Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 4
ฉันอ่านประวัติโดยย่อของโรงเรียนพลางมองหาห้องเรียนของตัวเอง
โรงเรียนมัธยมเซนต์เลออนแบ่งเป็นมัธยมต้นกับมัธยมปลาย เนื่องจากเน้นระบบการเรียนการสอนชั้นเยี่ยม แม้โรงเรียนจะมีขนาดใหญ่แต่จำนวนนักเรียนกลับไม่ถือว่ามาก นักเรียนรวมกับบุคลากรทุกคนมีไม่เกินหนึ่งพันคน โรงเรียนตั้งอยู่บนเขา…ไม่สิ บอกว่าตั้งอยู่บนเขายังดูเกรงใจมากเกินไป ควรจะพูดว่ายอดเขาทั้งหมดล้วนเป็นอาณาบริเวณเซนต์เลออน
อาณาเขตเซนต์เลออนกว้างใหญ่ มีทะเลสาบธรรมชาติแห่งหนึ่ง ทะเลสาบที่สร้างขึ้นสองแห่ง น้ำพุสไตล์กรีกสามแห่ง ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ สวนขนาดพันผิง สนามหญ้ากว้างใหญ่…โรงละครกลางแจ้งทรงกลมซึ่งเทียบเท่ากับโรงละครแห่งชาติ บรรดาครูนักเรียนมักจะจัดการแสดงหรือคอนเสิร์ตต่างๆ ที่นี่
สำหรับหนุ่มๆ ไฮโซที่มีเวลาว่างทั้งวันมักออกกำลังเพื่อกล้ามซิกซ์แพ็กส์แน่นๆ และวีเชฟ ที่นี่ก็คือสวรรค์เลยล่ะ!
สถานที่สำหรับเล่นกีฬาแต่ละอย่างล้วนมีสิ่งพื้นฐานครบครัน ไม่ว่าจะสนามบาส สนามเทนนิส สนามแบดมินตัน…ที่โรงเรียนปกติควรมีก็ไม่มีขาดเลย หรูหราขึ้นมาหน่อยก็เป็นพวกสนามบอล สระว่ายน้ำที่มีลู่แข่งระดับโอลิมปิก สนามกีฬาโครเกต์ สนามขี่ม้า โรงยิม…และไฮโซสุดๆ อย่างสนามกอล์ฟ สนามแข่งรถ (นักเรียน ม.ปลาย แข่งรถได้?) แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะมีลานแฮงก์ไกลดิ้งด้วย?!
โชคดีที่ที่นี่ไม่มีหิมะตก ไม่อย่างนั้นคาดว่าแม้แต่ลานสกีก็คงมี!
นอกจากนั้น เพื่อดูแลวิถีชีวิตปกติของคุณหนูคุณชายที่มาจากตระกูลไฮโซ ถึงขนาดมีทุ่งหญ้า ไร่นา ห้องอาหารที่จัดเตรียมอาหารสดที่สุด จากธรรมชาติที่สุดให้แก่นักเรียน มีวัตถุดิบชั้นหนึ่ง และยังเชิญเชฟจากโรงแรมห้าดาวมาเป็นพิเศษ พิถีพิถันในการปรุงอาหารแต่ละจาน ดูแลการกินของเหล่าครูและนักเรียน รวมไปถึงมีนักโภชนาการ เทรนเนอร์พิเศษที่คอยวัดสัดส่วนร่างกายและทำตารางออกกำลังกายให้คุณ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าค่าเทอมต้องแพงมาก!
มีคนบอกว่าด้านหลังเขามีบ่อน้ำพุร้อนแห่งหนึ่ง สำหรับคณะครูไว้ผ่อนคลาย พักผ่อนช่วงวันหยุด หรือกิจกรรม ‘การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ’ ทุกด้านเป็นพิเศษ (ซึ่งบนเว็บบอร์ดบอยส์เลิฟจะถูกเรียกว่า ‘สวนด้านหลัง’)
นี่โรงเรียน? ที่จริงก็คืออาณาจักรเล็กๆ ที่เป็นอิสระ
บริเวณหลักๆ ของโรงเรียนคือตึกกำแพงสีแดงปูกระเบื้องสีเขียว มองแล้วเหมือนกับปราสาทสไตล์ยุโรป ใช้ทางเดินอิฐแดงเป็นทางเชื่อม ริมระเบียงทางเดินปลูกต้นกุ้ยเต็มไปหมด กลีบดอกขาวราวหิมะห้อยย้อยลงมาจากยอดไม้ กลิ่นหอมรุนแรงฟุ้งกระจายไปทั่ว บรรยากาศงดงามอย่างยิ่งและ…ชวนหลงทางที่สุด! สำหรับคุณหนูอย่างฉันแล้วที่นี่ราวกับเขาวงกตแสนกว้างใหญ่ยังไงยังงั้น!
