Jamsai
ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 4
เมื่อเสี่ยวหม่านเลิกงานกลับบ้าน ทั้งบ้านมืดสนิท
เพราะว่าตอนกลางวันโทรมากวนเขาตื่น เธอเลยไม่โทรมาอีกตลอดบ่าย เพียงแค่ส่งข้อความมาตอนเลิกงาน
แล้วเขาก็ไม่ตอบ
เธอเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะมีปัญหาอะไร หรือเขาอาจจะแค่หลับไป
และเพราะกลัวว่าเขาจะหิว เธอเลยไปซื้อของกินมาให้เขาเป็นพิเศษ
แม้ช่วงนี้กว่าฟ้าจะมืดก็ตอนสองทุ่ม แต่นี่ก็เย็นย่ำมากแล้ว ถ้าเขาตื่นอยู่ก็น่าจะเปิดไฟสิน่า
นอกจากว่าเขาจะมีไข้สูงไม่ได้สติ แค่คิดว่าเขากำลังนอนรอความช่วยเหลืออยู่บนเตียงเธอก็ก้าวยาวขึ้นเป็นสามเท่าไปถึงหน้าประตู รีบเอากุญแจออกมาไข
ที่จริงแล้วเธอก็ไม่ได้กะว่าจะกลับค่ำขนาดนี้ แต่เวลาที่เธอกำลังตั้งใจมักจะลืมอย่างอื่นรอบข้างไปสิ้น กว่าเธอจะเรียกสติคืนมาจากหัวเรื่องที่วิจัยได้ก็เลยเวลาเลิกงานแล้ว
เธอรีบเข้าไปในบ้าน เปิดไฟ หอบเอาอาหารถุงเล็กถุงใหญ่เข้าไปด้วย วางของลงได้ก็วิ่งไปที่ห้อง เปิดประตูเข้าไปโดยอัตโนมัติ
ชายที่อยู่บนเตียงนอนกางแขนขาออกเต็มที่ มือข้างหนึ่งกอดหมอนที่หนุนไว้ แต่ที่ทำให้เธอตื่นตกใจก็คือเขาที่อยู่ตรงหน้าเธอแม้จะกำลังหลับ แต่ก็ไม่รู้ว่าถอดกางเกงออกตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั่วทั้งตัวนอกจากผ้าพันแผลบนช่วงตัวแล้วก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าชิ้นใดอีก ผ้านวมที่อยู่บนตัวเขาก็ร่วงลงมากองบนพื้น
“กรี๊ด!”
เพราะไม่คิดว่าจะมาเห็นเขาในสภาพเปลือยเปล่า เธอจึงตกใจกรีดร้องออกมา
เขาสะดุ้งเพราะเสียงร้องของเธอ ลุกขึ้นมามองหาต้นตอ แต่ด้านหลังเธอไม่มีคน ด้านข้างเธอก็ไม่มีคน ไม่มีใครถือปืนจ่อหัวเธอเลยสักคน เธอเองก็ไม่ได้ตกใจสะดุดล้ม
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ครั้งนี้
ทว่าพอเขาลุกขึ้นมา เธอก็ร้องอีกครั้งหันหนีไปอย่างรวดเร็ว
“อะไร เกิดอะไรขึ้น” เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเธอตื่นตกใจอะไร
“คุณไม่ได้ใส่!” เธอหันหลังให้เขา หน้าแดงจรดใบหูร้องเบาๆ ว่า “ทำไมคุณไม่ใส่…กางเกงของคุณ”
ได้ยินแบบนี้เขาก็ชะงักไป พอก้มมองดูตัวเองก็เข้าใจขึ้นมาทันที สิ่งที่ทำให้เธอตื่นตกใจขนาดนี้ที่แท้ก็คือน้องชายน้อยๆ ของเขานั่นเอง
เขาคลายความตื่นตัว ขยับผ้าพันแผลที่เปิดขึ้นมาอย่างขบขัน นั่งกลับลงไปบนเตียง “สวรรค์ ที่ผมไม่ใส่อะไรเลยเพราะว่าผมร้อน”
