Jamsai
ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 2
เขาก้มมองดูเกลียวผมบนศีรษะเธอ ถามยิ้มๆ ว่า
“เมื่อกี้คุณบอกว่าบางทีอาจมีสักวันที่มนุษย์จะได้รับบทเรียนจากประวัติศาสตร์ในที่สุด จะไม่สร้างสงครามอีกต่อไป ทำไมคุณถึงมั่นใจนักล่ะ คุณพูดเองว่ามนุษย์เรานั้นโง่เขลา”
เธออดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก เขามองเห็นเธอทิ้งน้ำหนักทั้งตัวไปที่เท้าซ้าย ย้ายมาที่เท้าขวา แล้วก็ย้ายกลับไปที่เท้าซ้ายอีก ท่าทางเริ่มอยู่ไม่สุข เขารู้ว่าเธอจะอดใจไม่อยู่ เขาเข้าใจธาตุแท้ของนักวิจัยอย่างเธอดีว่าชื่นชอบการพูดคุยเรื่องยาวๆ มากแค่ไหน
สิบสามวินาทีให้หลังเธอก็เลิกต่อต้านตามที่เขาคาด เอ่ยปากอย่างไม่เต็มใจนักว่า
“ฉันก็ไม่ได้มั่นใจ ฉันแค่มีความหวังเฉยๆ แต่ใครจะไปรู้ล่ะ เมื่อร้อยปีก่อนพวกเรายังทำสงครามโลกกันตั้งสองครั้ง ทำให้คนอดอยากขัดสนไปกว่าครึ่งค่อนโลก ตอนนี้แม้โลกเราจะมีสงครามเป็นบางแห่ง แต่อินเตอร์เน็ตพัฒนาขนาดนี้ ทำให้เข้าถึงข่าวสารได้ไว เมื่อภาพความเลวร้ายของสงครามเผยแพร่ออกมาไม่หยุดหย่อน ถ้าได้ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วฉันก็เชื่อว่าจะต้องมีสักวันที่คนเราจะนำประวัติศาสตร์มาเป็นบทเรียน”
“หรือบางทีคนอาจจะเห็นภาพอันโหดร้ายเหล่านั้นจนกลายเป็นชินชา”
เขาได้ยินตัวเองหลุดคำพูดประโยคนี้ออกไป ชั่วเวลานั้นเขาถึงรู้ตัวว่าไม่ควรพูดแบบนี้ แต่ว่าไม่ทันแล้ว เขาเห็นเธอเกร็งไหล่ขึ้นมาเพราะคำพูดประโยคนี้
รถไฟฟ้ามาถึงพอดี ผู้คนเดินเข้าไปในรถ เธอเองก็เดินเข้าไป เขาตามหลังเธอเข้าไปด้วย บนรถคนแน่นมาก เธอถูกเบียดให้มายืนอยู่ตรงประตู เนื่องจากตัวเตี้ยมากจึงได้แต่จับราวโลหะข้างประตูไว้
ส่วนเขา เนื่องจากตัวสูงพอ เขาจึงไม่จับห่วง แค่วางถุงใส่กระต่ายขาวไว้ข้างเท้า มือหนึ่งจับราวบนสุดของตัวรถ อีกมืออ้อมไหล่เธอมาจับราวเดียวกัน ปกป้องร่างหญิงสาวที่ตัวเล็กกว่าเขามากเอาไว้
รถไฟฟ้าออกตัว คนบนขบวนรถแน่นมาก แต่ส่วนใหญ่ก็จะยืนกันนิ่งๆ นานๆ ทีจึงจะพูดคุยกัน และต่างก็ส่งเสียงเบามากๆ
เธอกอดเสื้อนอกตัวนั้นไว้ มองออกไปยังความมืดภายนอกรถ
รถไฟฟ้าแล่นไปเรื่อยๆ เขาคิดว่าเธอจะไม่พูดกับเขาอีก แต่แล้วก็ได้ยินเสียงของเธอ
“ถ้างั้นคุณชินชารึยัง”
เขานิ่งไป เห็นเธอมองสบตาเขาผ่านเงาของกระจกรถไฟฟ้าที่สะท้อนกลับมา
พริบตานั้นหน้าอกราวกับมีบางอย่างอุดอยู่
จากนั้นเธอก็ถอนสายตาจากกระจกหันมามองเขาโดยตรงแทน เขาลดสายตาลงสบกับดวงตาที่แบ่งแยกขาวดำชัดเจนของเธอโดยอัตโนมัติ
“คุณชินชารึยัง”
เธอเงยหน้ามองเขา ใช้ดวงตาดำที่ใสราวกระจกจ้องเขาเขม็ง เอ่ยปากถามซ้ำอีกครั้ง
ชั่ววินาทีนี้ราวกับว่าหญิงสาวตรงหน้าได้ทะลุผ่านปราการอันแน่นหนาตรงเข้ามาอ่านใจของเขา
รอยยิ้มขบขันที่ประดับตรงมุมปากตลอดเวลาค่อยๆ จางหายไป
รถไฟฟ้ายังคงแล่นต่อไป เขากำราวที่อยู่ด้านบนและเม้มปากแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่กลับไม่สามารถละสายตาจากดวงตาเธอได้
เธอเองก็เอาแต่จ้องเขาอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมละสายตาไปไหน
จากนั้นเขาก็ได้ยินตนเองพูดว่า
“ผมไม่รู้”
รถไฟฟ้าลดความเร็วและหยุดลงในที่สุด
ถึงสถานีอาซากุสะแล้ว
เขาปล่อยราวจับ คว้าถุงเดินตามฝูงชนออกจากรถแล้วหมุนตัวก้าวยาวๆ จากไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเธอตะโกน
“นี่!”