เดินอยู่พักหนึ่งฉันก็ยังคงหาห้องเรียนของตัวเองไม่เจอ ฉันบ่นงุ่นง่าน “โรงเรียนใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่สร้างบันไดเลื่อนหรือรถรับส่งหน่อยนะ…”
โดยไม่ทันคาดคิด มีผู้ชายคนหนึ่งยื่นตัวออกมาจากหน้าต่างทรงสี่เหลี่ยมพลางโบกมือมาทางฉัน
“เฮ้!” เขาส่งรอยยิ้มสดใสอย่างไม่มีใครเทียบ ผมสีชานมอ่อนประบ่า ผิวขาวสว่าง มองแล้วเครื่องหน้าคมชัดกว่าคนปกติ ริมฝีปากสีชมพูอ่อน ดวงตาเป็นสีฟ้าเหมือนตาของแมว
ที่เซนต์เลออนมีนักเรียนต่างชาติไม่น้อยเลย ดูเหมือนว่าฉันจะเจอกับ ‘ฝาหรั่ง’ เข้าแล้ว
“Heaven must be missing an angel! (สวรรค์ต้องลืมนางฟ้าเอาไว้แน่!)” เขาพูด
ต้องยอมรับว่าถูกเอ่ยชมแบบนี้รู้สึกดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำชมนี้ออกมาจากปากของนักเรียนชายต่างชาติผู้หล่อเหลาคนหนึ่ง
“Thank you” ฉันรับคำชมจากเขาด้วยความยินดี “Nice to meet you. Bye bye! (ยินดีที่ได้รู้จักนะ บ๊ายบาย!)” ใช้ประโยคภาษาอังกฤษเบสิกครบแล้วก็เตรียมตัวจะจากไป
เขารีบหยุดฉันเอาไว้ “Wait! But you owe me a coffee. (เดี๋ยวก่อน! เธอติดกาแฟฉันแก้วหนึ่ง)”
“What? (อะไรนะ?)”
“Because when I looked at you from the window, I dropped mine. (เพราะตอนที่ฉันเห็นเธอจากหน้าต่าง ฉันถึงกับทำกาแฟของฉันตกพื้น)” เขาเอ่ยด้วยความรักใคร่
ฉันไม่เข้าใจ เพราะอะไรหนุ่มหล่อคนหนึ่งถึงได้เปลี่ยนไปหยาบคายได้ในวินาทีเดียว
ฉันกลอกตามองบนพลางเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่สนใจทันที
“อย่ารีบเดินนักสิ ฉันชื่อหยางเหวย ไม่ทราบว่าสุดสวยชื่ออะไร” เขามองกระดาษโพยเล็กๆ ในมือ พูดด้วยสำเนียงแปร่ง “บังเอิญได้พบก็คือมีชะตาต้องกัน มาเป็นเพื่อนกันดีมั้ย”
หยางเหว่ย? ยังกล้ามาจีบฉันอีกเหรอ
“นายกำลังจีบฉันอยู่เหรอ” ฉันเหลือบตามองเขาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“แหะๆ…” ถูกฉันถามโดยไม่อ้อมค้อม เขาหัวเราะแหยๆ เล็กน้อย “ที่แท้แบบนี้เรียกว่า ‘จีบ’ เหรอ!” ฉันทำหน้าหมดอาลัย
เขาลดเสียงลง ขยิบตาส่งมาให้ฉันก่อนเอ่ย “สุดสวย คือแบบนี้นะ ที่จริงแล้วน่ะ ฉันกับเพื่อนร่วมชั้นพนันกันหนึ่งพันยูโรเพื่อขอชื่อกับเบอร์โทรศัพท์เธอ”
ไม่พนันด้วยเงินดอลลาร์ไต้หวันและก็ไม่พนันด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ ลูกชายเศรษฐีพวกนี้ต้องพนันด้วยเงินยูโรถึงจะถูกต้องแล้ว!
มองไปทางด้านหลังของเขา มีชายหนุ่มกำลังกระซิบกระซาบ หัวเราะคิกคักเบาๆ กันอยู่จริงด้วย
ครึ่งร่างของชายหนุ่มตาแมวแทบจะเกยอยู่บนกรอบหน้าต่าง โน้มตัวลงมาเอาริมฝีปากเข้าใกล้กับใบหูของฉัน “เอางี้ เรามาปรึกษาหารือกันหน่อย…”
ฉันกำหมัด อยากจะดึงปกเสื้อเขาให้ร่วงลงมาจากหน้าต่าง หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าไม่กี่ครั้งฉันก็ควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้
“หารืออะไร”
“เธอโกหกบอกอะไรฉันมาก็ได้ตามใจเธอเลย หลังจากนั้นเราค่อยมาแบ่งเงินพันยูโรด้วยกัน”
ทีแรกฉันอยากจะบอกว่า ‘งั้นฉันจะเอาเงินพันยูโรฟาดหัวนายแล้วให้นายหายตัวไปจากตรงหน้าฉันคนนี้ซะ!’
