Jamsai
ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 3
เขาไม่ถือสาที่เธอเดี๋ยวก็หัวเราะเดี๋ยวก็ร้องไห้อย่างกับคนบ้า เขารู้ว่าหลังจากเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เสียขวัญมา อารมณ์จะไม่มั่นคงก็เป็นเรื่องปกติ ได้ระบายออกมาก็ดีแล้ว อย่างไรก็ดีกว่าเก็บไว้ในใจ
เธอสูดจมูก กลั้นน้ำตาแล้วคลี่ยิ้ม “ผืนที่แล้วฉันซักเรียบร้อยแล้ว ผ้าพันคอก็ด้วย”
“อ้อ ใช่ ยังมีผ้าพันคอ” เขามองเธอพลางเอ่ย “ผมชอบผ้าพันคอผืนนั้นมาก แม่ผมเป็นคนถักให้กับมือ”
คำพูดนี้ทำเธออึ้ง ไม่รู้ว่ามันมีค่ามากขนาดนี้ หญิงสาวรีบกล่าว “ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้จะติดต่อคุณยังไง ไม่อย่างนั้นฉันคงส่งของคืนคุณไปแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ วันนั้นพอผมกลับไปก็เห็นว่าเผลอถือหนังสือคุณติดมือมา ทีแรกคิดว่าจะคืนคุณในวันถัดไป แต่ต่อมามีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อย กว่าผมจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยคุณก็ออกจากญี่ปุ่นแล้ว ผมก็เลยนำมันกลับบ้านไป กะว่าค่อยหาโอกาสคืนคุณทีหลัง แต่ก็ไม่มีเวลามาตลอด ใครจะไปนึกว่าพอมาถึงนี่แล้วจะได้เจอกัน”
เธอถือผ้าเช็ดหน้าเขาไว้ในมือพลางกลอกตามองชายที่ยิ้มอย่างสดใสตรงหน้า “คุณเคยตามหาฉันด้วยหรือ”
เขาเลิกคิ้วขึ้นสูงกล่าว “นั่นเป็นผ้าพันคอที่แม่ผมถักกับมือ ผมยังอยากกลับไปกินข้าวที่บ้านอยู่นะ คุณคิดว่าอีกนานแค่ไหนกว่าแม่ผมจะรู้ว่าผมทำผลงานชิ้นเอกของเธอหาย”
ท่าทีกับวิธีการพูดของเขาทำให้เธออดไม่อยู่ต้องหัวเราะออกมาอีก น้ำตาที่ไหลอย่างควบคุมไม่ได้ก็หยุดลงในที่สุด เธอปาดน้ำตาพร้อมท่าทีที่ผ่อนคลายลงแล้วกล่าว “วางใจได้เลย ฉันเก็บผ้าพันคอกับผ้าเช็ดหน้าของคุณไว้อย่างดี แล้วก็อยู่ที่บ้านฉันตอนนี้ด้วย”
“ตอนนี้?” ได้ฟังคำพูดของเธอ เขาก็เลิกคิ้วขึ้นอีก
“สัญญาของฉันหมดอายุแล้ว เพิ่งหางานใหม่ได้อีกงาน” เธอทำหน้าล้อเลียนขณะกล่าว “เจ้าคนชั่วช้าสารเลวนั่นที่จริงก็ค่อนข้างมีหน้ามีตาที่นี่ เขาพอมีลู่ทางในวอชิงตันอยู่บ้าง ถ้าหากเขาเกิดอยากปองร้ายฉันขึ้นมาจริงๆ ละก็ ยังไงก็กักฉันไว้ที่นี่ไม่ได้หรอก ฉันไม่ได้โง่นะ ก่อนจะไปหาเรื่องเขาก็หาทางหนีทีไล่ไว้อยู่แล้ว สัปดาห์หน้าฉันจะไปจากที่นี่ ไปทำงานในองค์กรเอกชนแห่งหนึ่งที่อังกฤษ”
ผู้หญิงคนนี้ไม่โง่เลยจริงๆ
เห็นดวงตาและจมูกที่แดงก่ำจากการร้องไห้ของเธอ เขาก็อดที่จะลูบหัวเธอไม่ได้
เธอชะงัก เงยหน้ามองเขา
“คนดี” เขาพูด
เธอนิ่งงันไปกับคำเรียกขานที่ไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ชายตรงหน้าเพียงมองเธอยิ้มๆ ลุกขึ้นมายื่นมือให้เธอ
“มา ให้ผมไปส่ง”
ลมใบไม้ผลิโชยมาพัดพากลีบสีชมพูโปรยปราย
