“พี่อู่ ทำไมพี่ถึงไม่บอกเขาไปตรงๆ ล่ะว่าฮั่วเซียงอยู่ที่ไหน”
เมื่ออาวั่นขึ้นไปด้านบนแล้ว เข่อเฟยก็มองตาดำช้ำเป็นวงของเจ้านายตัวเอง เลือดไหลออกจากทางจมูก มือยื่นกระดาษทิชชูให้เขาแล้วก็อดที่จะถามไม่ได้
แม้ว่าจะอยู่ที่เรดอายมานานหลายปี แต่เข่อเฟยก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเขา เธอไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมเขาถึงต้องอ้อมโลกถึงจะยอมบอกคำตอบให้กับอาวั่น มันก็น่าโดนต่อยแล้วล่ะ
“ถ้าพูดชัดเจนตั้งแต่แรก บอกให้เข้าใจ อาวั่นก็ต้องไปหาฮั่วเซียงอยู่แล้วไม่ใช่หรือ เขาก็มาตั้งไกลขนาดนี้”
“สามสิบแปดวัน”
หานอู่ฉีรับกระดาษทิชชูที่เข่อเฟยส่งมาให้ เช็ดเลือดที่จมูกออก ยกมุมปากพูดอย่างประชดประชัน “เขาใช้เวลาถึงสามสิบแปดวันถึงจะตามหาฮั่วเซียง ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นถึงยอมรับว่าฮั่วเซียงมีความสำคัญกับเขามากแค่ไหน ฮั่วเซียงไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมห้อง ไม่ใช่แค่ผู้ช่วย หมอนั่นมันไอ้ทึ่มคนหนึ่ง ต้องการคนเคาะกะโหลกแรงๆ สักที ต่อไปเขาจะได้ไม่เสียใจทีหลัง”
เข่อเฟยถึงกับอึ้งไป มองหน้าหัวหน้าแล้วก็ร้องอ๋อ
“พี่อู่ พี่เป็นคนบอกฮั่วเซียงว่าอาวั่นอยู่ที่ไหนใช่ไหม”
“ใช่แล้วยังไง ฮั่วเซียงต้องการคนสอนให้เธอปรับตัวเข้ากับสังคม อาวั่นเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่ฉันคิดออก” แต่พูดกันตามตรงเขาก็คิดไม่ถึงว่าหมอนั่นจะยังยืนหยัดได้ถึงห้าปีโดยไม่จับเธอกิน
“ไม่ใช่มั้ง?” เข่อเฟยถลึงตามองเขา ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “พี่อู่ ไม่ใช่ว่าพี่ยังแค้นเรื่องที่เขาลาออกหรอกนะ”
“ว่าอะไรนะ” เขาเลิกคิ้ว ยิ้มเล็กน้อย “นี่เธอคิดว่าฉันเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยอย่างนั้นเหรอ”
เขาเป็นคนอย่างนั้นแหละ
เธอเกือบจะหลุดปากตอบออกไปแล้ว แต่เพราะถูเจิ้นที่นั่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์เงียบๆ กระแอมขึ้น ทำให้เธอได้สติขึ้นมา
“ไม่ใช่แน่นอน ฉันจะไปคิดอย่างนั้นได้ยังไง พี่อู่ทำแบบนี้ต้องมีเหตุผลของพี่ ไม่ใช่เพราะพี่ยังโกรธที่เขาพูด…”
พูดไปได้ครึ่งเดียวอยู่ๆ เธอก็หยุด
“พูดอะไรนะ พูดให้มันชัดเจนหน่อยสิ”
หานอู่ฉีจ้องมองเธอ สองมือยกมือขึ้นกอดอก หัวเราะอย่างสนิทสนม
“ฮ่า…ฮ่าๆ…ฮ่าๆๆ…” เธอหัวเราะอย่างคนที่ไปไม่ถูก พยายามจะหาข้อแก้ตัว แต่กลับคิดอะไรไม่ออก ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้จึงได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปให้สามี “ใช่แล้ว! อาเจิ้น ตอนนั้นอาวั่นพูดว่ายังไงนะ”
ยังนับว่าเธอฉลาด
ถูเจิ้นแอบอมยิ้มให้กับท่าทางเหมือนกระต่ายน้อยที่ถูกหมาป่าไล่ล่า เห็นแก่ที่เธอรู้ว่าต้องส่งสัญญาณช่วยเหลือมา พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า
“เรื่องตั้งนานมาแล้วใครจะไปจำได้”
พูดได้ดี! ไม่เสียทีที่เป็นอัจฉริยะไอคิวสูงถึงสองร้อย!