แต่พอมองลงก็บังเอิญเหลือบเห็นเข็มสีทองที่อกซ้ายของเขา…หือ? ตานี่ก็ได้รับเข้าเรียนเป็น ‘กรณีพิเศษ’ เหมือนกันนี่! เพิ่มเพื่อนมาหนึ่งคนดีกว่ามีศัตรูเพิ่มมาหนึ่งคน ความคิดชั่วร้ายในหัวโผล่ขึ้นมาแวบเดียว ฉันยืดตัวประชิดกับเขา ส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยความขบขัน “งั้นนายชนะแล้ว ฉันชื่อหลินซิงเฉิน เอามือถือนายมาให้ฉัน”
หนุ่มตาแมวส่งเสียงดีใจ หยิบโทรศัพท์มือถือส่งให้ด้วยความตื่นเต้น
ฉันใช้โทรศัพท์ของเขาโทรหาตัวเองแล้วค่อยส่งคืนให้เขา “เสร็จแล้ว ตอนนี้เรามีเบอร์กันแล้วนะ”
“สวัสดีคุณหลินซิงเฉิน ตอนนี้ให้ฉันแนะนำตัวเองใหม่อีกครั้งนะ” เขาวางท่าสะบัดผมสีชานมเล็กน้อย “ชื่อจีนของฉันคือหยางเหวย เหวยที่มาจากตัวอักษรเหวยของกวีจีนชื่อหวังเหวย แล้วเติมหยดน้ำสามหยดข้างหน้า…” พูดไปด้วยแล้วดึงมือฉันไปเขียนตัวอักษรคำว่า ‘เหวย’ ลงกลางฝ่ามือไปด้วย “หมอดูบอกว่าในชีวิตฉันขาดน้ำเลยเติมมันเข้าไป แต่เธอเรียกฉันว่าวิลเลี่ยมก็ได้นะ แม่ของฉันเป็นคนอังกฤษ พ่อเป็นคนสวีเดน จริงสิ ฉันพูดภาษาจีนได้ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ นั่นเป็นเพราะว่าย่าฉันเป็นคนจีนแต่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ดังนั้นฉันจึงมีสายเลือดคนจีนหนึ่งในสี่ พวกเราทั้งครอบครัวต่างก็รักวัฒนธรรมจีน ดังนั้นถ้าเธอเรียกฉันว่าหยางเหวย ฉันจะดีใจมากเลย”
หยางเหวย บรรพบุรุษไม่ได้บอกเขาเหรอว่าชื่อเขามันเพี้ยนเสียงได้ง่ายขนาดไหน และผู้ชายถูกเรียกว่า ‘หยางเหว่ย’ เป็นเรื่องที่ดีใจไม่ออกน่ะ
หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที หยางเหวยยังคงพูดน้ำไหลไฟดับ “…ครอบครัวฉันทำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านยุโรปเหนือ เธอน่าจะเดาถูก ก็บ้านตระกูลอี๋ยังไงล่ะ แต่ว่าตัวฉันน่ะค่อนข้างสนใจเรื่องออกแบบเสื้อผ้ามากกว่า จนถึงตอนนี้ก็ทำพาร์ตไทม์โดยการเป็นนายแบบแฟชั่น ฉันสนใจหลายอย่างมาก ชอบทำอาหาร อ่านหนังสือ ร้องเพลง…”
“หยางเหว่ย ตอนกลางวันเรามากินข้าวด้วยกันเถอะ แล้วนายค่อยเล่าต่อตอนนั้น” ฉันพูดแทรกคำพูดเขา “แต่ตอนนี้นายช่วยพาฉันไปหาห้องเรียนก่อนได้ไหม”
“เธอเป็นนักเรียนที่ย้ายมา?” ตอนนี้เองหยางเหวยถึงได้สังเกตเห็นเข็มสีทองที่อกซ้ายของฉันแล้วตบหน้าผากเป็นนัยว่ารู้แจ่มแจ้ง “Oh, my god!” ดวงตาคู่ใหญ่ของเขาจดจ้องมาที่ใบหน้าฉัน “เธอคือคู่หมั้นของเย่า!”
ฉันพยักหน้า มือหนึ่งของหยางเหวยเกาะขอบหน้าต่างเอาไว้ หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องเรียนอย่างว่องไว ปากก็ตะโกนไปด้วยว่า “ที่แท้พี่สะใภ้นี่เอง!”
ฉันถูกตะโกนเรียกจนขนลุกไปทั้งตัว รีบห้ามเขาอย่างไว “อย่าเรียกฉันว่าพี่สะใภ้ นายเรียกฉันซิงเฉิน ฉันก็จะเรียกนายหยางเหวย”
“งั้นฉันเรียกเธอว่าเสี่ยวซิงซิงได้มั้ย”
“ไม่ได้!” ฉันมองแรงเขาไปหนึ่งที “นอกจากว่านายจะอยากถูกฉันตี!”
