Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 4
ประตูเหล็กของโรงเรียนซึ่งสลักเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษว่า ‘St.Leon School’ ปรากฏอยู่ตรงหน้า สิงโตสีทองสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนเปล่งประกายอยู่กลางแสงแดด สนามฟุตบอลหญ้าตามมาตรฐานสากลแผ่กว้างออกไป ปลายสุดมีตึกอิฐแดงสไตล์ยุโรปเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่
รถหรูของสกุลเจิ้งขับตรงเข้ามาจอดข้างน้ำพุทรงกลมซึ่งอยู่ตรงหน้าตึกเก่าแก่ เจิ้งฉู่เย่าเปิดประตูรถให้ฉัน ส่วนฉันก้าวลงจากรถด้วยท่าทางถือดีเหมือนกับนกยูงแสนหยิ่งผยอง
หนุ่มหล่อ สาวสวย รถยี่ห้อดังดึงดูดสายตานักเรียนมากมายให้หยุดชื่นชม
“อ๊ายๆๆ รีบมาดูเร็ว เป็นเจ้าชายเย่า มาโรงเรียนแล้ว!”
“หือ? ผู้หญิงที่อยู่ข้างเขาเป็นใคร หน้าตาหยิ่งยโส ไม่ได้ติดโบแล้วยังให้เจ้าชายเย่าของฉันเปิดประตูรถให้อีกด้วย”
“เธอไม่เคยได้ยินเหรอ เจิ้งฉู่เย่าเตรียมตัวจะหมั้นหมายกับลูกสาวของกลุ่มบริษัทดอลลี่ ผู้หญิงคนนั้นน่าจะใช่แล้ว…”
“อะไรนะ เจ้าชายเย่าของฉันกำลังจะหมั้นแล้วอย่างนั้นหรือ คนโกหกๆ…ฮือๆๆ…”
“หือ? งั้นอวี๋ยางยางถูกกำจัดแล้วหรือ เจ้าชายเย่าคงเล่นกับเธอจนเบื่อแล้ว ฉันพูดตั้งนานแล้วว่าพวกเขาคงคบกันได้ไม่นาน”
“นั่นหมายความว่าพวกเราจะแกล้งอวี๋ยางยางได้แล้วใช่ไหม หึๆ!”
อวี๋ยางยาง?
ทำไมถึงได้ยินชื่ออวี๋ยางยางในกลุ่มลูกเศรษฐีที่โรงเรียนมัธยมเก่าแก่ชื่อดังกัน ฉันทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีชั่วขณะ
ฉันดึงเจิ้งฉู่เย่าที่เดินนำไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ถือโอกาสคล้องกระเป๋าหนังสือไว้ที่บ่าเขา
ไม่สนแล้ว ประกาศอำนาจก่อนค่อยว่า!
“ไม่พาฉันไปเดินชมโรงเรียนหน่อยเหรอ วันนี้ฉันมาโรงเรียนเป็นวันแรก ยังไงก็แนะนำบริเวณรอบๆ ให้ฉันหน่อยสิ” ฉันเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เตือนให้เจิ้งฉู่เย่าระวัง ‘ความประพฤติ’ ของเขา
“ใกล้จะถึงคาบค้นคว้าด้วยตนเองตอนเช้าแล้ว” เขาปฏิเสธฉันด้วยเสียงเนือย ขายาวก้าวไปด้านข้าง หลบเงื้อมมือฉันไปได้อย่างแนบเนียน ขณะเดียวกันกระเป๋าหนังสือก็กลับมาอยู่บนบ่าฉัน
“ขอทางหน่อยๆ” ตรงสวนมีเด็กผู้หญิงหน้าตาสะสวยวิ่งมาแต่ไกล ในมือถือแก้วกาแฟหนึ่งแก้วเอาไว้ ผมหางม้าเป็นเอกลักษณ์สะบัดไปมาอย่างทรงพลัง…เป็นเธอจริงด้วย!