“ร้อน?” เธอลดสายตาก้มลงไปเก็บผ้านวมบนพื้นขึ้นมายื่นให้ทั้งที่ยังหันหลัง “คุณมีไข้อีกรึเปล่า”
“ไข้หรือ ไม่มีนี่” เขาจับผ้านวมผืนใหญ่ยาวพันรอบร่างกายท่อนล่างไว้ เห็นเธอยังไม่กล้ามองมาก็พูดยิ้มๆ “ผมนุ่งไว้เรียบร้อยแล้ว”
เธอค่อยหันกลับมามองเขาด้วยใบหน้าแดงซ่าน พูดอย่างอารมณ์บูดว่า “คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้มีไข้”
“ผมแน่ใจ” เขาหาวแล้วมองออกไปที่หน้าต่าง “ฟ้ามืดแล้วหรือ”
เธอไม่เชื่อเขา กลัวว่าเขาจะมีไข้อีกจึงเอาปรอทวัดไข้มาวัดอุณหภูมิให้
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ คุณกังวลเกินไปแล้ว สัตว์ประ…” เขาคว้าผ้าพันแผลที่อยู่บนอกพูดเสียงแหบแห้ง พูดไปครึ่งทางก็รู้ตัว รีบหยุดปากไว้
“คุณว่าอะไรนะ” เธอได้ยินไม่ชัด เงยหน้าขึ้นมา
“ผมจะบอกว่าเป็นผมไม่ดีเอง” เขาส่งยิ้มให้เธอ รีบเปลี่ยนเรื่องพูดหน้าตาเฉย “ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณเป็นตากุ้งยิงนะ ขอบคุณที่สละเตียงให้ผม”
โดยไม่สงสัยอะไร เสี่ยวหม่านหน้าแดง ก้มหน้าอ่านค่าบนปรอทวัดไข้ดิจิตอล “ก็แค่ชั่วคราว คุณไม่ต้องคิดมาก”
ค่าตัวเลขบนปรอทวัดไข้ทำให้เธอยิ้มออกมา อุณหภูมิร่างกายเขาลดลงแล้ว
เธอถอนใจโล่งอก
“ฉันซื้อของกินมาให้” เธอมองเขา “คุณลุกจากเตียงมาห้องรับแขกได้ใช่มั้ย”
“แน่นอน” เขายิ้มมองเธอ “ในเมื่อผมข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาได้อย่างราบรื่นปลอดภัย ผมว่าแค่ระยะทางสั้นๆ จากนี่ถึงห้องรับแขกถือว่าสบายมาก”
เธอวางปรอทวัดไข้ลง มองเขาด้วยความโมโหระคนขบขัน
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ใส่เสื้อผ้า แล้วย้ายร่างออกมากินข้าวซะ”
อาการเขาตอนนี้ดีขึ้นจริงๆ
หลังจากมองดูชายตรงหน้าใช้ท่าทีราวกับลมพายุกวาดใบไม้สวาปามของกินต่างๆ ที่เธอซื้อเข้ามา เสี่ยวหม่านก็ต้องตะลึง ขณะที่เธอเริ่มกังวลว่าของที่ซื้อเข้ามาจะไม่พอให้เขากิน เขาก็หันมาดื่มชาเปปเปอร์มิ้นต์ที่เธอชงให้ในที่สุดและหยุดกินอย่างตะกละตะกลามสักที
“แผ่นดินเหนียวในห้องของคุณใช่ที่เอามาจากอิรักในตอนนั้นหรือเปล่านะ”
“ใช่ค่ะ” เธอพยักหน้า
“ผมคิดว่าคุณได้มาแค่อันเดียวซะอีก” เขากินไปถามไปอย่างสงสัยใคร่รู้ “อีกอย่างหน้าตามันก็ไม่ค่อยเหมือนเดิมด้วย ผมจำได้ว่าตอนเจอที่ถนนมันไม่ได้หน้าตาแบบนี้”
เธอชะงัก ไม่คิดว่าเขาจะสังเกตเห็น
“จำไม่เห็นได้ว่าเจ้าตัวนั้นมีหน้าอกด้วย”