ตอนที่หยางเหวยพาฉันเข้าไปในห้องเรียน นักเรียนที่อยู่ในห้องพลันเงียบกริบ สายตาแต่ละคู่มองมาที่พวกเรา
หลายครั้งที่พวกเขาใช้แววตาสงสัยหยุดลงที่เสื้อฉัน คาดเดาถึงความหมายของเข็มทองที่หน้าอกฉัน
“นักเรียนเข็มสีทองคนที่ห้าปรากฏตัวแล้ว…”
นักเรียนเข็มสีทองคนที่ห้า?
แปลว่านอกจากฉัน เจิ้งฉู่เย่า หยางเหวย ยังมีอีกสองคน?
ฉันโบกมือและยิ้มสบายๆ อย่างเป็นธรรมชาติ “อรุณสวัสดิ์เพื่อนทุกคน ฉันชื่อหลินซิงเฉินเป็นนักเรียนเพิ่งย้ายมาใหม่ ทุกคนช่วยแนะนำด้วยนะ”
หยางเหวยชี้ไปยังที่นั่งว่างในห้องซึ่งติดหน้าต่างพร้อมเอ่ยว่า “นั่นเป็นที่นั่งของเย่า ฉันนั่งข้างเขา”
“แล้วเจิ้งฉู่เย่าล่ะ” นึกถึงแผ่นหลังของเขาที่ไล่ตามอวี๋ยางยางไป ฉันลอบกัดฟัน ทว่าก็เอ่ยถามพร้อมกับสีหน้าที่ยังคงแสร้งไม่สนใจ “เขาบอกนี่นาว่าจะรีบเข้าคาบค้นคว้าด้วยตนเองตอนเช้า”
เซนต์เลออนกำหนดให้แปดโมงเช้านักเรียนต้องถึงโรงเรียน แต่ว่าเวลาเข้าเรียนอิงตามโรงเรียนมัธยมที่อังกฤษคือเก้าโมงเช้าถึงบ่ายสามโมงครึ่ง ด้วยเหตุนี้ก่อนเข้าเรียนนักเรียนสามารถใช้เวลานี้ไปออกกำลังกายหรือเข้าคาบค้นคว้าด้วยตนเองในตอนเช้าก็ได้ และหลังจากเลิกเรียนในตอนบ่ายแล้วนักเรียนก็สามารถจับกลุ่มทำกิจกรรมด้วยตนเองได้
“ไม่มีทาง!” ดวงตาแมวของหยางเหวยเบิกกว้างจนกลม สีหน้าแทบไม่อยากจะเชื่อ “แต่ไหนแต่ไรเจ้านั่นไม่เข้าคาบค้นคว้าด้วยตนเองตอนเช้าเลย”
บางที…อาจไปหาอวี๋ยางยางตลอดเลยสินะ ฉันแอบตอบอยู่ในใจ
ช่างเถอะ อนาคตอีกไกล วันนี้เพิ่งเปิดเทอมเป็นวันแรก รอให้ฉันหาความจริงจากเรื่องราวได้ก่อนแล้วค่อยมาจัดการคู่รักคู่นี้
เซนต์เลออนจัดห้องเรียนเล็กๆ หนึ่งห้องมีคนเยอะที่สุดไม่เกินสิบหกคน มองไปรอบๆ เพื่อนร่วมห้องดูเหมือนจะมากันเกือบครบแล้ว
ฉันแสร้งเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น “งั้น…ฉันต้องนั่งตรงไหน”
“คริสตัล! นั่งตรงนี้! นั่งตรงนี้!” มีผู้หญิงคนหนึ่งกวักมือให้ฉันอย่างสนิทสนม ฉันจำได้ว่าเธอคือผู้หญิงคนที่เมื่อเช้าตะโกนเรียกเจิ้งฉู่เย่าว่า ‘เจ้าชายเย่าของฉัน’
ฉันจะนั่งตรงไหนเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย
ฉันมองเธอนิดหน่อยอย่างเฉยเมยแล้วมองข้ามคำเชื้อเชิญของเธอในทันที ดวงตามองกวาดไปหลายรอบ สุดท้ายสายตาตกไปอยู่ตรงที่นั่งหน้าที่นั่งของเจิ้งฉู่เย่า
เจิ้งฉู่เย่า นายมักจะหลบเลี่ยงฉันเสมอ ให้ฉันมองแผ่นหลังของนาย ทำฉันเกือบจะกลายเป็นภรรยาที่มองสามีจนสุดสายตา ดังนั้นฉันจะนั่งที่นั่งข้างหน้านาย ในคาบเรียนให้นายทำได้แค่จ้องท้ายทอยฉันอย่างเหม่อลอย! ให้นายลองลิ้มรสชาติที่ต้องมองแผ่นหลังของฉันบ้าง!
ชายหนุ่มคนหนึ่งไว้ผมสั้นเกรียน มีมัดกล้ามสีแทนครอบครองที่นั่งข้างหน้าเจิ้งฉู่เย่า ก้มหน้ากัดขนมปังพลางไถไอแพดไปด้วย ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าที่นั่งของเขาโดนฉันหมายปองเป็นอย่างมาก
ฉันเดินเข้าไปใกล้ตัวเขา ตบๆ ลงไปบนไหล่ของเขาแล้วพูดน้ำเสียงเย็นชา “ลุก ฉันอยากได้ที่นั่งตรงนี้ของนาย!”