ไม่จริงน่ะ! มีตลกร้ายแบบนี้ด้วยเหรอ
‘หญิงสาวยากจนในโรงเรียนมัธยมเก่าแก่ชื่อดัง’ ฉันหาคำอธิบายมาประกอบภาพที่เห็นภายในชั่ววินาที นี่มันเรื่อง ‘รักใสใสหัวใจสี่ดวง’ นี่นา! ฉันมองตามทิศทางที่อวี๋ยางยางวิ่งไป สายตาพลันหยุดนิ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนพิงเสาหินอ่อน รูปร่างสูง สวมเสื้อยืดสีขาวลายขวาง บนหัวสวมหมวกเบสบอลโดยกดปีกหมวกลงต่ำ แว่นตากรอบดำอำพรางดวงตาสีดำคมกริบคู่นั้นเอาไว้ไม่มิด มุมปากแม้จะประดับรอยยิ้มจางๆ หากแต่ทั้งตัวกลับปล่อยความเย็นชาไม่น่าสุงสิงด้วย
จุดสำคัญคือลักยิ้มน้อยๆ นั้นคุ้นตามาก…
เจียงเนี่ยนอวี่! นายอย่านึกว่าใส่แว่นแล้วฉันจะจำนายไม่ได้!
“นี่ รุ่นพี่เสี่ยวอวี่ กาแฟเย็นของพี่ค่ะ” อวี๋ยางยางเอาหลอดดูดเสียบให้แล้วค่อยยื่นกาแฟเย็นส่งให้เจียงเนี่ยนอวี่ บริการอย่างถึงระดับประทับใจ
“ขอบคุณ” เขาเอ่ยด้วยเสียงเบา ลักยิ้มเล็กๆ ตรงแก้มเป็นรอยบุ๋มลงไปยิ่งขึ้นพร้อมกับเอ่ยชม “อร่อยมาก”
ได้ยินดังนั้นอวี๋ยางยางก็ยิ้มไปทั้งหน้า เจียงเนี่ยนอวี่ทำไมถึงมาที่เซนต์เลออน ไม่ได้ใส่ชุดยูนิฟอร์ม ดูแล้วไม่เหมือนนักเรียนที่จะมาเข้าเรียนเลย
ทักหรือไม่ทักดี?
ช่างเถอะ อย่าหาเรื่องจะดีกว่า
ฉันกำลังคิดที่จะผละไปอย่างเงียบๆ กลับพบว่าสีหน้าเจิ้งฉู่เย่าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ท่าทางพร้อมประจันหน้า
เป้าหมายเสียงกรี๊ดกร๊าดของหญิงสาวผู้คลั่งไคล้เปลี่ยนไปยังชายหนุ่มคนนั้น “พระเจ้า! รุ่นพี่เสี่ยวอวี่!”
“ฮือๆ…รุ่นพี่เสี่ยวอวี่หล่อมาก ชีวิตนี้ได้เจอรุ่นพี่เสี่ยวอวี่อีกครั้ง ถึงตายฉันก็ไม่เสียดายแล้ว!”
“ตำนานแห่งเซนต์เลออน เจียงเนี่ยนอวี่! หลังจากแข่งขี่ม้ารอบชิงชนะเลิศระดับโลกเมื่อปีที่แล้วเขาก็พักการเรียนไป วันนี้มาปรากฏตัวที่นี่ หรือว่ามีแผนจะกลับมาเรียนกัน?”
หลังจากที่อวี๋ยางยางเห็นเจิ้งฉู่เย่า รอยยิ้มบนใบหน้าก็ชะงักไป เจียงเนี่ยนอวี่ซึ่งอยู่ข้างเธอรับรู้ถึงความผิดปกติของเธอก็มองมาทางพวกเรา
พวกเราสี่คนมองกันไปมองกันมา
ได้เจอกับเจียงเนี่ยนอวี่อีกครั้ง รอยยิ้มของฉันก็เปลี่ยนไป ดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย
ฉัน เจิ้งฉู่เย่า อวี๋ยางยาง เจียงเนี่ยนอวี่ ทั้งสี่คนสบประสานสายตากันกลางอากาศ ปล่อยประกายไฟออกมา
วงล้อแห่งโชคชะตาค่อยๆ เคลื่อนตัว ราวกับละครวัยรุ่นน้ำเน่ากำลังแสดงสดอยู่ตรงหน้าฉัน
ฉันกลอกตามองบนราวกับได้ยินเสียงหัวเราะชั่วร้ายจากคนเขียนบทบนเมฆ
น้ำเน่า? บทห่วย? ช่วยไม่ได้ คนดูชอบดู พวกเธอก็รับชะตากรรมซะ!
