Jamsai
ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 5
“แล้วคุณแต่งงานยัง”
“ยัง” เขาพูดหน้าไม่เปลี่ยนสี
“ดีแล้ว” เธอก้มหน้ากินเนื้อสเต็กอยู่ สักพักก็นิ่งไปก่อนจะรีบอธิบายว่า “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ แค่ไม่อยากให้ใครต่อใครเข้าใจผิด”
“ผมยังไม่แต่งงาน ไม่มีภรรยา แล้วก็ไม่มีแฟน” เขาจ้องเธอ ส่งยิ้มให้แล้วกล่าว “ตอนนี้ยังไม่มี”
เธอกลอกตา เกือบหลุดคำว่าดีแล้วออกมาอีกครั้ง แต่ก็รีบหั่นสเต็กเข้าปากหยุดตัวเองไม่ให้พูดจาเลอะเทอะ แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเขา
“ผมยังไม่ได้แต่งงานจริงๆ” เขาหัวเราะขบขัน “ผมสาบานได้ ให้คุณดูบัตรประชาชนผมก็ได้”
“ไม่ต้องหรอก” เธอหน้าแดงถึงใบหู “ฉันไม่ได้อยากจะทำตัวเป็นนักสืบ ฉันแค่ไม่อยากเดินๆ อยู่ก็ถูกคนกล่าวหาว่าเป็นมือที่สาม”
“แม่คนแสนซื่อ เวลาแบบนี้คุณควรจะยืนกรานขอดูบัตรประชาชนถึงจะถูก ผู้ชายมีแต่พวกไร้ยางอาย พอคิดจะทำอย่างว่าขึ้นมา คำสาบานก็แค่พูดๆ ไปงั้น คำสาบานในเวลาแบบนี้ก็แค่เพื่อหยุดปากผู้หญิง ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงมากน้อยแค่ไหนต้องมาเสียรู้ให้กับไม้นี้”
พูดบ้าอะไรเนี่ย!
ทว่าคำพูดของเขาก็ทำให้เธอต้องยิ้มอีกครั้ง อดตีฝีปากต่อไม่ได้
“บัตรประชาชนก็ปลอมแปลงได้”
“เพราะฉะนั้นต้องขอดูพาสปอร์ตประกอบด้วย แล้วก็อย่าลืมไปส่องตามโซเชียล เอารูปเขาไปเสิร์ชอีกทีบนกูเกิลด้วย” เขาพูดไปก็แกว่งมีดหั่นสเต็กไป “คุณไม่รู้หรอกว่ามีคนโง่ที่โพสต์ข้อมูลส่วนตัวแถมตั้งค่ารูปภาพเปิดเป็นสาธารณะเยอะมากแค่ไหน”
“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ ครั้งหน้าฉันจะยืนกรานขอตรวจสอบต่อแน่นอน สืบค้นไปถึงบรรพบุรุษแปดชั่วโคตร เอาให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่เป็นมือที่สามที่สี่ที่ห้า ค่อยตกลงเป็น…เพื่อน…เขา!”
พอพูดถึงสองคำสุดท้าย เธอก็จงใจเน้นเสียง
เขาหัวเราะ เลิกคิ้วกล่าว “จะคบเพื่อนก็ต้องระวังให้ดี คบเพื่อนผิดชีวิตเปลี่ยน”
“อย่างคบคุณ?”