เธอได้ยินดังนั้นก็นิ่งงัน ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างขบขัน “ฉันได้มาแค่ตัวเดียว ก่อนหน้านั้นฉันมีอีกตัวอยู่แล้ว อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นคนให้ ฉันชอบลามาซูตัวนั้นมาก พอมาเจอคู่ของมันอีกตัวขายอยู่ข้างทางฉันก็ดีใจมากเลย ตอนนั้นคิดว่าตัวนี้ก็เป็นลามาซูเหมือนกัน แต่พอกลับถึงโรงแรมมาดูดีๆ ถึงพบว่ามันเป็นอัปซาซู”
พูดไปสองตาเธอก็เป็นประกายสดใสมีชีวิตชีวา “ก่อนหน้านี้มีคนเอามันมาปิดปูนทับอีกชั้นหนึ่ง จงใจปิดบังลักษณะของเพศหญิงกับกรงเล็บสิงโตของมัน พอฉันกลับมาบ้านก็เอามันมาเทียบกับลามาซูที่มีอยู่แล้ว ถึงพบว่าเท้าที่เป็นกีบเท้าวัวของลามาซูตัวนี้ก็ถูกปิดทับขึ้นมาใหม่เหมือนกัน พอจัดการแกะออกมาพบว่าลามาซูตัวนี้ก็มีกรงเล็บสิงโต พวกมันเป็นคู่เดียวกันจริงๆ ด้วย! คุณรู้มั้ย สัตว์เทพที่มีเท้าเป็นกีบจะคอยปกป้องคุ้มครองบ้านเมือง ส่วนสัตว์เทพที่มีเท้าเป็นกรงเล็บจะเป็นนักรบ แสดงว่าดินแดนแถบนั้นต้องเคยมีนักรบหญิงที่มีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชาย!”
เขาเลิกคิ้วกล่าว “ผมเคยได้ยินว่าหลายที่ในโลกมีสังคมที่เพศหญิงเป็นใหญ่”
“ถูกต้อง เพียงแต่ว่ายุคสมัยได้เปลี่ยนไป พอผู้ชายขึ้นมามีอำนาจก็ได้ทำลายหลักฐานเหล่านี้ทิ้งไป”
“ผมเชื่อเรื่องนี้ ที่บ้านผมก็มีแม่เสืออยู่หลายคน” เขาทำหน้าล้อเลียน หัวเราะแลบลิ้น “พี่สาวคนโตผมนี่น่ากลัวที่สุด”
เธอนิ่งไป ยังไม่ทันตอบคำเขาก็พูดกับเธอยิ้มๆ “พูดถึงศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์คนนั้นได้มาหาเรื่องคุณอีกรึเปล่า”
“ไม่แล้ว” เธอส่ายหน้าแล้วหุบยิ้ม “ฉันมาอยู่ตั้งไกล ทำงานในองค์กรเอกชน เขาคิดจะหาเรื่องฉันคงยุ่งยากหน่อยละ”
“ก็จริง” เขาหัวเราะพลางหยิบขนมปังปาดซอสเกรวี่ในจานแล้วยัดเข้าปาก
เธอขำที่เขากินได้จานสะอาดมาก ถามออกมาว่า “คุณบอกว่าคุณจะส่งหนังสือมาให้ฉัน ฉันก็คิดว่าคุณจะส่งมาทางไปรษณีย์”
“ตอนที่ได้รับข้อความของคุณ ผมกำลังจะออกมาพอดีเลยติดหนังสือมาด้วย” เขาจิบชาเปปเปอร์มิ้นต์ร้อนๆ พลางเอ่ย “ทีแรกว่าจะส่งทางไปรษณีย์ แต่ก็ไม่ว่างสักที เสร็จธุระแล้วมาเห็นหนังสือเล่มนั้นก็คิดว่าไหนๆ ก็ต้องผ่านมา แวะเอามาให้เลยดีกว่า”
“ฉันส่งข้อความให้นั่นมันตั้งแต่สองเดือนที่แล้วนะ”
“ผมรู้ แต่ว่าที่ที่ผมไปมันไม่มีสัญญาณ” เขาพูดพาซื่อ “ในป่าอะเมซอนมีสถานีสัญญาณน้อยมาก”
“อะเมซอน…ตกลงว่าคุณทำอะไรที่ไหนกันแน่”
