เขายิ้มพลางส่งเสียงประท้วง “นี่!”
เธอหยิบหมอนอิงอีกใบโยนใส่เขา
เขารับไว้แล้วพูดโต้ “วิญญูชนใช้เหตุผลไม่ใช้กำลัง คนถ่อยถึงจะ…”
เธอหันไปหยิบหมอนอิงบนโซฟาเดี่ยว เขาโน้มตัวรั้งเอวฉุดเธอกลับมาด้านหลัง
“ว้าย!” เสี่ยวหม่านร้อง พูดทั้งที่ยังยิ้ม “คุณจะทำอะไร ปล่อยฉัน”
“ปล่อยคุณ?” เขาจับตัวเธอมากดลงบนโซฟา ยึดแขนของเธอไว้ ถามทั้งยิ้มเช่นกันว่า “ทำไมต้องปล่อย ปล่อยให้คุณโยนหมอนใส่ผมอีกหรือ”
มองดูชายที่คร่อมอยู่เหนือร่างเธอแล้วเสี่ยวหม่านก็ใจเต้นรัวแรงขึ้นมา
“คุณบอกว่าวิญญูชน…ใช้เหตุผลไม่ใช้กำลัง…” เธอหอบเบาๆ พลางเอ่ยเตือนเขา
ชั่วเวลานั้นเหมือนเขาเองก็รู้สึก รอยยิ้มบนใบหน้าพลันสลาย
“ผมเคยพูดหรือว่าผมเป็นวิญญูชน” เขาถามกลับเสียงแหบพร่า
เสี่ยวหม่านพูดไม่ออกเพราะว่ารอยยิ้มที่หายไปของเขา เพราะว่าเขาอยู่ใกล้มาก เพราะว่าเธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่าง น้ำหนักและหัวใจเต้นของเขา ความอยากเล่นแต่เดิมของเธอพลันหายวับไป
ชั่วขณะหนึ่งที่ราวกับเวลาได้หยุดเดิน เหลือเพียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำ
เขาสบตาเธอแล้วโน้มศีรษะลงมาใกล้จนเธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา ราวกับเธอสามารถลิ้มรสเขาได้จากปลายลิ้น ริมฝีปากชมพูของเธอสั่นเล็กน้อย เธอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
ในเวลานั้นเองมือถือเขาก็ดังขึ้น
เขาได้สติ ปล่อยมือเธอ ลุกไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล?”
เสี่ยวหม่านลุกขึ้นมาหน้าแดงจรดใบหู มองดูเขาขบกรามขณะที่รับฟังคู่สนทนาก่อนที่จะหยักยิ้มขึ้นตามความเคยชิน พูดด้วยรอยยิ้ม
“ผมยังอยู่ในอังกฤษ”
อีกฝ่ายพูดอีกไม่กี่คำ เขาก็เอ่ยปากตอบ
“ไม่มีปัญหา ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
เขากดปุ่มวางสายหันมามองเธอ เธอมองออกว่ารอยยิ้มเขาส่งไปไม่ถึงดวงตาอย่างเห็นได้ชัด เขาขยับปากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก
“คุณจะไปแล้วสินะ” เธอพูดแทนเขา
“ผมใช้วันหยุดหมดแล้ว” เขาพูดเหมือนจะพูดเล่น
เธอรู้ว่าเป็นเรื่องงาน
เสี่ยวหม่านอยากจะเตือนว่าบาดแผลเขายังไม่หายดี แต่เขาคงจะรู้ดี
เธอสงบอารมณ์ความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน เอ่ยปากพลางยิ้ม
“แสดงว่าคืนนี้ฉันคงจะกลับไปนอนที่เตียงได้แล้วสินะ”
“ถูกต้อง” เขายิ้มอีกครั้ง
“ดีจังเลย” เธอเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิบนโซฟา ออกท่าโบกมือไล่เขา “รีบไปสิ ฉันแทบรอไม่ไหวแล้ว”