คำพูดนี้ตบมุกได้ดังมาก เขาหัวเราะฮาใหญ่ทำให้เธอพลอยหัวเราะตาม
เขาคนนี้ช่างเป็นคู่หูที่น่าสนใจจริงๆ
มีชีวิตชีวา ร่าเริงแจ่มใส บางครั้งก็ทำให้เธอโกรธแทบตาย บางครั้งก็ทะเล้นทำให้เธอได้หัวเราะดังๆ
ตั้งแต่ไปเรียนหนังสือที่อเมริกาเป็นต้นมา เธอใช้เวลาส่วนใหญ่อาศัยอยู่คนเดียวในหอนอก ชินกับการอยู่คนเดียวตั้งนานแล้ว แทบจะลืมว่าการอยู่กับคนอื่น ได้คุยเล่นกันแบบนี้น่าเบิกบานใจแค่ไหน มีคนกินข้าว ดูหนัง พูดคุยสัพเพเหระร่วมกันเป็นรสชาติอย่างไร
ว่าตามจริง เธอย้ายมาที่นี่ได้ไม่กี่เดือน ได้เปิดทีวีดูแค่ไม่กี่ครั้งเอง
ก่อนหน้านี้เธอไปทำงานทุกวัน ทำวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และโบราณคดี ยุ่งเสียจนกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ปาเข้าไปสองสามทุ่มแล้ว ที่ผ่านมาเธอคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว อยู่บ้านดูทีวีเป็นอะไรที่เสียเวลา แต่ตอนนี้เธอกลับพบว่าการใช้เวลาทั้งวันขลุกอยู่กับการอ่านข้อมูลจนสายตาพร่าพราย พอได้กลับบ้านมาพักผ่อนสักหน่อย เช้าวันถัดไปก็จะทำงานได้ประสิทธิผลดีขึ้น มีสมาธิมากขึ้น
ในช่วงที่เขามาพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ พอเขากินอาหารเสร็จก็จะลุกไปดูทีวีที่ห้องรับแขก ให้เธอได้กลับห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเป็นธรรมชาติ
บางครั้งเวลาเธออาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนออกมาจากห้อง ถ้าเขายังดูรายการทีวีไม่จบ เธอก็จะไปนั่งบนโซฟาดูทีวีกับเขาด้วย ที่ทำให้เธอแปลกใจก็คือเขาไม่ชอบดูรายการข่าว แต่ชอบดูช่องหนังกับถ่ายทอดสดกีฬา ที่เธอเหลือเชื่ออีกอย่างก็คือเขาชอบดูรายการทำอาหารมากเป็นพิเศษ
เขาเล่าให้ฟังว่ามีน้าสาวที่ทำอาหารเก่งมาก เสริมอีกว่าอาของเขาทักษะการทำอาหารย่ำแย่มาก แต่ก็ยังเปิดร้านอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้ร้านเจ๊งจึงไปดึงตัวน้าสาวที่ฝีมือการทำอาหารเป็นเลิศมาโดยด่วน แล้วก็สู่ขอเธอ
เรื่องที่เขาเล่ามานั้น เธอฟังไปหัวเราะไป ไม่ได้เก็บมาคิดจริงจัง
เขาอยู่ที่นี่ได้ครึ่งเดือน รอยฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้าค่อยเปลี่ยนเป็นจางลง
ในช่วงนี้เธอจะนอนบนโซฟา เธอไม่มีปัญหาอะไรกับการนอนโซฟาเพราะเธอเองก็ไม่ใช่คนตัวสูง ยืดตัวนอนตามปกติบนโซฟาได้ ไม่ได้ยุ่งยากอะไร
แต่ที่ยุ่งยากก็คือพอเขาอาการดีขึ้นแล้ว เธอไม่อาจเมินข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นชายหน้าตาหล่อเหลามีเสน่ห์ รูปร่างสูงล่ำ โดยเฉพาะในเวลาที่พวกเขาทั้งสองคนนั่งอยู่บนโซฟาดูทีวีด้วยกัน มันช่างเป็นเรื่องยากสำหรับเธอจริงๆ