เขาหยุดฝีเท้า หันกลับไปมอง เห็นเธอยืนกอดเสื้อนอกสีขาวกับหนังสือบันทึกการเดินทางเล่มนั้นอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เดินกันขวักไขว่
เธอมีท่าทีลังเลเล็กน้อย เขาสังเกตเห็น สัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นและลังเลของเธอ
จากนั้นเธอก็เอ่ยปากถาม
“คุณชื่ออะไรคะ”
เขานิ่งไปชั่วขณะ
ผู้หญิงคนนั้นกลับสูดหายใจลึกๆ ทำราวกับกำลังจะไปสู้กับสัตว์ประหลาด เธอยืดตัวตรงเดินมาตรงหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วให้
“ทำไม ลืมชื่อตัวเองหรือ”เธอพูดพลางมองเขา “หรือว่าถ้าหากคุณบอกฉันแล้วจะต้องฆ่าฉันทิ้ง”
รอยยิ้มกลับมาประดับบนมุมปากเขาอีกครั้งโดยไม่ทันรู้ตัว
“เกิ่งเนี่ยนถัง” เขามองตอบเธอ บอกชื่อเขาแก่เธอเป็นภาษาจีน “เกิ่งในคำว่าซื่อสัตย์จริงใจ เนี่ยนในคำว่าคิดถึง ถังแบบดอกไห่ถัง”
เธอเงยหน้ามองเขาท่ามกลางฝูงชน
“เว่ยเสี่ยวหม่าน” หญิงสาวกะพริบตาดวงเล็กสีดำขลับ กอดแขนตัวเองแน่น มองมาที่เขา “เว่ยที่มาจากราชวงศ์เว่ย เสี่ยวที่แปลว่าเล็ก หม่านในคำว่าพึงพอใจ”
เขารู้แล้ว ทั้งยังแน่ใจว่าเธอรู้ว่าเขารู้
เขาเคยเอากระเป๋าสตางค์กับบัตรประชาชนของเธอไป บนบัตรประชาชนมีชื่อของเธออยู่
รอยยิ้มที่มุมปากขยายกว้างขึ้นไปถึงดวงตา
หน้าเธอแดงขึ้นมาราวกับลูกมะเขือเทศ
“ขอบคุณที่มาส่งถึงที่นี่” เธอพูดกับเขาทั้งหน้าแดงก่ำ “ฉันต้องไปแล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวจะสายอีก”
เธอพูดแล้วก็รีบเดินจากไปอย่างรวดเร็วจนเกือบจะชนคนเข้า เพื่อที่จะหลบเลี่ยงเธอจึงถอยไปทางซ้าย แต่ขาซ้ายดันมาขัดกับขาขวา…
อีกครั้งที่เขารวบตัวเธอไว้ได้ทันก่อนจะล้มลงพร้อมกับคว้าบันทึกการเดินทางในแอฟริกาที่กระเด็นออกจากอ้อมแขนเธอ เขามองเธอเคอะเขินเอียงอายจนหน้าแดงก่ำไปถึงใบหู
“คุณรู้ไหม…”
“ห้ามพูด!”