เสี่ยวหม่านเงยหน้ามองเขา พอชายคนนี้ยืนขึ้นมาแล้วเธอค่อยสังเกตว่าเขารูปร่างสูงใหญ่กำยำจริงๆ
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ใกล้ค่ำแล้ว ชายคนนี้ฉีกยิ้มรับสายลมในยามอาทิตย์อัสดง เรียกได้ว่าหล่อเหลาสุดเปรียบปาน ทำเอาหัวใจเธอเต้นเร็วขึ้นมาชั่วขณะ เธอมองดูมือใหญ่ที่ยื่นมาให้ของเขาก็ไม่ได้เอื้อมไปจับ แต่กลับจงใจวางแก้วช็อกโกแลตร้อนที่ว่างเปล่าใส่ในมือเขาแทน แล้วยืนขึ้นเอง
เขาหัวเราะ มือหนึ่งถือแก้วโค้ก อีกมือก็ถือแก้วช็อกโกแลตที่ว่างเปล่าเดินไปที่ถังขยะแต่โดยดี
มองดูเงาหลังสูงใหญ่ของเขา ฉับพลันความรู้สึกผิดวูบหนึ่งก็โถมเข้ามาในใจเหมือนกับตอนที่อยู่ในรถไฟฟ้า
เขาปกปิดความรู้สึกตัวเองเก่ง และเพราะปกปิดได้เก่งเกินไปจึงทำให้เธอยิ่งรู้สึกได้ว่าเขาเจ็บปวดจากการที่ถูกเธอปฏิเสธ
แม้ว่าเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายและเป็นคนที่กล้าใช้อาวุธระเบิดได้โดยไม่เกรงกลัว แต่เธอก็รู้ว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนไม่ดี
สวรรค์ก็รู้ เขาไม่ได้ช่วยเธอไว้แค่ครั้งสองครั้ง เขาให้เธอยืมผ้าพันคอและผ้าเช็ดหน้า นำทางให้เธอ ช่วยเธอคลี่คลายปัญหา ทั้งยังซื้อของให้เธอกิน
เธอเองก็ไม่ได้โง่
‘คุณชินชารึยัง’
เธอจำสีหน้าเขาตอนที่เธอถามคำถามนี้ได้ แล้วก็จำคำตอบของเขาได้ด้วย
‘ผมไม่รู้’
เขาบอกแบบนั้น
แต่ว่าเธอรู้ ตอนนี้รู้แล้ว
เขาไม่ได้ชินชา เพราะว่าไม่ชินชากับมันถึงได้แสดงสีหน้าแบบนั้น และตอบคำถามแบบนั้น
แต่เธอก็ไม่คิดว่าการมีความรู้สึกดีๆ ต่อเขาจะเป็นผลดีกับเธอ ต่อให้เขาเกิดหลงผิดมาชอบเธอจริง เธอคิดว่าเธอก็คงเอาเขาไม่อยู่
เพราะฉะนั้นต่อให้ชายคนนี้จะทั้งหล่อทั้งอารมณ์ดี เวลายิ้มมีลักยิ้มที่น่ารักสุดๆ แล้วยังรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ผิวพรรณเป็นสีแทนดูสุขภาพดีล่อตาล่อใจอย่างไร เธอก็ไม่โง่ถึงขนาดจะคิดเลยเถิดกับเขา
แต่จะว่าไปชายคนนี้ทำให้คนรู้สึกยากที่จะไม่ชอบจริงๆ
ถ้าหากได้เป็นแค่เพื่อนละก็ เธอก็ไม่คิดอะไรถ้าจะมีเพื่อนที่ร่างสูงใหญ่กำยำทั้งยังยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างเขาหรอกนะ
เธอมารู้ตัวอีกทีก็เดินสาวเท้าอย่างรวดเร็วมาถึงข้างตัวเขาแล้ว
เห็นเธอเดินตามมาเขาก็ไม่พูดอะไร เพียงหยักยิ้มบางๆ
อาทิตย์ลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ทั้งสองคนเดินอยู่ท่ามกลางต้นซากุระ ทั้งโลกอยู่ในความสงบสุข
ชายที่อยู่ด้านข้างสีหน้าปลอดโปร่ง ยากที่จะนึกภาพเขาเมื่อแปดเดือนก่อนตอนที่เล่นระเบิดอยู่ในกรุงแบกแดด
ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกว่าความสงบตรงหน้าดูราวกับภาพในจินตนาการ ราวกับไม่ใช่เรื่องจริง
จากนั้นเขาก็กุมมือเธอ มือใหญ่หยาบแข็งแกร่งถ่ายทอดความอบอุ่นประการหนึ่งมาให้ เปลี่ยนความเป็นจริงที่สั่นคลอนจิตใจให้สงบลง