กินอิ่มอาบน้ำเสร็จ ข้างนอกฟ้ามืด คนสองคนมานั่งด้วยกันบนโซฟาอันอบอุ่น ช่างยากที่จะไม่ให้คนคิดอะไรเลยเถิด
เธอรู้สึกถึงความอุ่นจากร่างกายเขา ได้กลิ่นของเขาแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นกลิ่นยา ยิ่งไปกว่านั้นเขาชอบนำท่อนแขนกำยำวางพาดบนขอบโซฟาด้านหลังเธอ บางทีก็ก้มลงมาพูดกับเธอ ทำให้เธอยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่ ไม่ว่าทีวีจะฉายอะไร เธอก็เห็นทุกอย่างพร่ามัวไปหมด
เวลาที่เธอรู้สึกตัวก็จะรีบบังคับตัวเองให้จดจ่ออยู่กับภาพเคลื่อนไหวบนจอ เพื่อไม่ให้เขาจับได้ว่าเธอแอบมองเขาแทนที่จะดูทีวี
ทีวีเปลี่ยนมาฉายโฆษณา เธออดใจไม่อยู่แอบมองเขาอีกครั้ง เขากำลังไถหน้าจอมือถืออยู่
แล้วเธอก็สังเกตเห็นภาพบนจอมือถือของเขาว่าไม่ได้เป็นหน้าจอสำหรับผู้ใช้งาน ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ตอนเธอชาร์จแบตให้เขาก็เห็นแล้วว่ามือถือเขาไม่ใช่มือถือรุ่นที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไป
บนมือถือสีดำนั้นไม่มีชื่อเครื่องหมายการค้าหรือสัญลักษณ์ใดๆ กำกับอยู่ ขนาดบริษัทมือถือที่ดังที่สุดในโลกยังมีตราแอปเปิลโดนกัดเลย
แต่ของเขาไม่มีอะไรเลย
“คุณเป็นสายลับรึเปล่า”
คำถามนี้อยู่ๆ ก็หลุดออกมาจากปาก เธอเองก็ไม่ทันตั้งตัว ส่วนที่มีเหตุผลของเธอรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ควรอยู่ร่วมกับเขา แต่เห็นได้ชัดว่าส่วนที่เป็นความรู้สึกของเธอไม่คิดเช่นนั้น
ตายแล้ว
“คุณไม่จำเป็นต้องตอบ ถือซะว่าฉันไม่ได้ถาม” เธอโพล่ง
ได้ยินดังนั้นเขากลับยิ้ม “ผมไม่ได้เป็น”
“อ้อ” เธอตอบรับคำหนึ่ง บังคับให้ตัวเองมองไปที่หน้าจอ แต่หางตาเห็นเขาเริ่มเล่นโทรศัพท์
ไถแล้วไถอีก…ไถแล้วไถอีก…
โฆษณาจบไปแล้วอีกเรื่อง
ไถแล้วไถอีก…ไถแล้วไถอีก…
เธอขบริมฝีปากเพื่อยั้งตัวเองไว้
ไถแล้วไถอีก…ไถแล้วไถอีก…
โอย! บ้าจริง! ช่างมันเถอะ!
“ถ้าคุณไม่ใช่สายลับ งั้นทำไมถึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อการร้าย” คำถามที่ติดอยู่บนปลายลิ้นหลุดออกมาในที่สุด
“ผมแค่บังเอิญไปเจอระหว่างปฏิบัติหน้าที่” เขาพูดและยิ้มให้เธอ
“งานอะไรถึงได้ไปเกี่ยวโยงกับผู้ก่อการร้าย”
“ตรวจสอบเหตุผิดปกติ”
“ตรวจสอบเหตุผิดปกติ?”
“ผมเป็นคนขององค์กรเรดอาย” เขาพูดพลางเลิกคิ้วยิ้มให้ “ผมเคยให้นามบัตรคุณไปแล้วนี่”
“นามบัตรใครก็ปลอมได้” เธอเลิกแสร้งทำเป็นดูทีวีแล้วหันมาประสานมือไว้ที่อก จ้องมองเขาตรงๆ “อย่ามาล้อเล่นน่า ต่อให้คุณเป็นคนขององค์กรเรดอาย ถ้าคุณมีพ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาจริง ทำไมได้รับบาดเจ็บแล้วคุณถึงไม่กลับบ้าน มามุดหัวหลบอยู่ที่นี่ทำไม”
“ถามจริง?”
