Jamsai
ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 4
ตกเย็น อุณหภูมิร่างกายเขากลับคืนเป็นปกติดังเดิม เธอไม่ได้มาตรวจอาการเขาอีก
เดิมเขาคิดจะคืนเตียงให้เธอ แต่เธอยืนกรานว่าเขายังไม่หายดี ท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงราวกับสัตว์ประหลาดน้อยตัวหนึ่ง เขาเลยต้องยึดครองเตียงของเธอต่อไป
เช้าวันถัดมา เธอปลุกเขาเพื่อบอกว่าวางน้ำและอาหารไว้ให้ตรงหัวเตียง ส่วนเธอต้องไปทำงานแล้ว
“ฉันลางานได้นะ” เธอยืนอยู่ข้างเตียง ก้มลงพูดกับเขา
“ไม่ต้องหรอก ผมสบายมาก” เขาบอกเธอ
“ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีก็โทรมาหาฉันนะ”
“ได้” เขาพยักหน้ารับปาก
เธอยัดโทรศัพท์มือถือให้เขา กำชับเป็นครั้งที่ร้อย “ฉันชาร์จแบตให้เต็มแล้ว ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายต้องโทรมาหาฉันนะคะ ไม่ก็โทรเบอร์ 999”
“ตกลงว่าที่อังกฤษไม่ใช่เบอร์ 911 สินะ” เขาถามพลางยิ้ม
“ไม่ใช่” เธอไปหามาแล้ว “เบอร์ 999”
“ได้ 999”
เธอหน้านิ่วคิ้วขมวด ท่าทางยังไม่หายกลัดกลุ้ม “ฉันว่าฉันลาหยุดดีกว่า”
“ไม่ต้อง” เขาหัวเราะ “ผมสบายดี คุณต้องทำอะไรก็ไปทำเถอะ พอคุณกลับมาผมก็ยังอยู่ที่นี่”
เธอเบะปาก สูดหายใจเข้าลึกๆ ยืดตัวตรงกล่าวเตือนเขา
“คุณควรจะอยู่ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งความ”
หลังจากยื่นคำขาดแล้วเธอก็รีบเดินออกไป
เขานิ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนที่จะหัวเราะอย่างอดไม่ได้
แผ่นดินเหนียวรูปสัตว์ประหลาดที่กำลังกางปีกทั้งสองตัวบนผนังจ้องมาที่เขา แล้วเขาก็นึกชื่อของพวกมันออกทันที
ลามาซูกับอัปซาซู
แต่ว่าพวกมันไม่ใช่สัตว์ประหลาด พวกมันคือสัตว์เทพคุ้มครอง
เมื่อเธอปิดประตูลง เขาลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำแล้วเดินกลับมา มองดูอาหารบนโต๊ะเธอที่ทิ้งไว้ให้เขา มันไม่ได้มีเพียงขนมปังเท่านั้น แต่ยังมีซุปร้อนๆ กับผลไม้
เขากินขนมปัง ซดน้ำซุปและผลไม้ แล้วก็กินยาแต่โดยดีก่อนจะนอนลงบนเตียงอีกรอบ ทีนี้ไม่มีใครมาก่อกวน เขากลับรู้สึกตื่นตัวนอนหลับไม่สนิทเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบจนเกินไป
ในห้วงแห่งความสลึมสลือ ภาพทุกอย่างหมุนวนอยู่ภายใต้เปลือกตา
สัตว์ประหลาดที่กางปีก เสียงร้องคำรามจากสัตว์ยุคบรรพกาล ปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคมของจระเข้ เถาไม้เลื้อยในป่าดิบชื้นสีเขียวแก่ ลูกกระสุนจากการลั่นไก เปลวไฟที่โลมเลีย ทุกอย่างผสมปนเปกันในภาพเดียวทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเป็นพักๆ