“มีเครื่องบินของมหาเศรษฐีคนหนึ่งตกลงในป่าดงดิบ แต่ว่าที่นั่นทุรกันดารเกินไปไม่ต่างอะไรจากงมเข็มในมหาสมุทร รัฐบาลท้องถิ่นกับหน่วยกู้ภัยก็หาเขาไม่เจอเลยได้แต่ยอมรามือ ครอบครัวของเขาก็เลยมาขอให้ผมช่วยหาคน” เขายักไหล่ ยิ้มพลางกล่าว “ผมก็เลยไปที่นั่นมา”
ชั่วพริบตาเขาก็กวาดของที่เหลือบนโต๊ะจนหมดเกลี้ยง เสี่ยวหม่านจึงลุกไปหยิบมัฟฟินที่เดิมกะว่าจะกินพรุ่งนี้มาจากห้องรับแขก พอกลับมาที่ห้องกินข้าวก็เห็นเขาเก็บจานที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารไปแช่ในอ่าง
เขาไม่โง่อยู่ล้างจานต่อ เธอรู้ว่าเวลาก้มเขาจะเจ็บแผลที่เอว
เธอยื่นมัฟฟินให้เขา เขารับขนมเดินถือไปกินที่โต๊ะทันทีด้วยความพออกพอใจอย่างมาก
“กระเพาะคุณเป็นหลุมดำรึไง” เธอถามอย่างขบขัน
“ก็ไม่นะ” เขาพูดพลางยิ้ม “แต่คุณก็น่าจะรู้ว่าการกลับมาอยู่ในโลกที่ศิวิไลซ์มันดีแค่ไหน”
เธอหักห้ามความรู้สึกที่อยากจะถามเอาไว้แล้วเดินไปล้างจาน แต่ก็ได้ยินเสียงชายคนนั้นกินไปเล่าไปมาจากข้างหลัง “คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าผมขลุกอยู่ในป่าดงดิบเป็นเวลาสองเดือน กินทั้งเนื้องู เนื้อจระเข้ เนื้อกระรอก พอผมพาเศรษฐีคนนั้นออกมาจากชนเผ่าพื้นเมืองได้ มาถึงสนามบินได้ขึ้นเครื่อง ผมกินอะไรก็ถูกปากไปหมดเลย”
เสี่ยวหม่านตะลึง “เศรษฐีคนนั้นยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ”
“ใช่แล้ว เขายังมีชีวิตอยู่” เกิ่งเนี่ยนถังกลอกตามองบน “เครื่องบินตกนั่นไม่ใช่อุบัติเหตุ เขามีแม่กับภรรยาที่เอาแต่กดดันเขา บังเกิดเป็นความเครียดสั่งสม เขาเลยกุเรื่องอุบัติเหตุเครื่องบินตกขึ้น แต่ความจริงเขาโดดร่มลงมาก่อนแล้ว เจ้าทึ่มนั่นคิดว่าขอแค่ตกถึงพื้น พกแค่ปืนหนึ่งกระบอกกับกระสุนไม่กี่นัดก็สามารถออกมาได้ แล้วนำเงินที่เขาซ่อนไว้ที่หมู่เกาะเคย์แมนไปใช้เป็นทุนตั้งต้นชีวิตใหม่โดยไม่ให้ใครรู้ ผลก็คือเขาโดดร่มลงมาติดอยู่บนต้นไม้ พอหาทางลงมาได้ก็ถูกงูพิษกัด สุดท้ายถูกชนเผ่าพื้นเมืองจับตัวไป”
เธอฟังแล้วสองตาก็เบิกกว้าง “เรื่องจริงหรือนี่”
“จริงสิ” เขาหยิบมัฟฟินออกมาจากถุงกระดาษอีกชิ้น ยิ้มพลางกล่าว “นับว่าเขายังโชคดี ที่กัดเขาเป็นงูพิษน่ะ ตอนที่เขาไม่ได้สติก็มีชนพื้นเมืองช่วยเขาไว้ทำให้รอดชีวิตมาได้ คนที่ช่วยเป็นลูกสาวของหัวหน้าเผ่าและเกิดตกหลุมรักเขาขึ้นมา หลังจากนั้นเจ้าคนดวงกุดก็เลยถูกบังคับให้แต่งงานอีกรอบ”
เธอได้ยินดังนั้นก็ปล่อยก๊ากออกมา