เจิ้งฉู่เย่าสาวเท้าไปหาสองคนนั้น ดูออกเลยว่ากำลังควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวภายในใจไว้อย่างเต็มที่
เขามองอวี๋ยางยางแวบหนึ่งแล้วค่อยหยุดสายตาที่เจียงเนี่ยนอวี่ “รุ่นพี่ ไม่เจอกันนานเลย หนึ่งปีได้แล้วสินะ”
เจียงเนี่ยนอวี่ส่งเสียงอืมเบาๆ รอยยิ้มบนใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์แฝงความหมายลึกซึ้งเอาไว้ “งั้นเหรอ เกือบจะหนึ่งปีแล้วเหรอ งั้นก็ไม่ได้เจอกันนานจริงด้วย”
พูดจบก็ดูเหมือนกับว่าเขาเหลือบมองฉันแวบหนึ่ง ประโยค ‘ไม่เจอกันนาน’ นั้นรู้สึกเหมือนเขากำลังบอกฉันอยู่
เมื่อฉันรู้สึกตัวก็ดึงชายเสื้อของเจิ้งฉู่เย่าพลางครุ่นคิดว่าควรจะตอบเขาว่า ‘บังเอิญจัง เจอกันอีกแล้ว ทุกครั้งที่เจอก็อยู่ในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนตลอดเลย’ หรือว่าหุบปากไปเสียดีกว่า
“ระยะนี้รุ่นพี่สบายดีไหม” เจิ้งฉู่เย่าถาม
ฉันฟังออกว่าผู้ชายทั้งสองคนทักทายกันอย่างผิวเผินดูเหมือนจะปกติ ที่จริงแอบซ่อนเกลียวคลื่นเอาไว้
“นายคิดว่าไงล่ะ” เจียงเนี่ยนอวี่ไม่ได้ตอบแต่ย้อนถามกลับ
“คิดว่ารุ่นพี่ค่อนข้างยุ่ง หนึ่งปีมานี้ไม่ได้ข่าวคราว หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย” แววตาของเจิ้งฉู่เย่าเปลี่ยนเป็นคมกริบ สีหน้าเหมือนกำลังอดกลั้นอะไรอยู่ เขาไม่สนใจฉันแล้วมองไปที่เจียงเนี่ยนอวี่
“นั่นเป็นความผิดของฉัน” เจียงเนี่ยนอวี่สบแววตาลุกโชนนั้นอย่างใจเย็นพลันส่งยิ้มจางๆ “ไม่ว่ายังไง ได้เจอนายอีกครั้ง ฉันดีใจมากนะ”
…พูดเสร็จเขาก็ยืดแขนออกไป ท่าทางเหมือนต้องการจะดึงเจิ้งฉู่เย่าเข้าไปในอ้อมกอด เจิ้งฉู่เย่าจอมซึนก็เอะอะเสียงดัง “เกลียดอ่ะ เกลียด รุ่นพี่ ผมไม่มีทางยกโทษให้รุ่นพี่…”
ชายหนุ่มชุดขาวพูดออกมา “ที่รัก ฉันคิดถึงเธอมาก” ได้ยินแล้วเจิ้งฉู่เย่าจอมซึนก็น้ำตานองหน้า โผเข้าไปในอ้อมกอดของชายหนุ่มชุดขาว…
เหอะ! เนื้อหาข้างบนนั้นล้วนไม่ได้เกิดขึ้นเลย ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะในหัวฉันคนนี้หมกมุ่นเกินไป
กลับมาที่โลกแห่งความเป็นจริง เจิ้งฉู่เย่าปัดมือของเจียงเนี่ยนอวี่ที่ยื่นมาอย่างเป็นมิตรโดยไม่สนสายตาใคร “ฉันไม่ยินดีต้อนรับรุ่นพี่กลับมาเซนต์เลออนเลยสักนิด!”
ฉันอ้าปากค้าง ยิ่งมั่นใจเข้าไปอีกว่าความสัมพันธ์ของสามคนนี้มัน…โอ้โห!