โทรศัพท์มือถือดังขึ้นในตอนเที่ยง
เขาที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่หนานุ่มยื่นมือออกไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างๆ มองดูหมายเลขที่โทรเข้า เป็นเบอร์ของเจ้าสัตว์ประหลาดน้อยผู้ยังไม่หมดห่วง
เขายิ้มมุมปากขึ้นโดยไม่ตั้งใจ กดรับสาย
“ฮัลโหล”
“ทำอะไรอยู่”
“นอน” เขาเอ่ยปากตอบ ได้ยินน้ำเสียงที่ขึ้นจมูกและงัวเงียของตัวเอง
หญิงสาวที่อยู่ในสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นว่า “กินอะไรรึยัง”
“กินแล้ว”
“แล้วยาล่ะ”
เขาอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ แต่ก็ยังตอบคำแต่โดยดี “กินแล้ว”
“คุณคิดว่าฉันโง่เง่ารึเปล่า”
“ไม่เลยสักนิด”
“คุณไม่ต้องไปโรงพยาบาลจริงๆ ใช่มั้ย”
“ไม่ต้อง”
เธอเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะพึมพำอะไรสักอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์
“คุณว่าอะไรนะ”
“คุณห้ามตายบนเตียงฉันนะ” ทีนี้เธอเพิ่มระดับเสียง
เขาหัวเราะออกมา เขาฟังออกว่าเธอโมโห เป็นห่วงและกังวล
“เว่ยเสี่ยวหม่าน”
“ว่าไง”
“ขอบคุณนะ”
เธอวางสายไป แต่เขาพอจะนึกภาพเธอที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงออก ทำให้เขาหัวเราะมีความสุขถึงขีดสุด
ผู้หญิงคนนี้ออกจะน่ารักเกินไปแล้ว
น่ารักเกินไปแล้ว
เขาลุกขึ้นมา ไปที่ห้องน้ำคลายผ้าพันแผลออกตรวจดูปากแผล เมื่อแน่ใจว่าแผลไม่ได้เลวร้ายลงก็เช็ดตัวแล้วหยิบผ้าพันแผลออกมาจากกระเป๋าเดินทาง
โทรศัพท์มือถือสั่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาเดินออกจากห้องน้ำ เห็นเบอร์ไม่แสดงหมายเลขแต่ก็ยังรับสาย
“ฮัลโหล?”
“ไม่ใช่ว่านายจะมาที่นี่รึไง” เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังขึ้น
“อะไรกัน คิดถึงฉันเหรอ รู้งี้เมื่อคืนพอเครื่องจอดแล้วฉันดิ่งไปหานายก่อนเลยก็ดี” เขาถือโทรศัพท์ออกจากห้องของเธอเดินไปทางห้องครัว
“ไปตายซะ” ชายคนนั้นสะบัดเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ “เสี่ยวเฝยโทรมา เธอคิดว่านายอยู่กับฉัน”
“ทีแรกฉันก็ว่าจะไปหานาย แต่ว่าโดนเจ้าสัตว์ประหลาดน้อยรั้งตัวไว้” เขาพูดพลางเปิดตู้เย็นของเธอ ในนั้นมีของน้อยจนน่าเวทนา หลักๆ ก็มีวัตถุดิบไว้ทำแซนด์วิช เขาเปิดลำโพงวางมือถือลงบนโต๊ะ นำของในตู้เย็นออกมาทำแซนด์วิชให้ตัวเองอย่างไม่มีการเกรงอกเกรงใจใดๆ
