไม่รู้ว่าเธอไปได้ยินเรื่องในวันนั้นมาได้ยังไง ถึงได้เอาเรื่องเจิ้งฉู่เย่าสาดน้ำใส่ฉันและเรื่องอวี๋ยางยางมากดดัน ใช้ไม้นี้มาขู่สกุลเจิ้ง
พ่อแม่ของเจิ้งฉู่เย่าต่างก็เป็นคนรักหน้าถือตาเป็นอย่างยิ่ง หากรู้ว่าลูกชายฉุดกระชากลากถูพนักงานหญิงของโรงแรมในเครือจะต้องโมโหเลือดขึ้นหน้าแน่ เป็นไปได้สูงว่าสร้างความกดดันให้แก่ทั้งคู่ไม่น้อยเลย
จากคำกล่าวหาของเขา ฉันฟังไปฟังมาก็ไม่คาดคิดเลยว่าตัวเองจะใช้ช่วงเวลาปิดเทอมฤดูร้อนไปอย่างมีความสุข ส่วนเจิ้งฉู่เย่ากับอวี๋ยางยางคู่รักคู่นี้กลับถูก ‘ฉัน’ วุ่นวายสร้างปัญหาให้
ในเมื่อฉันที่อยู่ในใจของเจิ้งฉู่เย่านั้นเป็นผู้หญิงชั่วร้ายคนหนึ่งอยู่แล้ว ฉันก็ไม่คิดจะโต้แย้ง
แต่คุณหญิงเฉินหมิงลี่ก็ช่าง ‘ใส่ใจเรื่องคนอื่น’ เสียจริง ผลจากการราดน้ำมันไปบนกองไฟก็คือการที่เจิ้งฉู่เย่านำบัญชีทั้งหมดมาคิดกับฉัน! ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ฉันจะทำลาย ‘ความหวังดี’ ของแม่ใหญ่ให้เสียเปล่าได้ยังไงกันล่ะ
ฉันยกสองมือขึ้นกอดอก เรียวขาสวยนั่งไขว่ห้าง ทำเหมือนกับเมียหลวงจับบ้านเล็กได้ หยักริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม
ในละครรักวัยรุ่นน้ำเน่า คู่หมั้นใจร้ายจะขาดบทพูดที่แสนคลาสสิกแบบนี้ไปได้ยังไง
“ได้! จะให้ฉันปล่อยเธอไปก็ขอดูความประพฤติของนายหน่อยนะ คุณ-คู่-หมั้น!”