เข่อเฟยได้ยินแล้วก็ซาบซึ้งใจอย่างมาก รีบรับความช่วยเหลือของสามีที่โยนมาให้ทันที พูดต่ออย่างรวดเร็วว่า “ใช่แล้ว เรื่องนานขนาดนั้นใครจะไปจำได้ ฉันลืมไปตั้งนานแล้ว”
หานอู่ฉียิ่งเลิกคิ้วสูงขึ้น “แน่ใจนะ”
“แน่ใจ! แน่ใจ! ฉันลืมมันไปหมดแล้ว!” เธอยกมือขึ้นสาบาน “ลืมไปหมดแล้ว คิดไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว…”
ถูเจิ้นเอ่ยกับภรรยา ก่อนที่เธอจะพูดไปเรื่อยจนทำให้เสียเรื่อง
“เข่อเฟย คุณจะเอาขยะไปทิ้งไม่ใช่เหรอ รถขยะมาแล้วนะ”
“รถขยะมาแล้ว? รถขยะไม่ใช่จะมาตอนหก…” เธอช้าไปสักเล็กน้อยถึงจะรับรู้ถึงแววตาของถูเจิ้น แล้วก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที รีบเปลี่ยนคำพูด “อ้อใช่ วันนี้ต้องเอาขยะรีไซเคิลไปทิ้ง ฉันลืมไปเลยนะเนี่ย ฉันไปเก็บขยะรีไซเคิลก่อนล่ะ ไม่งั้นจะไม่ทัน”
พูดจบก็หันหลัง ขยับขาวิ่งขึ้นไปข้างบนอย่างรวดเร็ว พร้อมบอกกับตัวเองอย่างซาบซึ้งใจ
“ท่านอาเจิ้น แม้มิอาจกล่าวขอบคุณ แต่ติงเข่อเฟยคนนี้จะจดจำบุญคุณที่ช่วยชีวิตครั้งนี้ไว้ตลอดไป”
ช่วงนี้พี่อู่มีแรงกดดันเยอะ พี่หลานก็ไม่อยู่ ไม่มีวิธีช่วยลดแรงกดดัน เขามักจะหาโอกาสทรมานพนักงานบ่อยๆ ตอนนี้เหล่าลูกน้องถูกส่งออกไปทำงาน ที่เหลืออยู่ก็ไม่กี่คน เธอจะจำให้แม่นว่าครั้งหน้าจะต้องหลีกให้ไกล ทำงานให้เยอะพูดให้น้อยด้วย
“ทิ้งขยะ”
หานอู่ฉีเลิกคิ้วสงสัย
“วันนี้เป็นวันทิ้งขยะรีไซเคิล” ถูเจิ้นพูดด้วยน้ำเสียงปกติ นิ้วมือเคาะคีย์บอร์ดด้วยความรวดเร็ว พูดรับมุกภรรยาหัวทึ่มของตน “เธอต้องรีบไปคัดพวกขยะไซเคิลออกมา แล้วอีกอย่าง เขิ่นเอินจัดการเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าอยากจะดูไหม”
หานอู่ฉีเก็บรอยยิ้ม สองมือกอดอก เริ่มพูด
“แน่นอน โชว์ให้ดูซิ”
ถูเจิ้นเคาะคีย์บอร์ดอีกสองครั้ง วินาทีถัดมาผนังด้านหน้าแสดงภาพจากโปรเจคเตอร์ขึ้นมาหลายภาพ
หานอู่ฉีดวงตาเป็นประกาย ฉีกยิ้มเผยให้เห็นฟันขาว
เกมนักล่า
ในเมื่อเป็นเกมก็ไม่มีใครกำหนดว่าเขาจะร่วมด้วยไม่ได้
ไม่มีบัตรเชิญ? ไม่ใช่สมาชิก? ไม่ใช่ผู้เล่น?
อย่ามาล้อเล่น! ใครต้องการของพวกนี้กันล่ะ!
ตอนนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว ถ้าเขาไม่ลากสารเลวพวกนั้นออกมา เขาก็ไม่ใช่คนแซ่หาน!