“สัตว์ประหลาดน้อยตัวนั้นตัวใหญ่มากมั้ย” ชายคนนั้นเย้ยเสียงเย็น
“ให้ตายเถอะอาวั่น นายนี่มัน…”
ชายคนนั้นไม่พูดพร่ำมากความก็ตัดสายทิ้งไป
เขาโทรกลับ แต่ฝั่งนั้นไม่รับสาย พอเข้าสู่บริการรับฝากข้อความเขาก็ไม่ถือสาใดๆ แค่ทิ้งข้อความตลกชวนหัวไว้ให้
“อาวั่นที่รัก ฉันต้องการของบางอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าสัตว์ประหลาดน้อยรังแก รบกวนนายช่วยส่งมาให้หน่อยได้มั้ย”
ตามด้วยรายการสิ่งของยาวเฟื้อยกับที่อยู่ที่นี่ จากนั้นก็วางสาย กินแซนด์วิช
กินแซนด์วิชยังไม่ทันเสร็จโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เพียงแต่ครั้งนี้เป็นข้อความ
เขาเปิดดู ชายคนนั้นส่งข้อความภาพมาให้ เป็นภาพที่ไม่มีอะไรมากไปกว่านิ้วกลางข้างขวาที่ชี้เหยียดขึ้นฟ้าสูงเป็นพิเศษ
เขาหัวเราะออกมาดังลั่นจนกระเทือนถูกบาดแผล เสียงหัวเราะเปลี่ยนไปทันที เขาเกาะโต๊ะอาหารไว้ค่อยคืบคลานกลับไปนอนที่เตียง
หนึ่งชั่วโมงให้หลังเขาได้ยินเสียงก็ลุกจากเตียง เลิกม่านหน้าต่างมองเห็นคนร่างบางคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซด์มาจอดถึงหน้าบ้าน
คนขี่มอเตอร์ไซค์สวมชุดหนังสีดำ เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอจอดรถอย่างเป็นระเบียบก่อนจะลงมาจากรถ
เขารู้ว่าไม่ใช่สัตว์ประหลาดน้อย
เว่ยเสี่ยวหม่านแม้แต่เดินยังสะดุดล้ม ดีไม่ดีแค่ปีนขึ้นไปนั่งบนมอเตอร์ไซค์คันนั้นยังล้มหน้าฟาดได้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องขี่เลย
ผู้หญิงคนนั้นถอดหมวกกันน็อกออกเผยให้เห็นสีหน้าที่เย็นชา
อ้อ เธอนี่เอง
ไม่ได้มาลอนดอนตั้งนาน ลืมไปเลยว่าอาวั่นให้ผู้หญิงคนนี้มาอยู่ด้วย
ดูท่าเจ้าหมอนั่นอารมณ์เสียก็ส่วนอารมณ์เสีย แต่ก็ไม่ได้ไม่เหลียวแลทอดทิ้งเขา ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ
หญิงใบหน้าไร้อารมณ์ถือของบางอย่างเดินมากดกริ่งที่ประตู
เขาออกจากห้องไปเปิดประตูให้เธอ
เธอคนนั้นเห็นเขาแล้วก็ไม่ตื่นตกใจ แต่ก็ไม่ได้ชวนเขาคุยเรื่องสัพเพเหระใดๆ ทั้งสิ้น ดวงตาดำขลับไร้วี่แววความรู้สึก เธอเพียงถือถุงหนักส่งให้เขาทั้งอย่างนี้แล้วยื่นมือมา
เขารับถุงไป นึกว่าเธอยื่นมือมาเพื่อจับมือทักทาย เขากำลังจะยื่นมือออกไปตามมารยาทแล้วชวนคุยสักหน่อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากว่า
“สามพัน”
“อะไรนะ”
“ทั้งหมดนี้สามพันปอนด์” เธอพูดหน้าตาเฉย
เขาอึ้ง โพล่งออกมาอย่างตกใจ “อาวั่นให้คุณมาเก็บเงินกับผม?”