หยางเหวยลอบเช็ดเหงื่อเงียบๆ พลางดึงที่ชายเสื้อของฉัน “ซิงเฉิน ไม่มีใครแย่งที่นั่งกันแบบนี้”
หนุ่มผมสั้นเกรียนไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสักนิด กินขนมปังหมดไปภายในสองสามคำ ไถไอแพดอีกไม่กี่ครั้งก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน “เย่าบอกว่าก่อนจะจบ ม.ปลาย ฉันต้องนั่งอยู่ที่นั่งตรงนี้ ไม่อนุญาตให้ออกนอกสายตาของเขา”
ประโยคนั้นเป็นไปได้ว่ามาจากเจิ้งฉู่เย่าที่ชอบพูดอย่างไร้เหตุผล แต่ฉันฟังแล้วมุมปากกลับกระตุกน้อยๆ ดูเหมือนว่าศัตรูหัวใจของฉัน…ไม่แยกหญิงหรือชาย
“อย่าพูดมาก ยังไงฉันก็จะนั่งตรงนี้” ฉันไม่ยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด
“หือ?” หนุ่มผมสั้นลุกขึ้นทันที รูปร่างบึกบึนจู่ๆ ยืดกายขึ้นทำเอาฉันตกใจราวกับตกใจระเบิด
สะ…สูงมากเลย…แหย่ผิดคนแล้ว…ฮือ
หนุ่มผมสั้นก้มมองฉันอย่างเย้ยหยัน ความสูงของเขาวัดจากสายตาน่าจะเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบ ยืนอยู่ตรงหน้าฉันเหมือนกับภูเขาลูกย่อมๆ เขาสวมชุดยูนิฟอร์มเซนต์เลออนได้น่าเกรงขามที่สุด เสื้อเชิ้ตติดกระดุมตามอารมณ์ไม่กี่เม็ด แขนเสื้อพับขึ้นมาถึงข้อศอก คอเสื้อแหวกเผยให้เห็นกล้ามสีช็อกโกแลตดูแข็งแรง หล่อเท่มาก…ไม่คิดเลยว่าเจิ้งฉู่เย่าจะชอบแนวนี้ ว่าแต่จะไม่เข้มเกินไปหน่อยเหรอ
“อย่านึกว่านายตัวใหญ่แล้วฉันจะกลัวนะ” ฉันพยายามยืดอก แล้วเอ่ยทำนองว่าตัวเองมีกองหนุนเต็มไปหมด “ฉันเป็นคู่หมั้นที่ตระกูลเขายอมรับ ครอบครัวเขาปกป้องฉันขนาดนี้ นายยอมแพ้เถอะ! พวกนายไม่มีทางได้อยู่ด้วยกันหรอก!”
ที่ไม่ได้พูดออกไปก็คือ ‘ถ้าพวกนายรักกันจริง หากเจิ้งฉู่เย่ามาขอร้องฉัน บางทีฉันอาจจะยอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แล้วให้พวกนายได้แสดงความรักกันอย่างเป็นส่วนตัว’
หนุ่มผมสั้นจับฉันหมุนซ้ายทีขวาทีพลางมองตั้งแต่หัวจรดเท้า จู่ๆ คิ้วเข้มก็ขมวดพร้อมกับชูมือขึ้นสูง
ฉันนึกว่าเขาจะตีฉัน ตกใจเสียจนกล้ามเนื้อที่ขาเหมือนเป็นอัมพาต อ่อนแรงจนวิ่งไม่ออก ทำได้เพียงแค่เงยหน้าถลึงตาอย่างดุร้าย “อย่าแตะต้องฉัน! จมูกฉันเพิ่งทำมา มันยังไม่เข้าที่ ถ้านายทำฉัน ฉันไม่จบกับนายแน่!”
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปแล้วระเบิดหัวเราะทันที ฝ่ามือใหญ่แตะที่ผมฉันไม่หนักไม่เบา เขาจับกลีบดอกไม้ออกมาแล้วพูด
“เธอตลกจริงๆ ตลกกว่าอวี๋ยางยางคนนั้นเยอะเลย”
“…” ฉันจ้องเขาด้วยใจที่ยังหวาดผวาอยู่
“ไป่ฉี่ฟั่น แวน”
ตกใจอยู่ไม่กี่วินาทีฉันจึงได้สติกลับมา หนุ่มผมสั้นบอกชื่อภาษาจีนกับภาษาอังกฤษของเขา
แต่ว่า…เพื่อนของเจิ้งฉู่เย่าทำไมชื่อแปลกกันหมดเลยนะ คนหนึ่งชื่อ ‘หยางเหว่ย’ คนหนึ่งชื่อ ‘ป๋อฉี่ฝาน’
นะ…นี่…นี่คุณชายไฮโซพวกนี้ ภาษาจีนของพ่อแม่ย่ำแย่กันหมดเลยเหรอ!
ฉันตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเรียกแค่ชื่อภาษาอังกฤษของเขา “สวัสดีแวน ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ที่ที่เธออยากนั่งฉันยกให้เธอนั่งละกัน” พูดเสร็จเขาก็หยิบไอแพดสอดเข้าไปในกระเป๋าหนังสือ จากนั้นเหวี่ยงกระเป๋าขึ้นบ่าด้วยท่าทีสบายๆ แล้วก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องเรียน
“ฟั่น นายจะไปแบบนี้เลยเหรอ แล้วเย่าจะทำไง” หนุ่มหล่อตาแมวมีสีหน้าเคร่งเครียด ตะโกนเรียกเขาจากข้างหลัง “แล้วฉันจะทำยังไง!”
“พวกนายจัดการกันเองสิ”
พวกนาย จัด การ กัน เอง อ๊าก…อ๊ากๆๆ!
“ฟั่น นายจะไปไหน” หยางเหวยเอ่ยถามไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ
เขาไม่แม้จะหันหน้ามา ยกมือขึ้นโบกให้แล้วพ่นออกมาสองคำ “โดดเรียน”
พอเขาไปแล้วฉันก็ทรุดลงบนเก้าอี้ทันที จับตรงหัวใจที่เต้นรัว “หยางเหว่ย รีบบอกฉันมา! นายและป๋อฉี่ฝานนั่นมีความสัมพันธ์ยังไงกับคู่หมั้นฉัน!”
ฉันต้องใจเย็น ฉันต้องการคนที่จะบอกความจริงกับฉัน ไม่อย่างนั้นหนังในจินตนาการของฉันเป็นได้ปะติดปะต่อเป็นเรื่องเป็นราวอย่างรวดเร็ว เรื่องราวที่ร้ายกาจมาก รุนแรงมาก ห้ามเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีรับชม!
“พวกเรามีชะตาเดียวกัน” หยางเหวยมองแผ่นหลังของไป่ฉี่ฟั่นที่ห่างออกไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก “นั่นคือมิตรภาพลูกผู้ชาย สนิทกันแน่นแฟ้นไม่แยกจากกัน”
“เอาล่ะๆ ฉันรู้ว่าความรู้ภาษาจีนนายไม่เลวเลย แต่รบกวนช่วยใช้ภาษาพูดให้ฉันฟังเข้าใจหน่อย อย่ายกคำพูดในหนังสือมา OK?”
“ก่อนปิดเทอมหน้าร้อน อาจารย์ใหญ่ได้มอบหมายการบ้านพิเศษให้เราทั้งสามคนและให้ส่งหลังจากเปิดเทอม” หยางเหวยสูดจมูก “ฟั่นบอกว่าเขาเขียนเสร็จแล้ว ฉันยังรอจะปรึกษากับเขาอยู่”
“การบ้านปิดเทอมหน้าร้อนมีอะไรให้น่ากังวลกัน” ฉันสูดจมูกฮึดฮัด “ให้ครูส่วนตัวมาทำให้ก็เสร็จแล้ว” ฉันน่ะเรียนหนังสือมาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยเขียนการบ้านอะไรด้วยตัวเองเลย
“แต่ว่ารายงานชิ้นนั้นพวกเราสามคนรวมกลุ่มครูส่วนตัวจากทุกบ้านมาก็ยังทำไม่ได้เลยนะ”
“จะเป็นไปได้ยังไง หัวข้อรายงานคืออะไร”
“การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียที่ไม่เกี่ยวข้องกับเส้นกราฟ”
การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียที่ไม่เกี่ยวข้องกับเส้นกราฟ…อะไรกัน นี่เป็นหัวข้อรายงานเด็ก ม.ปลาย เหรอ
เมื่อเห็นหน้าตาฉันเต็มไปด้วยความมึนงง หยางเหวยก็ใช้ภาษาอังกฤษพูดอีกครั้งหนึ่ง ยังเอ่ยเสริมอีกว่า “อาจารย์ใหญ่บอกว่าต้องยกตัวอย่างจากเรื่องจริง ฉันเขียนเรื่องของประเทศจีน เย่าเขียนประเทศญี่ปุ่น ฟั่นเขียนประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างปิดเทอมหน้าร้อนแต่ละคนได้ไปปรึกษานักเศรษฐศาสตร์…วางแผนกันว่าวันนี้จะมารวมตัวปรึกษากันแล้วสรุปสักหน่อย”
