Jamsai
ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 2
เธออ้าปากกำลังจะเถียง แต่แล้วเขาก็เห็นสีหน้าเธอเปลี่ยนไปทันที น่าจะเป็นเพราะเงยหน้าเห็นท้องฟ้ามืดแล้ว จากนั้นเธอก็รีบหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาดู เขาเห็นหน้าจอโทรศัพท์เธอเต็มไปด้วยข้อความแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับ เธอตกใจรีบโทรกลับ
ขณะที่เจ้าของร้านกำลังห่อกระต่ายขาวยักษ์กับบันทึกการเดินทางในแอฟริกานั้น เสียงขอโทษขอโพยของเธอก็ดังไม่ขาดสาย เขามองดูเธอทำท่าโค้งตัวคำนับถี่ๆ ให้กับคนที่อยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ
“ขอโทษค่ะ ต้องขออภัยจริงๆ ฉันหลงทาง ฉันไม่ได้ยินเสียงสายเรียกเข้าเลย ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ…”
หลังจากเธอขอโทษขอโพยซ้ำแล้วซ้ำเล่า นัดเวลากับสถานที่ใหม่ ทั้งยืนยันว่าจะรักษาเวลา แล้วจึงวางสาย
พอเธอหันกลับมาอีกครั้ง เขาก็จ่ายเงินเสร็จแล้ว ถือของที่ใส่ถุงไว้อย่างเรียบร้อย
เธอมองเขา สีหน้าปรากฏแววอิดโรย
เขายื่นหนังสือให้เธอ เธอลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะรับไป
“ราคาเท่าไร”
เขาบอกราคาที่เจ้าของร้านบอกเมื่อครู่นี้ให้เธอ ได้ยินแล้วเธอก็หยิบเงินเยนจากกระเป๋าหนังให้เขาทันที
“ไปกัน” เขารับธนบัตรไปก็ยัดใส่กระเป๋ากางเกงโดยไม่ตรวจสอบ
“ไปไหน” เธอถามงงๆ
“ก็คุณไม่ได้จะไปอาซากุสะหรือ”
“คุณรู้ได้…”
“คุณเพิ่งพูดตอนโทรศัพท์” เขาพูดพลางออกเดินนำ “ผมจะไปขึ้นรถไฟฟ้าพอดี”
เธอมองเขางงๆ ผ่านไปหนึ่งวินาทีก็กอดหนังสือเดินตามเขาไป แต่ก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ตรงนี้มาสองชั่วโมงแล้ว”
ถามออกไปแล้วเธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เลยรีบเสริมว่า “ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับระเบิดหรือกลุ่มผู้ก่อการร้ายอีกละก็ ไม่ต้องบอกฉันล่ะขอร้อง”
“ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับกลุ่มผู้ก่อการร้าย”
เขาพูดยิ้มๆ แต่เธอยังระแวง
“สองชั่วโมงที่แล้วผมผ่านทางมาก็เห็นคุณอยู่ที่นี่”
ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มบูดบึ้ง “คุณเห็นฉันตั้งแต่ตอนเดินผ่านมาก่อนหน้านี้?”