“สามพัน” เธอยังคงยื่นมือเล็กบางนั้นออกมา มองเขานิ่งเพื่อเป็นการยืนยัน
แม้ว่ามือตรงหน้าจะทั้งเล็กทั้งขาว แต่เขารู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้าที่สูงไม่ถึงคางของเขานี้สามารถใช้มือข้างนี้ทำอะไรได้บ้าง เธออาจดูไม่สะดุดตา แต่กลับมีฝีมือต่อสู้ดีเลิศจนน่าตกใจ ก่อนหน้าที่เธอจะมาทำบัญชีให้อาวั่น เธอเคยส่งลูกค้าคนหนึ่งเข้าโรงพยาบาลมาก่อน ลูกค้ารายนั้นเป็นถึงหัวหน้าแก๊งใหญ่ยโสโอหังและยังพกอาวุธปืนด้วย
“ผมไม่ได้พกเงินติดตัวมากขนาดนั้น” เขามองเธออย่างขบขัน
“เขาบอกว่ายืมเขาก่อนก็ได้” เธอยังคงยื่นมือค้างไว้ขณะที่ถ่ายทอดข้อความของเขาคนนั้น “นี่คือธุรกิจ”
ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ
เกิ่งเนี่ยนถังหน้าชาไปชั่วครู่ ขบเขี้ยวฝืนยิ้มพลางกล่าว
“โอเค ยืมก็ยืม” เขาถือถุงเข้าไปวางบนโต๊ะ หยิบปากกากับกระดาษเขียนใบยืมให้ พอเขียนมาถึงช่องจำนวนเงินเขาก็ส่งยิ้มที่คิดว่าหล่อเหลา ไร้เดียงสา น่ารักน่าชังที่สุดให้เธอ บอกว่า “ข้าวของแค่นี้ สามพันออกจะแพงไปหน่อย โก่งราคาผมรึเปล่า ลดให้หน่อยได้มั้ย”
เธอสบตาเขาตรงๆ ไม่หวั่นไหวให้รอยยิ้มของเขา พูดออกมาสองคำ
“ไม่ได้”
ให้ตายสิ อาวั่นเจ้างั่งเอ๊ย เรื่องอื่นไม่รู้จักเอาอย่าง ดันมาเอาอย่างนิสัยขี้เหนียวจากพี่อู่
เขาจำใจยื่นใบยืมส่งให้เธอ
ฝ่ายหญิงก้มหน้าตรวจสอบตัวหนังสือให้แน่ใจว่าจำนวนเงินถูกต้อง พอเห็นว่าชายคนนี้เซ็นชื่อเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเก็บใบยืมเงินที่เขียนด้วยลายมือใส่กระเป๋าเสื้อ
เห็นเธอจัดการเสร็จตั้งท่าจะจากไป เขาก็อดเรียกไว้ไม่ได้
“ฮั่วเซียง”
เธอหยุดฝีก้าวหันกลับมา
“คุณว่าอาวั่นกับผมใครหล่อกว่ากัน”
“อะไรคือหล่อ” เธอถามกลับหน้าไม่เปลี่ยนสี
เขานิ่งค้างไป ตามด้วยหัวเราะดังๆ โบกไม้โบกมือ
“ฮ่าๆๆๆ…ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก คุณไปเถอะ…”
เธอก็ไม่ถามซักไซ้ต่อ เดินไปที่มอเตอร์ไซค์สวมหมวกกันน็อกพลางคร่อมลงบนนั้น แล้วบิดคันเร่งจากไปทันที
การหัวเราะดังๆ ทำให้กระเทือนถูกแผลอีกแล้ว แต่ว่าเขาหยุดไม่ได้ ทำได้แค่เอามือกุมอกไปด้วยระหว่างปิดประตู
ถ้าเป็นอย่างที่พี่อู่ว่าไว้จริงละก็ อาวั่นได้เจอกับดาวพิฆาตอย่างเธอก็เป็นชะตาของหมอนั่นแล้ว ตอนนี้เขาชักรู้สึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนสนิทที่เขารักดั่งพี่น้องแขนขาแล้ว
เขายิ้มแล้วเดินกลับไปที่ห้องรับแขก เปิดถุงหยิบของบางอย่างออกมาจากในนั้น สำรวจไปรอบๆ บ้านก่อนจะกลับเข้าไปในห้องของเธอ
สัตว์ประหลาดบนประตูจ้องมองเขา
“จริงๆ นะ เป็นถึงสัตว์เทพเฝ้าประตู พวกแกควรจะทำหน้าที่สักหน่อย”
เขาหยิบแผ่นดินเหนียวสองแผ่นนั้นขึ้นมา ติดของบางอย่างไว้ด้านหลังก่อนจะแขวนคืนที่เดิม แล้วก็ถอยออกมามอง
พวกมันดูปกติดี น่าเกรงขามขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีพิรุธอะไร
เขานั่งลงบนเตียงอย่างอารมณ์ดี กินยาดื่มน้ำแล้วเอนตัวลงอีกครั้ง