ในห้องจู่ๆ ก็เงียบลง สายตาแต่ละคู่ของทุกคนหยุดรวมอยู่ที่ประตู ฉันมองตามไปก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นค่อยหันหน้ากลับมา
“มองอะไร!” เจิ้งฉู่เย่าโยนกระเป๋าที่อยู่ในมือลงไปบนโต๊ะ เกิดเสียงดัง ‘ปึก’ เพื่อนชายหญิงที่อยู่ใกล้ตกใจเสียจนกระเด้งตัวขึ้น
“จะเข้าเรียนแล้ว! พวกนายจะไปไหน!” สีหน้าเขาดูกดดัน เพื่อนที่ตอนแรกกระเด้งตัวยืนขึ้นมาจึงกลับลงไปนั่งที่ของตัวเองด้วยความเชื่อฟัง
ฉันมึนงงชั่วขณะ ที่แท้อยู่ในห้องเจ้านี่ก็ชอบระรานแบบนี้นี่เอง
ราวกับว่าเจิ้งฉู่เย่าคิดไว้อยู่แล้วว่าฉันจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ เหลือบมองฉันแวบเดียวไม่ได้พูดอะไร กอดกระเป๋าหนังสือต่างหมอนโดยไม่บอกไม่กล่าว เอาหน้าฟุบลงกับโต๊ะท่าทางโดดเดี่ยวเล็กน้อย แสร้งว่ากำลังงีบหลับ แต่ฉันรู้ว่าเป็นไปได้มากที่ศึกไล่ตามก่อนหน้านั้นเขาเป็นผู้แพ้ในเกม
“เฮ้ย เย่า” หยางเหวยไม่กลัวตาย ยื่นนิ้วเตรียมจะดีดที่ไหล่เขา “รายงานนั้นที่อาจารย์ใหญ่สั่งเป็นยังไงบ้าง”
“เขียนเสร็จแล้ว” เขาตอบอย่างเบื่อหน่าย
“จริงเหรอ” หยางเหวยดีใจ “ให้ฉันดูเร็ว”
มือเจิ้งฉู่เย่าสอดเข้าไปในกระเป๋า ควานหาไม่กี่ทีก็หยิบรายงานเย็บเป็นเล่มโยนไว้บนโต๊ะเขาแล้วทำเป็นฟุบแกล้งหลับต่อไป
หยางเหวยตะโกนชื่นชมเสียงดัง “ขอบคุณพระเจ้าที่เมตตา! ฮ่องเต้ของเราโปรดอายุยืนหมื่นๆ ปี!”
รายงานเล่มหนาดูแล้วน่าจะหนักพอควร หน้าปกทำจากกระดาษแข็งและมีตัวหนังสือสีบรอนซ์ หยางเหวยยกขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง เปิดทีละหน้าด้วยความนับถือ ฉันสงสัยเลยคว้ามาอ่าน ในนั้นมีตัวอักษรที่ดูมีชีวิตชีวาเขียนอยู่ว่า
‘เขียน เสร็จ แล้ว โว้ย!’
เขียนเสร็จแล้วโว้ย แค่นี้…ไม่มีอีกแล้ว
หยิ่งเสียยิ่งกว่าจักรพรรดิคังซีเขียนว่า ‘ข้ารู้แล้ว!‘ ในบันทึกเสียอีก
หยางเหวยตัวแข็งเป็นหินไปเรียบร้อยแล้ว
ฉันกุมหน้าผาก นี่ฉันตกมาอยู่ในหลุมประหลาดอะไรกันแน่
ทุกคนยังจำนิทานปรัมปราเรื่องซินเดอเรลล่ากันได้ใช่ไหม ฉันรู้สึกตัวเองคล้ายกับพี่สาวใจร้ายในนิทานเรื่องนั้น
พี่สาวใจร้ายยอมตัดส้นเท้าของตัวเองเพื่อจะสวมรองเท้าแก้วแล้วจะได้เป็นเจ้าหญิง เสียสละมากขนาดนั้น เจ้าชายยังรักเดียวใจเดียวอยากจะยกรองเท้าแก้วมอบให้ซินเดอเรลล่าที่สกปรกมอมแมมอีก
แต่นิทานเปลี่ยนเป็นชีวิตจริงยิ่งไม่สวยงาม นอกจากซินเดอเรลล่าที่จ้องเจ้าชายดุจพญาเสือพร้อมตะครุบแล้ว ศัตรูที่เป็นผู้หญิงคนอื่นๆ ก็อย่าดูถูกเป็นอันขาด
“คู่หมั้นของเจ้าชายเย่าคนนั้นศัลยกรรมมารึเปล่านะ ตากับจมูกดูแล้วปลอมมาก ไม่ธรรมชาติเลย” ไม่ธรรมชาติเหรอ ฉันรีบหยิบกระจกโคชออกมาส่องดู
“ใช่แล้ว ก็เลยไม่เคยเห็นหล่อนยิ้มเลย คงกลัวว่าพอยิ้มแล้วหน้าพัง? ฮ่าๆๆ อีกอย่าง พวกเธอได้สังเกตกันบ้างมั้ยว่าหน้าอกของหล่อนเดี๋ยวเล็กเดี๋ยวใหญ่ เป็นไปได้ว่ายัดฟองน้ำมา”
ฉันก้มหน้ามองหน้าอกของตัวเอง รู้สึกเล็กลงกว่าเมื่อวานไปหนึ่งคัพจริงด้วย เมื่อเช้านอนขี้เกียจนานไปหน่อย ไม่มีเวลามายัด