“ถามจริง”
หญิงสาวตรงหน้าพูดด้วยความสงบ ดวงตากลับส่อแววไม่สบายใจ แต่เธอก็ไม่หลบตา
มองเธอแล้วอยู่ๆ หัวใจก็บีบรัดขึ้นมา เขาหุบยิ้มเอามือเสยผมก่อนจะรับคำ
“ความจริงก็คือผมได้รับบาดเจ็บมาแบบนี้ถ้าขืนกลับไปแม่คงตกใจแย่ กลับบริษัทก็คงถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เพราะว่าเจ้านายผมพอดีเป็นพี่เขยผมด้วย นั่นหมายความว่าทั้งเขาทั้งผมจะถูกพี่สาวผมกระทืบเข้าให้ อีกอย่างนั่นจะยิ่งทำให้พี่หลันมองว่าผมยังอายุน้อย ใช้แต่อารมณ์ แล้วก็ขาดวิจารณญาณในการตัดสินใจ”
“บ้าที่สุด ที่ฉันอยากได้ยินคือความจริง” เธอพูดพลางจ้องเขาอย่างโกรธเคือง
“นี่ผมก็พูดความจริง จริงที่สุดเลย”
เขามองดูเธอที่แสดงสีหน้าไม่เชื่อถืออย่างยิ่ง เกิ่งเนี่ยนถังรู้สึกทั้งระอาและเหลืออด ถอนใจแล้วพูดต่อว่า “คุณก็รู้ว่าถ้าผมอยากทำงานสายนี้ต่อ ผมควรจะปกป้องตัวเองได้พร้อมกับพาลูกค้ากลับมาอย่างสมบูรณ์ปลอดภัย แต่บาดแผลจะทำให้ไม่มีใครเชื่อในตัวผม”
ตอนเริ่มพูดฟังดูเหมือนเขากำลังล้อเล่น แต่พอมาถึงตอนท้าย รอยยิ้มกลับเหือดหายไป เขาขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาส่อแววเคืองขุ่น
“ผมทำพลาด ประเมินพลาดตอนที่ผู้หญิงคนนั้นไล่ตามมา”
ทันใดนั้นเธอก็รู้ว่าเขาพูดความจริง ที่เธอคิดว่าเขาพูดเพ้อเจ้อทั้งเรื่องจระเข้ ป่าอะเมซอน การไล่ล่าของชนเผ่าพื้นเมืองในเขตป่าดิบชื้น ทั้งหมดล้วนเป็นความจริง
“คนเราก็ทำพลาดกันได้” เธอได้ยินตัวเองพูด
“ผมเกือบจะทำทั้งตัวเองและลูกค้าตาย” เขายิ้ม แต่สีหน้ากลับยิ่งขรึมลง จากนั้นเขาก็หลบตาเธอแล้วขบกราม “นั่นเป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวพันถึงชีวิต”
เธอตระหนักได้ในทันทีว่าหลายวันมานี้ที่เขาดูเหมือนปลอดโปร่งอารมณ์ดี ในใจกลับจมจ่อมกับความทุกข์ เขาโทษที่ตัวเองทำพลาดมาตลอด
‘บาดแผลจะทำให้ไม่มีใครเชื่อในตัวผม’
ที่เขาต้องการคือความไว้ใจจากใคร ครอบครัว? เพื่อนร่วมงาน?
คงจะเป็นทั้งหมด เขาเลยมาซ่อนอยู่ที่นี่ ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
“คุณมันโง่เง่า”
คำพูดเธอทำให้เขาชะงัก เงยหน้าขึ้นมอง
“เอ๊ะ?”
“ถ้าคุณไม่อยากถูกมองว่าเป็นเด็กแปดขวบก็อย่าทำตัวเป็นเด็กแปดขวบ” เธอมองเขาแล้วว่า “แผลของคุณเยอะขนาดนั้นถึงจะหายดีแล้วก็จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ คุณคิดว่าพี่สาวกับพี่เขยคุณโง่ขนาดไหนกัน หรือคิดว่าไม่เห็นก็เท่ากับไม่มี”
เขาเลิกคิ้วขึ้นพูดพึมพำ “แผลเป็นก็มีหลายแบบ”
“คุณกำลังหลอกตัวเอง”
“ผมแค่ไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วง” เขางึมงำ
“เฮอะ” เธอส่งเสียงเยาะ หันกลับไปดูทีวี
“เฮอะอะไร” เขาซักอย่างอดเสียไม่ได้
“คุณก็แค่อยากรักษาหน้าตางี่เง่าของคุณ” เธอกล่าวหน้าไม่เปลี่ยนสี
“หน้าตาของผู้ชายเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่งี่เง่าเลยสักนิด” เขาพ่นลมหายใจพรืด นั่งกอดอกมองไปทางทีวี ไม่มองหน้าเธออีก เพียงเอ่ยว่า “อีกอย่างตอนนี้คุณควรจะปลอบใจผมสิ มาหาว่าผมโง่เง่าอย่างนี้ไม่น่ารักเลย นิสัยแบบนี้เดี๋ยวก็หาแฟนไม่ได้หรอก”
เธอหยิบหมอนอิงโยนใส่เขา