เธอชะงัก ช้อนตาขึ้นมองเขา
“ไม่เป็นไรนะ” เขาทอดตามองเธอพลางกล่าว “ผมเชื่อว่าศาสตราจารย์ที่รักของคุณคงไม่กล้าทำเรื่องโง่ๆ อีกแล้ว”
ในใจเธอรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาทันที
เธอไม่รู้จะพูดอะไรจึงได้แต่พยักหน้า
เมื่อเขาจูงมือเธอไปเรื่อยๆ พามาถึงที่ลานจอดรถ เธอก็ไม่ได้ดึงมือกลับ
เขาขับรถพาเธอไปส่งถึงที่พัก บางทีเธอไม่ควรชวนเขาเข้าบ้าน แต่เธอคิดว่าถ้าหากเขาจะทำอะไรเธอ เขาก็คงทำไปนานแล้ว
แล้วเธอก็สังเกตเห็นว่าตอนที่เขาตามเธอเข้ามา เขาจงใจแง้มประตูไว้
“รอฉันแป๊บ”
เธอพูดระหว่างที่เข้าห้องไปหยิบผ้าพันคอกับผ้าเช็ดหน้าที่เธอเก็บไว้อย่างดี หลายเดือนที่ผ่านมาเธอเก็บมันไว้ในถุงกระดาษมาตลอด
เขารับไปโดยไม่ได้เปิดดูของข้างในเลย เพียงเอ่ยปากถาม
“คุณอยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย”
“แน่นอน”
เขาเหลียวมองเธอ จากนั้นก็หยิบนามบัตรขึ้นมาใบหนึ่ง
“สองสามวันนี้ผมยังอยู่ในละแวกนี้ ถ้ามีเหตุอะไรก็โทรเข้ามือถือผมได้”
เธอมองนามบัตรใบนั้น นิ่งสักพักค่อยยื่นมือมารับไป
เขายกมือใหญ่ขึ้นลูบไล้ใบหน้าแดงเรื่อของเธอที่กำลังก้มอยู่
เธอตกใจเล็กน้อย เงยมองขึ้นมาก็เห็นเขาส่งยิ้มให้เธอ
“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้น ผมไม่กินคุณหรอก”
ใบหน้าที่แดงเล็กน้อยของเธอแดงก่ำขึ้นในฉับพลัน คิดจะพูดอะไรตอบโต้ แต่ในหัวกลับว่างเปล่า
“ถึงอังกฤษพอย้ายเข้าเรียบร้อยดีแล้วส่งที่อยู่ให้ผมด้วย ผมจะส่งบันทึกการเดินทางเล่มนั้นไปให้”
เธอทำได้เพียงพยักหน้าอีกครั้ง
“ราตรีสวัสดิ์” เขาพูดพลางยิ้ม
“ราตรีสวัสดิ์” เธอตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ
จากนั้นเขาก็ไป
เธอเดินไปล็อกกุญแจประตู พอเสียงฝีเท้าหายไปเธอค่อยโน้มหน้าผากแนบประตูไว้ ถอนใจโล่งอก ผ่านไปสักพักเธอถึงค่อยปลุกความกล้าก้มลงอ่านนามบัตรที่เธอถือไว้แน่น
นามบัตรใบนั้นมีรูปแบบเรียบง่าย
บนนั้นมีชื่อของเขา เบอร์มือถือ แล้วก็ชื่อบริษัทพร้อมเบอร์โทร
Red Eye Incident Investigation Agency? ผู้ตรวจสอบ?
อะไรกัน บริษัทนักสืบ? เขาคนนี้เป็นนักสืบงั้นหรือ
เธอคิดว่านักสืบมีหน้าที่สืบสวนเกี่ยวกับเรื่องนอกใจ แอบตามถ่ายรูปชู้อะไรเทือกนั้น
ต่อมาค่อยตระหนักได้ว่านามบัตรนี้น่าจะเป็นการปิดบังตัวตนของเขามากกว่า
ดีไม่ดีแม้แต่ชื่อสกุลก็อาจปลอมแปลงขึ้นมาทั้งหมดก็ได้
เฮ้อ
เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมเธอกลับไม่รู้สึกว่าเขาบอกชื่อปลอมกับเธอ เธอจำยิ้มที่ระบายไปทั่วใบหน้าของเขากับแววตาซ่อนรอยยิ้มตอนที่เขาบอกชื่อเธอได้
“เกิ่งเนี่ยนถัง…”
เมื่อพูดสามคำนี้ออกมาก็รู้สึกจริงแล้ว
เธอเก็บนามบัตรไว้ในกระเป๋าเสื้อ กลับไปเก็บข้าวของลงกระเป๋าเดินทางที่จัดไปได้ถึงครึ่งหนึ่งแล้วโดยไม่ได้คิดถึงมันอีก