“มีไม่กี่คนหรอกที่ผ่านมาเห็นขนมไดฟุกุยักษ์อยู่บนถนนแล้วจะทำเป็นเมินไปได้ง่ายๆ” เขาพูด อดยิ้มอีกครั้งไม่ได้ “ตอนแรกผมก็คิดว่าคุณหลงทาง แต่พอเห็นคุณหยุดอยู่ที่ร้านหนังสือร้านนั้น ผมก็เลยนึกว่าคุณกำลังตามหาร้านนั้นมาตลอด”
ใบหน้าเล็กๆ ของเธอบูดบึ้งขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะยอมรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักว่า “ฉันหลงทางค่ะ”
ท่าทีไม่ค่อยอยากจะยอมรับของเธอทำให้เขาขำ เขาเลิกคิ้วถาม “บันทึกการเดินทางเล่มนั้นน่าสนใจตรงไหนกัน ผมนึกว่าคุณเป็นนักศึกษาวิจัยด้านประวัติศาสตร์ซะอีก”
“บันทึกการเดินทางก็เป็นประวัติศาสตร์นะ” เธอพึมพำ “เดิมทีประวัติศาสตร์คือสิ่งที่ผู้คนที่แตกต่างจดบันทึกผ่านมุมมองส่วนบุคคลที่แตกต่าง คนรุ่นหลังทำได้เพียงนำสิ่งที่มีการบันทึกไว้กับส่วนเสี้ยวของงานเขียนมาปะติดปะต่อ แล้วร้อยเรียงขึ้นอีกทีจนกลายเป็นเค้าโครงเรื่องที่เลือนราง”
วิธีพูดของเธอทำให้เขาอมยิ้ม
“ส่วนบุคคล? ไม่ใช่ว่าต้องมองตามความเป็นจริงหรือ”
“บนโลกนี้ไม่มีใครที่มองโลกตามความเป็นจริงมากพอ ทุกคนต่างก็ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางในการมองเหตุการณ์กันทั้งนั้น” เธอหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าหากคนเรามองโลกตามความเป็นจริงมากพอก็คงไม่มีการทำสงคราม แต่นี่ก็คือมนุษย์ละ พวกเราต่างโง่เขลา ต่างก็ฉลาดไม่พอ ถึงได้พึ่งพาการใช้ความรุนแรงและการต่อสู้ในการยุติปัญหา จากนั้นถึงค่อยได้บทเรียนจากความทุกข์”
“ผมคิดว่าหลายพันปีมานี้เราผ่านสงครามมามากพอแล้ว”
“ยังไม่พอ” เธออุ้มหนังสือ ถือผ้าเช็ดหน้า ยักไหล่ท่ามกลางลมหนาว “แต่สักวันหนึ่งในอนาคตก็คงจะพอ”
“ทำไมคุณถึงมั่นใจนักล่ะ” เขาหยุดอยู่ที่หน้าประตูข้างของอาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เห็นเธอยังคงเดินต่อไปข้างหน้าเขาก็ยิ้มแล้วยื่นมือออกไปรั้งตัวเธอไว้ “นี่ ทางเข้าอยู่ตรงนี้”
เธอเบิกตากว้าง หยุดที่ปากทางเข้าแล้วมองดูอย่างไม่อยากจะเชื่อ พูดอย่างหัวเสีย “นี่ทางเข้าหรือ เมื่อกี้ฉันเดินผ่านไปตั้งหลายรอบ! ทางเข้าสถานีรถไฟฟ้านี่มันไม่เตะตาสุดๆ!”
“มารูโนะอุจิเป็นรถไฟใต้ดินสายแรกของญี่ปุ่น มันเลยค่อนข้างเก่า จะเล็กไปหน่อยก็ไม่แปลก ผมนึกว่าคุณสนใจของเก่าแก่ซะอีก”
“คุณชอบผู้หญิง ไม่ได้แปลว่าคุณจะสนใจผู้หญิงทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามขวบถึงแปดสิบปี!” เธอพูดโดยไม่หันมามอง
พูดได้ดี
ดวงตาเขาเป็นประกาย เขาเห็นด้วยกับที่เธอพูดพลางเดินตามเธอลงทางเข้าสถานีรถใต้ดินไป