“คุณไปหาเขาเจอได้ยังไง”
“ผมสอบถามมา ผมรู้ว่าถิ่นนั้นมีหมู่บ้านชนเผ่าพื้นเมืองอยู่สองสามแห่ง แต่พวกนั้นไม่ค่อยไว้ใจคนนอก ก็เลยไม่ค่อยบอกอะไรให้คนนอกรู้ ผมต้องใช้เวลาสักพักให้พวกเขาคุ้นเคยกับผม นายพรานในเผ่าแห่งหนึ่งถึงได้ยอมเล่าให้ผมฟังว่าเห็นเครื่องบินตกลงมาจากท้องฟ้า”
เธอฟังเขาไปล้างจานไป
เขาเล่าต่อมาจากทางด้านหลังว่า “ผมเจอเครื่องบินและเจอร่มชูชีพ แต่ในนั้นไม่มีศพ สายร่มชูชีพถูกตัดขาด บนพื้นก็มีรอยเท้า และยังมีห่ออาหารแห้งที่ถูกแกะกินเกลี้ยง ผมเลยแน่ใจว่าถ้าเขาไม่โดนจระเข้งาบหรือไม่ก็จมน้ำตาย เขาน่าจะยังมีชีวิตอยู่ ผมเดินตามรอยเท้าบนพื้น ค้นพบรอยเท้าคนอื่นนอกจากรอยเท้าของเขา แต่ว่าคนพวกนั้นรู้ดีว่าควรเคลื่อนไหวอย่างไรในป่าดงดิบเพื่อปกปิดร่องรอยของตน ผมเลยเสียเวลาไปมากกว่าจะหาเผ่านั้นเจอ แต่ผมจนปัญญาจะเข้าใกล้เขา คนในเผ่าแห่งนั้นก็เหมือนกับเผ่าแรกที่ผมได้พบ หวาดระแวงคนนอกมากเช่นกัน อีกอย่างภรรยาใหม่ของเขาก็คอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลา”
ฟังมาถึงตอนนี้เธอก็อดขำไม่ได้
“ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เจ้าหมอนั่นก็ไม่ได้หน้าตาหล่อเหลาอะไร แต่ภรรยาทั้งสองของเขาต่างก็ขาดเขาไม่ได้ แถมยังเป็นพวกแม่เสือกันทั้งคู่ น่ากลัวมาก ผมพูดจริงๆ นะ กว่าผมจะพาเขาออกมาได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ ภรรยาคนที่สองของเขานำกองกำลังขี่ม้ากลุ่มใหญ่ไล่ตามมาเป็นหลายร้อยกิโล ติดหนึบเป็นตังเมสลัดยังไงก็ไม่หลุด น่าสะพรึงสุดๆ”
คำพูดเขาทั้งเกินจริงทั้งติดตลก เธอหันมาเก็บจานชามที่เช็ดแห้งแล้วกลับเข้าตู้ เห็นเขาทำท่าลูบอก
“ขนาดนั้นเลยหรือ”
“ขนาดนั้นเลยแหละ” เขาเลิกคิ้วมองเธอ เมื่อนึกย้อนเหตุการณ์ตอนนั้นก็นิ่วหน้ากล่าว “คุณว่าใครเป็นคนปล่อยจระเข้มากัดผมล่ะ พวกผมถูกไล่ตามทัน ปกติมีแต่คนเขาปล่อยหมามากัด แต่ผู้หญิงคนนั้นเล่นปล่อยจระเข้! ถ้าไม่เพราะผมดวงแข็งละก็ คงกลายเป็นอาหารของมันไปนานแล้ว”
ชายคนนี้เล่าเรื่องได้ออกรสออกชาติ ฝอยซะเป็นคุ้งเป็นแควพร้อมกับทำท่าประกอบ
รู้ดีว่าเขาอาจจะแค่แต่งเรื่องขึ้น แต่เธอก็ยังขำไม่หยุด
“แสดงว่าตลอดทางที่คุณสู้กับจระเข้และช่วยเศรษฐีคนนั้นออกมา คุณพกหนังสือเล่มนั้นไว้”
“ถูกต้อง” เขายิ้มตอบคำหน้าไม่เปลี่ยนสี
“ขี้โม้” เธอพยายามปั้นหน้า แต่สุดท้ายก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่