“จริงด้วย พวกเธอดูสิ ด้านไม่ดีของผู้หญิงคนนั้นในข่าวเยอะมากมาย พยายามฆ่าตัวตายในสระว่ายน้ำโรงแรม W รังแกสาวเสิร์ฟในร้านหม้อไฟ ชายไม่ทราบชื่อเข้าออกบ้านส่วนตัวกลางดึกหลายครั้ง…”
ฉันนั่งบนฝาชักโครกที่แวววาวจนส่องต่างกระจกเงาได้ ก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ ผ่านไปสิบนาทีแล้ว นักเรียนหญิงข้างนอกพูดคุยจอแจเหมือนไม่มีความคิดที่จะออกไปจากห้องน้ำสักที เอาแต่นินทาสาปส่งฉันอย่างไม่ย่อท้อ
“ฮึ วางท่าสั่งนึกว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิง ฉันว่าเป็นโรคเจ้าหญิงมากกว่า ถ้าไม่ใช่ว่าบ้านมีเงิน ฉันก็ไม่อยากสนใจหล่อนหรอก”
“นี่ ฉันเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับชีวิตของหล่อนนะ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ดูเหมือนว่าหลินซิงเฉินจะเป็นลูกนอกสมรสของพ่อ ไม่ใช่เจ้าหญิงจริงๆ ของกลุ่มบริษัทดอลลี่”
“ช็อกไปเลย! ถ้าข่าวลือนี้เป็นจริง งั้นไม่ใช่ว่าเจ้าชายเย่าโดนหลอกเหรอ”
รอพวกเธอนินทาต่อไปได้สักพักฉันจึงเปิดประตูแล้วค่อยๆ ก้าวออกไป กลุ่มสาวๆ เหมือนถูกยอดฝีมือจากยุทธภพกดจุดใบ้พร้อมกัน เงียบกริบกันในชั่วพริบตาเดียว
ฉันเดินไปหน้าอ่างล้างมือ ส่องกระจกแล้วเริ่มลงมือเติมหน้า เอ่ยอย่างไม่สนใจไยดี “ดูเหมือนว่าพวกเธอจะพูดถึงฉันกันนะ ทำไมไม่พูดต่อล่ะ”
ใบหน้าที่แต่งเติมมาเสียหนาเตอะพากันก้มลง
แต่ในบรรดาพวกเธอก็มีคนที่ไม่กลัวตายแม้เจอลมโหมหรือคลื่นแรง ยกตัวอย่างเช่นแม่สาวที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งคนนี้ เธอติดโบดิ้นทอง แต่งตัวเหมือนสาวโลลิ เดินออกมาอย่างห้าวหาญ “พวกเราสงสัยเกี่ยวกับรุ่นพี่ซิงเฉินมาก เรื่องข่าวลือนั่น”
ฉันไม่ได้คิดจะมาอธิบายอะไรให้มาก กลอกตามองบนอย่างแนบเนียนพร้อมกับยอมรับทั้งหมด “อืม ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง อย่าชื่นชมฉันมากเลย”
ต้องรู้ว่าลูกสาวตระกูลดังมักจะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเสมอ คนที่ทำให้ชื่อเสียงตัวเองกระฉ่อนไปในทางที่ไม่ดีเช่นนี้ หาไม่ง่ายเลยจริงๆ
ความนิ่งสงบของฉันทำเอาพวกเธอตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก
“รุ่นพี่มีอารมณ์ขันมากเลย” รุ่นน้องสาวโลลิหัวเราะคิกคักเล็กน้อย “ทั้งที่ถูกสื่อซุบซิบนินทาวุ่นวายมาก แต่ท่าทีของรุ่นพี่ยังคงยิ้มอยู่แบบนี้ เป็นสิ่งที่พวกเรารุ่นน้องควรเอาอย่าง”
“อืม คนที่มีชื่อเสียงมากเกินไปมักจะถูกโยงไปเกี่ยวข้องกับข่าวลือทุกอย่างแบบนี้แหละ” ฉันสะบัดผมอย่างกรีดกราย “คนธรรมดาเหมือนกับพวกเธอ ตลอดชีวิตก็คงไม่อาจเข้าใจได้”
“แหะๆ…” รุ่นน้องสาวโลลิหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะหุบยิ้มลง
ก่อนจะออกไปจากห้องน้ำ “อ้อใช่ รุ่นน้อง” ฉันเอ่ยพลางยื่นมือไปจับหน้าอกใหญ่ๆ ของรุ่นน้องโลลิด้วยสีหน้าหื่น “สัมผัสอ่อนนุ่ม เป็นไขมันจากร่างกายหรือซิลิโคน?”
เธอตกใจอย่างสุดขีด ตอบอย่างอึ้งๆ “ปะ…เป็นไขมันจากร่างกาย…”
“อืม ดีมาก” ฉันชักฝ่ามือกลับด้วยความพอใจ “ฉันจะไปพิจารณาดู ทิ้งเบอร์ของคลินิกให้ฉันด้วย”