Jamsai
ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 4
บทที่ 4
ฟ้าสางแล้ว
เห็นหน้าต่างที่ค่อยๆ สว่างขึ้น เสี่ยวหม่านก็ลุกจากเตียงเองและปิดนาฬิกาปลุกดิจิตอลที่ยังไม่ทันได้ปลุก เดินเข้าห้องน้ำตาปรือท่ามกลางความสลัว
แม้จะจำได้ว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ไม่ต้องรีบไปทำงาน แต่นาฬิกาชีวภาพในตัวเธอปรับให้เข้ากับเวลาชีวิตที่อังกฤษมาได้สองเดือนแล้ว เลยมักจะตื่นในเวลานี้
เนื่องจากยังไม่ตื่นเต็มตา เธอจึงแปรงฟันอย่างเชื่องช้า แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนเธอซักผ้าเช็ดตัวทิ้งไว้ในเครื่องปั่นยังไม่ได้เอาออกมาตาก
เธอเดินแปรงฟันออกมาจากห้องน้ำ เปิดประตูออกจากห้องนอนมาที่ห้องซักผ้าเล็กๆ ในสวนหลังบ้าน เก็บผ้าที่ปั่นจนแห้งออกมาไว้ในตะกร้า จากนั้นหอบตะกร้าไว้ด้วยมือข้างเดียวขณะเดินแปรงฟันกลับห้อง พอเดินผ่านห้องรับแขก หางตากวาดเห็นก้อนหน้าตาประหลาดบนโซฟา
เธอคิดว่าตาฝาดไปเลยไม่ได้หยุดฝีเท้า ในมือถือแปรงสีฟันเดินไปแปรงฟันไป แต่ยังอดหันศีรษะกลับไปมองไม่ได้
ไม่มองก็แล้วไป แต่พอมองแล้วก็ตื่นขึ้นเต็มตาทันที
ตายแล้ว! คนใช่มั้ยนั่น!
เสี่ยวหม่านตกใจอยากกรีดร้อง แต่ขณะตกใจกลับสำลักฟองยาสีฟันเพราะเผลอสูดหายใจเข้า
ก้อนที่อยู่บนโซฟาผุดลุกขึ้นมา เสี่ยวหม่านเผ่นแนบไปข้างหลังทั้งที่ยังสำลักไม่หาย ขาสองข้างพันกันอีกแล้วล้มหงายลง ตะกร้าผ้าในมือซ้ายร่วงลงสาดเสื้อผ้ากระจายไปทั่วพื้น เธอชูแปรงสีฟันในมือขวาขึ้นขณะที่ค่อยๆ ตระหนักได้อย่างเชื่องช้าว่าก้อนบนโซฟานั้นเป็นชายคนหนึ่ง แถมยังเป็นชายที่เธอรู้จักเสียด้วย
เกิ่งเนี่ยนถัง
แต่ว่าครั้งนี้เขาอยู่อีกฟากของห้องรับแขกจึงไม่น่าจะช่วยเธอได้ทัน
เธอหลับตาปี๋ กัดฟันเตรียมใจกับแรงปะทะและความเจ็บที่จะตามมา แต่พอโลกหยุดหมุนแล้ว แรงปะทะกลับไม่ได้มาจากด้านหลัง แต่เป็นด้านหน้า
เธอตาเบิกโพลงสำลัก เห็นว่าตัวเองไม่ได้ล้มออกไปทางระเบียง แต่ล้มเข้ามาในห้องรับแขก ไม่รู้ว่าชายตรงหน้ามาถึงตัวเธอทันได้อย่างไร เขาฉุดเธอเข้ามาในห้องรับแขกให้เธอล้มลงบนตัวเขา
“ไม่มีใครเคยบอกรึไงว่าอย่าเดินไปแปรงฟันไป”
เดิมเธอปิดปากสำลักอยู่ พอได้ยินดังนั้นก็เลยพ่นฟองยาสีฟันใส่เขาทันที
“ไม่มีใคร…แค่ก…สอนคุณว่า…แค่ก…ไม่ควร…บุกรุกที่อยู่คนอื่นโดยพลการหรือไง”
แย่มาก ไอไปพูดไปภาพลักษณ์ดูไม่ดีเลยสักนิด
เธอมองเขาเคืองๆ จับเสื้อยืดเขาขึ้นมามาเช็ดปากอย่างเอาเรื่อง
“ก็มี แต่ผมคิดว่าคุณคงไม่ว่าอะไรถ้าผมจะยืมโซฟาคุณนอนสักหน่อย” เขามองเธอที่ขยุ้มเสื้อยืดเขาอย่างอารมณ์เสียด้วยสีหน้าแบบผู้บริสุทธิ์ “ตอนผมมาถึงที่นี่ก็ดึกมากแล้ว แถบนี้เตร่ไปมาหลังเที่ยงคืนออกจะมีพิรุธ คุณเองก็ดูเหมือนจะเข้านอนแล้ว ผมเลยเปิดประตูเข้ามานอนในห้องรับแขกเอง”
เธอสงบอารมณ์ไว้ ยืดตัวขึ้นแล้วถาม “คุณมาทำอะไรที่นี่หลังเที่ยงคืน”
“คืนหนังสือคุณไง”
คำตอบตรงไปตรงมาของเขาทำเอาเธอจนคำพูด
เกิ่งเนี่ยนถังชันศอกดันตัวขึ้นมาช้าๆ มองดูหญิงร่างบางที่นั่งอยู่บนตัวเขา พูดหน้าตาเฉย “สายการบินที่ผมนั่งมากว่าจะลงจอดก็ดึกมากแล้ว ผมดูเวลาแล้วคิดว่าแทนที่จะไปค้างโรงแรมแค่สองชั่วโมง ผมขับรถมาเลย ฟ้าก็คงจะสว่างพอดี ตอนแรกผมก็ว่าจะนอนในรถ แต่พอออกมาข้างนอกก็เห็นบนถนนมีติดตั้งกล้องวงจรปิด ผมเพิ่งเดินทางมาจากอเมริกาใต้ นั่งเครื่องบินมาสิบกว่าชั่วโมง ไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย”