คำพูดของเจิ้งฉู่เย่าเปลี่ยนให้ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ มือของเจียงเนี่ยนอวี่นิ่งค้างกลางอากาศด้วยความกระอักกระอ่วน
อวี๋ยางยางรีบดึงมือของเจียงเนี่ยนอวี่ พยายามคลายบรรยากาศตึงเครียดระหว่างเขากับเจิ้งฉู่เย่า ใครจะรู้ว่าการกระทำที่ดูสนิทสนมโดยไม่ตั้งใจนั้นล้มคนขี้หึงอย่างเจิ้งฉู่เย่าให้น็อคเอาต์ไป เห็นเขาเพียงกำหมัดแน่นอยู่เงียบๆ
ท่าทางแบบนี้…แสดงว่าฉากคลาสสิกของละครวัยรุ่นอย่างฉาก ‘พระเอกพระรองแลกหมัดกันแย่งสาวสวย’ กำลังจะเริ่มแสดงแล้วสินะ
แววตาของฉันพลันเปล่งประกายวิบวับ!
“รุ่นพี่ ไม่ใช่ว่ารุ่นพี่กลับมาจัดการเอกสารเรื่องกลับมาเรียนหรอกเหรอ ฉันไปกับรุ่นพี่ด้วย” อวี๋ยางยางทำปากคว่ำ “อย่าไปสนใจเขา คนคนนี้ก็ชอบทำตัวเป็นเด็กๆ ไร้มารยาทแบบนี้แหละ เราไปกันเถอะ”
หลังจากที่เธอพูดประโยคยั่วยุเจิ้งฉู่เย่าประโยคนี้ออกมา ก็เท่ากับได้เติมเชื้อเพลิงให้กับความโกรธของเขาไปโดยสมบูรณ์
ใบหน้าของเจิ้งฉู่เย่าเคร่งเครียด “อวี๋ยางยาง เธอพูดอะไร”
“พูดว่านายทำตัวเป็นเด็ก ไร้มารยาท!” อวี๋ยางยางแผดเสียงด้วยความเย็นชา แอบมองฉันแวบหนึ่งและกำลังจะลากเจียงเนี่ยนอวี่ออกไป
มือหนึ่งของเจิ้งฉู่เย่าคว้าอวี๋ยางยางเอาไว้แน่นแล้วดึงมา หญิงสาวไม่ได้เตรียมใจเลยสักนิด พลันปะทะเข้ากับอ้อมกอดเขา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของเจิ้งฉู่เย่าวางอยู่ตรงเอวของเธอ คนทั้งคู่กอดกันอย่างแนบชิด
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที!
ฉากงดงามถูกหยุดไว้ ในตอนนี้ส่วนลึกในใจของฉันมีเพลงประกอบดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว…
ฉันลองมองเจียงเนี่ยนอวี่ เขาหรี่ตาเล็กน้อย แววตาปรากฏรอยยิ้มหยอกเย้ากำลังมองมาทางฉัน ฉันกระแอมกระไอออกมา ย้ายสายตาไปที่ละครวัยรุ่นน้ำเน่าซึ่งกำลังแสดงอย่างสมจริงอยู่ที่สวนของโรงเรียน เห็นเพียงแก้มแดงของหญิงสาว ส่วนชายหนุ่มหายใจรัวเร็ว
โอเค เขาควรปล่อยมือได้แล้ว เกินสิบวินาทีจะถือว่าเป็นการล่วงเกินแล้ว!
“เจิ้งฉู่เย่า นายปล่อยมือนะ!” ในที่สุดอวี๋ยางยางก็มีปฏิกิริยา บิดตัวพยายามสลัดออกจากอ้อมกอดเขา
เธอเหลือบมองฉันด้วยความตื่นตระหนก เพราะกลัวว่าจะทำให้ฉันเข้าใจผิดจึงรีบพูดให้เข้าใจชัดเจน “หลินซิงเฉิน เธออย่าเข้าใจผิดนะ”
ฉันยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เจิ้งฉู่เย่ากลับชิงพูดตัดหน้า “รุ่นพี่ ขอโทษทีนะ ดูเหมือนอวี๋ยางยางจะมีเรื่องเข้าใจฉันผิดเล็กน้อย ฉันอยากพูดกับเธอให้เข้าใจ”
เจียงเนี่ยนอวี่ตกตะลึง แล้วจึงปรากฏรอยยิ้มบางกับลักยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์นั่น “พวกนายค่อยๆ คุยกัน ฉันไปจัดการเอกสารกลับมาเรียนต่อก่อนล่ะ” หลังจากพูดจบก็จากไปเร็วราวกับสายลม
ใบหน้าเล็กของอวี๋ยางยางมีสีหน้าผิดหวัง เธอมองไปยังแผ่นหลังของเจียงเนี่ยนอวี่ อ้าปากเหมือนจะตะโกนเรียกเขาเอาไว้ หันหน้ามาก็เห็นท่าทางภาคภูมิใจของเจิ้งฉู่เย่าเลยออกแรงสะบัดมือเขาออกแล้วรีบตามเจียงเนี่ยนอวี่ไป
เห็นหญิงที่รักหนีไปกับตา แม้แต่คำขอโทษเจิ้งฉู่เย่าก็ไม่ได้ทิ้งไว้ให้ฉัน เดินตามอวี๋ยางยางไปติดๆ
เดี๋ยวก่อน! พวกเขาบอกว่าจะไปก็ไปได้อย่างนั้นเหรอ อีกอย่างฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!