เขาเดินยิ้มกลับไปที่ห้อง หยิบกระเป๋าเดินทางสีดำออกมาภายในเวลาไม่ถึงนาที เร็วขนาดนี้ทำให้เธอรู้ว่าเขาเก็บกระเป๋าไว้เรียบร้อยแต่แรกแล้ว และพร้อมที่จะจากไปได้ทุกเมื่อ
เมื่อเขามาที่ห้องรับแขก เธอกำลังนั่งคุกเข่าเก็บหมอนอิงบนพื้น พอเห็นเขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นมา แต่นั่งอยู่อย่างนั้น
“อย่าลืมลงกลอนประตูล่ะ” เขาส่งยิ้มให้พลางพูดเตือน
“ได้” เธอนั่งอยู่บนพื้น กอดหมอนอิงใบนั้นไว้พลางพยักหน้า
เขาอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรอีก สุดท้ายก็เพียงยิ้มอีกครั้งแต่ไม่ได้พูดอะไร สาวเท้าไปที่ประตู
เสี่ยวหม่านมองดูเขาเปิดแล้วก็ปิดประตูลง เธอยังคงนั่งอยู่บนพื้น กอดหมอนอิงนุ่มนิ่มเอาไว้
เธอได้ยินเสียงเขาเปิดประตูรถ แล้วก็ปิดประตูรถ ได้ยินเสียงเขาสตาร์ตเครื่องยนต์แล้วก็ขับออกไป
ในบ้านกลับคืนสู่ความเงียบสงัด เงียบจนเธอได้ยินเสียงเดินของเข็มนาฬิกาเรือนเก่าบนผนัง
ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก…
ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก…
เธอกอดหมอนอิงแล้วก็ถอนใจ นั่งเหม่ออยู่เป็นนานค่อยลุกจะไปลงกลอนประตู เดินไปได้ครึ่งทางก็ได้ยินเสียงรถจากด้านนอก
เสี่ยวหม่านนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตูออกดู เห็นเขาแล่นรถบึ่งมาจอดที่หน้าบ้าน ลงรถสาวเท้าก้าวใหญ่มาหาเธอ
“อะไรกัน คุณลืม…”
เธอพูดไม่ทันจบเขาก็มาอยู่ตรงหน้าห่างจากเธอไม่กี่ก้าว ดึงตัวเธอเขาไปในอ้อมกอดแล้วจูบเธอ
ความร้อนวูบปะทุขึ้นมาทั่วร่างทำให้หัวสมองเธอขาวโพลน เพียงรู้สึกถึงวงแขนแข็งแกร่งกับริมฝีปากร้อนผ่าวของเขา
พอเขาปล่อยเธอ เธอก็ยังคงนิ่งอึ้งไม่โต้ตอบอะไร
เขาเผยอยิ้ม ยกนิ้วขึ้นไล้ริมฝีปากเธอทำให้เธอครางออกมา
“บ้าที่สุด” เขาสบถขึ้นเสียงเบาพลางยิ้ม “สัตว์ประหลาดน้อย คุณนี่ถูกหลอกใช้ง่ายจริงๆ”
เอ๋?
เสี่ยวหม่านได้สติคืน อยากจะขัดขืน แต่เขากลับจูบเธออีกครั้ง
ครั้งนี้โลกทั้งใบพลันสว่างขึ้นมา
ขณะที่เธอถูกจูบจนหน้ามืดตาลาย ร่างไม่สามารถยืนมั่น ได้แต่ยื่นแขนจะโอบรอบคอเขา เขาก็ผละออกจากแขนเธอ
“ให้ตายสิ ผมต้องไปแล้ว…คุณล็อกประตูให้เรียบร้อยนะ…”
ว่าไงนะ
เธอจ้องเขาด้วยสายตาตกตะลึง แต่ตาทึ่มนั่นก็ยังเดินจากไปทั้งอย่างนี้ ทิ้งเธอไว้ เดินขึ้นรถภายในสามก้าว ขับรถจากไปต่อหน้าต่อตาเธอ
เสี่ยวหม่านนิ่งงัน มือแตะริมฝีปาก ทั่วทั้งใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
นี่เขา…ทำอะไรของเขาเนี่ย