“คนเราเวลามาหาเพื่อนก็เคาะประตูกดกริ่งตามปกติ คุณไม่คิดที่จะโทรเข้ามาก่อนหรือกดกริ่ง…” เธอพยายามลุกขึ้นมาจากตัวเขา เมื่อมือเล็กกดลงบนตัวเขา เขาก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บ เธอตกใจรีบดึงมือกลับ
“เป็นอะไร คุณร้องทำไม”
เขาฝืนยิ้มพูดกับเธอว่า “ไม่มีอะไร แค่กระดูกซี่โครงหัก”
“ว่าไงนะ ได้ยังไงกัน ฉันทำงั้นหรือ คุณโอเคมั้ย มือถือฉันอยู่ไหน ที่อังกฤษโทรเรียกรถพยาบาลเบอร์ 911 ก็ได้ใช่มั้ย” เธอตกอกตกใจรีบเด้งขึ้นมาจนเกือบจะล้มลงบนตัวเขาอีกครั้ง โชคดีที่ครั้งนี้เธอทรงตัวได้ทัน
“ไม่ใช่เพราะคุณ เป็นเพราะจระเข้” เห็นสีหน้าร้อนใจของเธอ เขาก็รีบเอ่ย “มันพยายามจะกัดผมแต่ไม่สำเร็จ ถึงอย่างนั้นเจ้านั่นก็ยังสร้างปัญหาให้ผมนิดหน่อย หมอช่วยจัดการแผลถลอกกับดามกระดูกให้เข้าที่แล้ว แค่อุบัติเหตุเมื่อกี้เหมือนจะทำแผลปริเฉยๆ”
“จระเข้?” เธอจ้องเขาตาค้าง
“จระเข้น่ะ” เขาพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ “ตัวใหญ่เบ้อเริ่มเลย”
เขาพูดพลางค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งอย่างระมัดระวัง ใบหน้าที่หล่อหมดจดนิ่วเล็กน้อยจากการขยับ
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองเผลอล้มทับเขาอีก เสี่ยวหม่านคืบคลานออกไปทางด้านข้าง แต่ก็ยังอดพึมพำไม่ได้ “คุณบาดเจ็บแล้วยังเอาตัวมารับฉันอีกทำไม”
“คุณน่าจะรู้ว่าถ้าคุณเกิดหกล้มหัวกระแทก ผมจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปโดยปริยาย”
เธอโพล่งขึ้นอีกครั้งอย่างโมโห “ถ้าคุณไม่มาบุกรุกที่อยู่ชาวบ้านเขาโดยพลการและโทรมาหาฉันก่อน เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”
“ผมไม่อยากกวนคุณนอนหลับ”
เหตุผลนี้เรียบง่ายมาก การกระทำของเขาทำเธอจนคำพูด รู้สึกโกรธและขำระคนกัน
“คุณบ้าไปแล้ว”
แล้วเขาก็เลิกเสื้อขึ้นมา สภาพแผลด้านล่างผ้าพันแผลของเขาทำให้เธอต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ
“โอ! พระเจ้า…”
ช่วงตัวเขาพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว ส่วนที่ไม่ได้พันเอาไว้มีแต่รอยฟกช้ำดำเขียว บางที่ก็ช้ำเป็นจ้ำใหญ่
“ทำไมคุณปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพนี้”
“ผมเปล่านะ จระเข้ต่างหาก” เขาย้ำกับเธอขำๆ พร้อมกับดึงเสื้อลงอย่างระมัดระวัง
เนื่องจากสภาพของชายตรงหน้าดูย่ำแย่เหลือทน เธอเลยไม่ห้ามเขาดึงเสื้อลงมาปิด แค่ลุกไปเปิดไฟ
หลังจากเปิดไฟสว่างแล้วเขายิ่งดูย่ำแย่กว่าเดิมอีก สภาพแผลเหล่านั้นทำให้เธอแทบจะกรีดร้อง
“คุณต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้” เธอประกาศด้วยความเป็นห่วงเป็นใยและวิ่งไปหยิบกุญแจรถที่ข้างประตู
“ผมหาหมอมาแล้ว” เขาตรวจผ้าพันแผลบนตัวและบอกเธอว่า “วางใจเถอะ ผมไม่เป็นไร เหมือนจะไม่มีเลือดออกแล้ว”
“พระเจ้า! คุณพันตัวจนจะเป็นมัมมี่อยู่แล้ว ต่อให้มีเลือดออกก็ไม่มีทางรู้!” เธอมองเขาอย่างเหลือเชื่อ “ที่กระทบกระเทือนไปเมื่อกี้อาจทำให้กระดูกคุณแตกไปทั้งชิ้นแล้วก็ได้!”