“โอเค” เขารับปากแต่ไม่วายหัวเราะ
เธอยืนให้ตรง ได้ยินเสียงเขาหัวเราะอีกครั้งก็ทั้งเขินทั้งโมโหจนหน้าแดง “ทุกคนก็มีเรื่องที่ไม่ค่อยถนัดกันทั้งนั้น!”
“ถูกต้อง ทุกคนก็มีเรื่องที่ไม่ค่อยถนัดกันทั้งนั้น”
เขาพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็หยุดไปอึดใจหนึ่ง ในที่สุดก็โพล่งออกมาด้วยความขบขันว่า “แต่ผมไม่เคยเห็นคนที่อยู่ดีๆ ก็สะดุดล้มลงบนพื้นเรียบได้นี่นา”
“หัวเราะเยาะปมด้อยของคนอื่นนี่มันนิสัยเสียสุดๆ” เธอผละออกห่างอย่างอารมณ์เสีย
“ช่วยไม่ได้ ผมก็เป็นคนนิสัยเสียแบบนี้แหละ” เขาก้าวยาวๆ ตามไป
“คุณตามฉันมาทำไม” เธอพูดอย่างโมโห “เมื่อกี้คุณจะไปออกอีกทางไม่ใช่หรือ”
“ให้พูดจริงหรือ” เขาพูดยิ้มๆ
“ไม่ ฉันหวังว่าคุณจะแกล้งพูด” เธอตอบไม่ตรงกับใจคิดด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ รีบเดินขึ้นบันได
“ผมกลัวว่าคุณจะเดินตกบันได กลิ้งเข้าไปในชานชาลา แล้วก่ออุบัติเหตุทางการจราจรเพิ่มขึ้น”
คำตอบนี้ทำให้เธอหันไปถลึงตาใส่เขา เขายิ้มตอบด้วยรอยยิ้มสดใสไร้เดียงสาตามแบบฉบับของหนุ่มน้อย
เธอหน้าแดงตามคาด รีบหันหน้าหนีไป ตั้งใจเดินก้าวขึ้นบันไดแทน เธอแตะบัตรของเธอเดินออกไป ครั้งนี้เธอไม่ติดอยู่ในช่องแตะบัตรผ่านประตูแล้ว เมื่อก้าวพ้นจากช่องแตะบัตรแล้วค่อยสวมเสื้อนอกทำให้เธอกลายเป็นขนมไดฟุกุสีขาวอวบอ้วนอีกครั้ง
เมื่อเธอมาถึงประตูสถานีรถใต้ดินโดยสวัสดิภาพ ลมหนาวที่พัดมาอย่างกะทันหันทำเอาเธอขดตัวเป็นก้อน
หลังจากฟ้ามืดแล้วอุณหภูมิยิ่งลดต่ำลง หนาวจนเสื้อสีขาวของเธอก็ยังต้านทานไม่อยู่ เลยต้องซุกคอและศีรษะเข้าไปในเสื้อตัวยักษ์
เธอหนาวจนต้องซุกตัวเหมือนเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง เขาวางถุงในมือลงแล้วหยิบบันทึกการเดินทางใส่เข้าไปโดยไม่ต้องคิด ปลดผ้าพันคอออกด้วยความเคยชินมาพันรอบคอของเธอ
เธอสะดุ้งหันมา เขาถึงเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป
“คุณทำอะไร” หน้าตาเธอดูตื่นตกใจ
“พันคอไว้แล้วลมจะไม่เข้า อย่างนี้จะได้ไม่เป็นหวัด” เขาพันผ้ารอบคอเธอ ยิ้มพลางกล่าว “แม่ผมเคยบอก”
เธอมองเขางงๆ
“เอาล่ะ คุณมีนัดไม่ใช่หรือ ยังไม่รีบไปอีก”
พูดแล้วก็ดึงหมวกที่ห้อยอยู่ด้านหลังเธอขึ้นมาคลุมศีรษะให้
เธอหน้าแดง อ้าปากแล้วก็หุบลง ว้าวุ่นใจไปสักพักก่อนจะเดินจากไปทั้งหน้าแดง
ครั้งนี้เธอไม่ได้เดินชนใครอีก
คืนวันนั้น เมื่อเขากลับถึงโรงแรมถอดเสื้อนอกออกถึงได้พบว่าบันทึกการเดินทางไปแอฟริกาอยู่ในถุงที่เขาใส่กระต่ายยักษ์สีขาว