มองดูขนมไดฟุกุที่เดินกระย่องกระแย่งลงบันไดอยู่ตรงหน้าก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอซุ่มซ่ามมากขนาดไหน ชั่ววินาทีนั้นเขาคิดว่าเธอจะกลิ้งตกลงไปราวกับไดฟุกุลูกหนึ่งขึ้นมาจริงๆ
ภาพในหัวทำให้เขานึกอยากจะหัวเราะ เขาพยายามกลั้นเอาไว้ แต่พอเธอมาถึงทางเข้าที่ต้องแตะบัตรเธอดันลืมถอดเสื้อฟลีซใหญ่เทอะทะออก เขาเองก็คิดไม่ถึง เดินเข้าไปในทางเข้าช่องข้างๆ แล้วก็ได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจของเธอ
“อ๊ะ…เฮ้ย…นี่…ใครก็ได้…”
เขาชะงัก พอหันไปมองก็เห็นเธอติดอยู่ในทางเข้าช่องแตะบัตรโดยสาร เสื้อนอกกับกระเป๋าสะพายทำให้ตัวเธอใหญ่เทอะทะเกิน หากว่าเธอตัวสูงกว่านี้อีกสักนิดเธอก็คงจะไม่ติดอยู่แบบนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเธอยังสูงไม่พอ
หญิงสาวติดอยู่ตรงนั้น สีหน้าท่าทางแตกตื่นดูตลกมาก ครั้งนี้เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง แต่ก็ยังมีน้ำใจวางถุงที่อยู่ในมือแล้วหันไปช่วยดึงเธอออกมาจากช่องแตะบัตรโดยสาร
“ไม่ตลกเลยสักนิด!” เธอหน้าแดงจรดใบหู
“คุณควรจะขอบคุณที่ผมช่วยคุณสิ” เขาพยุงเธอให้ยืน
“ขอบคุณที่ช่วย” เธอหน้าแดง รูดซิปเสื้อฟลีซสีขาวแล้วถอดออกพลางย้ำอีกครั้งว่า “แต่ว่ามันไม่ตลกเลยสักนิด!”
“ผิดแล้ว…นี่มันตลกมาก คุณต้องเห็นสภาพตอนคุณติดอยู่ตรงนั้น…” เขาพูดพลางหัวเราะพลาง “พอคุณเก็บไปคิดดูหลังจากนี้ก็จะรู้ว่ามันตลก นี่คุณไปได้เสื้อนอกตัวนี้มาจากไหนเนี่ย”
“ตัวนี้ยายฉันให้มา! พยากรณ์อากาศบอกว่าโตเกียวอาจมีหิมะตก! ฉันก็แค่อยากสวมเสื้อผ้าอุ่นๆ! ฉันไม่ชอบเป็นหวัด!” เธอคว้าเสื้อนอกขาวตัวใหญ่หนาฟูที่ใหญ่กว่าตัวเธอเกือบเท่า พูดกับเขาเสียงกร้าวด้วยความโกรธระคนอาย แล้วรีบร้อนเดินจากเขาไป
เขาก้มตัวหิ้วถุงกระดาษที่เพิ่งวางลงบนพื้นขึ้นมา เดินแค่ไม่กี่ก้าวใหญ่ๆ ก็ตามเธอทัน
เธอยืนต่อแถวอยู่บนชานชาลา เขายืนนิ่งอยู่ข้างหลังเธอ แต่ก็ยังอยากหัวเราะอยู่
เธอโกรธกระฟัดกระเฟียด ใบหน้ายังคงแดงซ่าน ผมดำยุ่งเหยิงชี้ฟูไม่เป็นระเบียบ ดูแล้วน่ารักเหลือเกิน
เขารู้ว่าเธอไม่อยากจะพูดกับเขา เธอเป็นคนฉลาด เธอรู้ว่าไม่ควรเอาตัวไปเสี่ยงกับอันตราย ถึงได้ยืนกรานไม่อยากรับรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ครั้งก่อนเธอก็รีบร้อนเดินทางออกจากกรุงแบกแดดตามคำแนะนำของเขา หนีได้เร็วยิ่งกว่ากระต่ายหนีสิงโตอีก
คนปกติมักไม่อยากมีส่วนเกี่ยวพันกับเหตุระเบิดหรือกับกลุ่มผู้ก่อการร้าย แต่เขาคือคนที่เกี่ยวข้องกับสองสิ่งนี้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ถามชื่อของเขา งานของเขา หรือว่าเขากำลังทำอะไรอยู่