“ไม่ต้องเป็นห่วง กระดูกผมไม่ได้แตก” เขาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ พูดยิ้มๆ “ถ้าหากว่าแตก ผมต้องรู้สึก ระดับความเจ็บมันไม่เหมือนกัน”
เขาพูดเหมือนกับว่ามีประสบการณ์มาก…
เธอรีบเดินมาหาเขาด้วยความเป็นห่วง พยายามจะช่วยพยุง ต่อมาก็เห็นเขาลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยความระมัดระวังแต่ก็มีท่าทีสบายๆ
เหมือนเขาจะมีประสบการณ์มากจริงด้วย!
“คุณไม่เห็นต้องแตกตื่นขนาดนั้นเลย” เขามองเธอ “ผมสบายดี หมอจ่ายยาให้ผมแล้ว ถ้าหากว่าอาการผมเลวร้ายจริง คุณว่าสายการบินจะยอมให้ผมนั่งเครื่องมามั้ยล่ะ ผมแค่ต้องหาโรงแรมนอนค้างสักสองสามวันก็จะดีขึ้นเอง”
เขาชี้ไปที่ห่อเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะห้องรับแขก “หนังสือคุณ”
พูดพลางก้มลงหยิบกุญแจรถที่อีกด้าน เห็นท่าทางเขาเหมือนจะออกไปข้างนอก เธอก็รีบพุ่งมาขวางเขา
“โรงแรม? ค้างสักสองสามวัน? คุณแน่ใจหรือว่าสารรูปอย่างคุณตอนนี้โรงแรมจะให้คุณพัก”
ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงไม่ไปหาโรงแรมค้าง เขาเองก็คงรู้อยู่เหมือนกันว่าเขาดูน่ากลัวออกอย่างนี้ แม้จะมีโรงแรมยอมให้เข้าพักจริงก็ต้องเปลืองแรงพูดอยู่ไม่ใช่น้อย
แถมเขาจะตายในห้องพักเมื่อไรก็ได้ ใครจะไปรู้
มองดูใบหน้าของเขาที่เหนื่อยล้า สองตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ต่อให้เธอเป็นคนใจจืดใจดำกว่านี้ก็คงไม่ปล่อยให้เขาออกไปแน่นอน ถ้าหากเขาเป็นอะไรไปขึ้นมาจะทำอย่างไร
“ถ้าคุณคิดว่าฉันจะปล่อยให้คุณออกไปในสภาพอย่างนี้ละก็ คุณมันปัญญาอ่อนมาก!” เธอจ้องเขาอย่างโกรธเคือง “คุณจะไม่ไปโรงพยาบาลก็ได้ แต่รีบไสหัวไปนอนที่เตียงเดี๋ยวนี้”
“คุณไม่มีเตียงสำรองนี่” ไม่อย่างนั้นเขาคงไปนอนบนนั้นแล้ว
“ฉันนอนพอแล้ว!” เธอชี้ไปที่ห้องและแหวใส่เขา “ไปสิ!”
เขาดูออกว่าเธอเริ่มจะประสาทเสีย จากการโตในบ้านที่ผู้หญิงเป็นใหญ่มาตั้งแต่เล็ก เขารู้ดีว่าไม่ควรขัดขืนคำสั่งพวกเธอในเวลาแบบนี้ โดยเฉพาะในเวลาที่เขาเองก็อยากจะนอนหลับให้เต็มตื่นมากจริงๆ
เพราะงั้นพอเธอมาขยี้เท้าร้องโวยวายกับเขา เขาก็ยกมือยอมจำนน
“โอเคๆ คุณไม่ต้องลนขนาดนี้ก็ได้”
หน้าผากเธอมีเส้นเลือดปูดโปน เขากลั้นความรู้สึกชวนหัวเอาไว้ รีบหันหลังเดินไปที่ห้องที่เปิดประตูคาไว้ของเธอ ป้องกันไม่ให้เธอโจมตีเขาด้วยกุญแจรถในมือ