“หยุดนะ!” ฉันรีบกางแขนทั้งสองข้างขวางหน้าเขาไว้ “เจิ้งฉู่เย่า นายลองกล้าตามไปดูสิ!” น้ำเสียงของฉันแข็งกระด้าง วางท่าทางเหมือนราชินีในวัง
คิดดูนิดหน่อยก็พอจะรู้ว่าเจิ้งฉู่เย่าจะตอบกลับคำพูดของฉันว่ายังไง ถ้าหากเขาเชื่อฟังเช่นนี้ เขาก็ลดคุณค่าตัวเองเกินไป
ดังนั้นฉันจึงถูกเมินอีกครั้ง
หลังจากทั้งสามคนไปแล้ว กลุ่มคนโดยรอบที่มาดูละครก็สลายตัวไป ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ฉันราวกับไม่มีตัวตน เหมือนกับไม่ได้เกี่ยวข้องตั้งแต่แรก!
ตอนนี้เอง เสียงออดเข้าเรียนคาบค้นคว้าด้วยตนเองตอนเช้าดังขึ้นมาตามเวลา ฉันยืนอยู่ในสวนที่ว่างเปล่า ฟังเสียงออดซึ่งดังเป็นเวลานานพร้อมกับยืนรับลม ในใจรู้สึกเหงา อ้างว้างแบบที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก
ในโรงเรียนแห่งนี้เกิดเรื่องมากมายเกินไป ไม่ว่าจะเป็นอดีตที่ผ่านไปแล้วหรือว่าที่กำลังเกิดขึ้น แต่ฉันกลับไม่สามารถเข้าไปได้เลย ฉันสัมผัสไม่ได้แม้แต่วงนอก ความรู้สึกนี้ทำให้ฉันท้อแท้มาก
หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เตรียมจะโทรไปร้องไห้คร่ำครวญกับอาจารย์ใหญ่ จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นราวกับคนปลายสายสามารถติดต่อทางจิตกับฉันได้…เป็นแม่ใหญ่
[ชอบของขวัญวันเปิดเทอมที่ฉันส่งไปให้ไหม] น้ำเสียงของแม่ใหญ่มีแววเยาะเย้ยประชดฉัน [คู่หมั้นรับเธอไปเรียนด้วยตัวเอง รสชาติเป็นยังไง เขาเชื่อฟังดีใช่หรือเปล่า]
“คุณทำอะไรกับเจิ้งฉู่เย่าและอวี๋ยางยางกันแน่”
[ทำอะไร? หลินซิงเฉิน ระวังน้ำเสียงที่เธอพูดหน่อย เธอกำลังสอบปากคำฉันเหรอ]
“ได้ คุณผู้หญิงเฉินหมิงลี่ผู้งดงามและสูงส่ง ขอถามหน่อยว่า ‘บทลงโทษ’ อะไรที่คุณทำกับคู่หมั้นของลูกสาวคุณ” ฉันไม่ได้โมโห เพราะแม้แต่จะโมโหยังรู้สึกเหนื่อย ฉันเพียงแค่ไม่มีทางเลือก
[พูดว่าลงโทษคงจะไม่ได้! เพียงแต่เป็นการ ‘แนะนำ’ เล็กน้อยแค่นั้น…] แม่ใหญ่พูดยั่วแหย่ [ถือว่าเขาโชคดีที่นักข่าวก๊อสซิปคนนั้นกับฉันรู้จักกันเป็นการส่วนตัว รูปเหล่านั้นจึงถูกฉันสกัดเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคงเป็นข่าว จุ๊ๆ…ฉันว่าพาดหัวข่าวนั้นต้องลงว่า ‘ไฮโซหนุ่มทิ้งคู่หมั้นเพื่อสาวเสิร์ฟ’ หรือ ‘พนักงานสาวยากจนจับลูกชายเศรษฐี’ แน่ๆ]
“ทำไมคุณถึงต้องทำแบบนี้”
[แน่นอนว่าเพื่อขอร้องให้ว่าที่ลูกเขยฉันมาช่วยถ่ายรูปโฆษณาสินค้าแบรนด์ใหม่ไงล่ะ] เสียงของแม่ใหญ่ดังขึ้นอีกระดับ ปกปิดความภูมิใจที่พวกเราตกอยู่ในกำมือเธอเอาไว้ไม่มิด [ขอให้คนช่วยก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเสียหน่อย แต่เงินเป็นสิ่งที่ฉู่เย่าไม่เคยขาดเลย ฉันคิดพิจารณารอบคอบแล้ว ดูเหมือนว่าเขาน่าจะสนใจรูปภาพเหล่านั้น…]
ฉันขบริมฝีปากล่าง “งั้นคุณก็ไม่ควรเอาอวี๋ยางยางไปข่มขู่เขา!”
[ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ฉันก็เจ็บใจแทนลูกสาวของฉันไง ยังไม่ทันได้แต่งงาน ฝ่ายชายก็มีหญิงอื่นแล้ว นี่มันใช้ได้ที่ไหน เธอน่ะเป็นหัวแก้วหัวแหวนของสกุลหลินนะ!] น้ำเสียงของแม่ใหญ่ช่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเสียจริง [อีกอย่างเลย ฉันปรานีแล้วนะที่ไม่ได้เอาเรื่องนั้นมาทำให้เป็นเรื่องใหญ่]
“ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องมายุ่งให้มากเรื่อง” หัวฉันปวดตุบๆ ขึ้นมา “เรื่องของเขากับผู้หญิงคนนั้น หนูจะจัดการเอง”
[มีตรงไหนที่ต้องการให้ฉันช่วย บอกได้เลยนะ เธอก็รู้ว่าสามีผู้ล่วงลับของฉันมีแค่เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว]
น่าหงุดหงิดจริง
“วางล่ะนะคะ บาย” ฉันวางสายทันที ไม่นานโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาอีก ฉันรับสายอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “ฮัลโหล? ยังมีคำสั่งเสียอะไรจะบอกอีก รีบพูดมา ฉันยุ่ง”
ปลายสายเงียบไปไม่กี่วินาทีก่อนเอ่ยว่า [ซิงเฉิน?]
ใจฉันเต้นตึกตัก มองหน้าจอโทรศัพท์ ชื่อคนที่โทรเข้ามาปรากฏเป็นคำห้าคำ ‘เมิ่งซีรีบหย่าเร็ว’ เมื่อกี้ฉันพูดออกไปว่าให้เขารีบสั่งเสีย…อ๊ายๆๆ!
“คุณอา…เมิ่งซี อืม…” ฉันเหงื่อออกเหมือนไปตากฝนมา “สวัสดีค่ะอาจารย์ใหญ่!”
[เซิงเฉิน] เสียงเขาเบามากราวกับเจือคำขอโทษ [ตอนเช้าอามีประชุมด่วนเลยให้ฉู่เย่าไปรับเธอ เธอจะไม่โทษอาว่าพูดคำไหนไม่เป็นคำนั้นใช่ไหม]
“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันจะไปกล้าคิดอะไรยังงั้นได้เหรอ “อาอย่าใส่ใจเลย”
[โรงเรียนเซนต์เลออนกว้างมาก ชมรมบางชมรมอยู่ค่อนข้างไกล เธออย่าเดินมั่วๆ นะ อาจะให้ฉู่เย่าพาเธอไปห้องเรียนก่อน] ให้ฉู่เย่าพาฉันไปห้องเรียน? วิ่งไปไม่เห็นแม้แต่เงาตั้งนานแล้ว พึ่งเขาสู้พึ่งตัวเองเสียดีกว่า
“อืม โอเค อาอย่าเป็นกังวลเลยค่ะ…” ฉันก้มหน้ามองดูเงาที่แสนเหงาหงอยของตัวเองพลางกัดฟันพูด “ฉู่เย่าดูแลหนูดีมาก”