X
    Categories: everYGlass and Steelทดลองอ่าน

ทดลองอ่านนิยายวาย Glass and Steel บทที่ 3 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 3

ภายในของเหล็กกล้า

 

ร่างสูงกลับมาในห้องทำงาน นายทหารที่รออยู่ด้านหน้ารีบเดินตามเข้ามา ตบเท้าวันทยหัตถ์ครั้งหนึ่งตามระเบียบ

“ผู้กองครับ สายของเรารายงานว่ามีความเคลื่อนไหวที่แถวกำแพงเมืองด้านใต้ ตรงเขตยากจนริมแม่น้ำใต้เขื่อนครับผม”

ผู้ใต้บังคับบัญชารายงานด้วยน้ำเสียงนิ่ง จงใจหลงลืมไม่เอ่ยถามถึงคุณชายรองสกุลหลี่ซึ่งถูกลากออกไปจากห้องเมื่อครู่ใหญ่ หยางเหวินอี้ปรายตามอง ‘คนสนิท’ เห็นเพียงสีหน้าเรียบเฉยไม่มีเค้าสอดรู้สอดเห็น สมเป็นคนที่เขาคัดและฝึกมากับมือ

นายทหารหนุ่มพยักหน้านิดหนึ่งเป็นเชิงรับรู้ “แสดงว่าจดหมายเข้ารหัสที่ได้มาใช้ได้ผล” รอยยิ้มสมใจปรากฏขึ้นที่มุมปาก ร่างสูงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ เอ่ยถามต่อ

“แล้วพ่อแม่ลูกสกุลหยู้ออกจากจิ่นโจวไปรึยัง”

“เรียบร้อยแล้วครับผม พวกเขาอยู่ในเรือที่จะเดินทางไปจินเหมิน ผมกำชับคนเรือให้กักพวกเขาไว้ที่ใต้ท้องเรือตลอดเวลา ห้ามปล่อยออกมาเพ่นพ่าน แล้วก็ห้ามข่มเหงรังแกคุณนายหยู้เด็ดขาด ตามที่ผู้กองสั่งครับ”

“ดีมาก ขอบใจ”

เมื่อฟังรายงานจบ ร่างสูงก็โบกมือเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายออกไปจากห้อง เขารอจนประตูถูกงับปิดสนิทแล้วจึงค่อยเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สมองนึกใคร่ครวญถึงแผนการที่วางไว้เป็นขั้นตอน

ครอบครัวหยู้ได้ออกจากจิ่นโจวไปแบบเงียบๆ แต่ก็ไม่ได้ไร้ร่องรอยจนดูมีพิรุธน่าสงสัย หยู้ฝูถูกสั่งให้เขียนจดหมายตามคำบอกเพื่อแจ้งกับ ‘เหล่าสหาย’ ว่าเขาจำเป็นต้องไปเมืองอี๋เซี่ยนตามคำสั่งของสำนักงานใหญ่หนังสือพิมพ์เซ็นทรัลเดลี่ จึงถือโอกาสพาภรรยาและบุตรชายที่เพิ่งเกิดไปเยี่ยมบ้านเก่า

หากความจริงแล้ว นี่คือการช่วยเหลือสายลับคอมมิวนิสต์ผู้ทรยศต่อพรรคให้เลี่ยงหนีไปเสียให้ไกล ทั้งหลบเลี่ยงภัยจากการถูกฆ่าปิดปาก และป้องกันมิให้อีกฝ่ายส่งข่าวเรื่องการกวาดล้างครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันให้เหล่าสหายได้ล่วงรู้

โชคดีที่เขาเลือกจับกุมและสอบสวนนักหนังสือพิมพ์คนนั้นตอนกลางดึก ซ้ำยังนำทหารไปเพียงไม่กี่คน ทหารทุกนายล้วนเป็นคนที่ไว้ใจได้ว่าจะปิดปากเงียบ ไม่แพร่งพรายเรื่องที่เขาทำสัญญากับผู้ถูกสอบสวนว่าจะปล่อยเจ้าตัวและลูกเมียให้หนีไปอย่างปลอดภัย แลกกับข้อมูลลับทั้งหมดและจดหมายอีกฉบับหนึ่ง

นายทหารหนุ่มระบายลมหายใจออกมาเบาๆ

ความจริงการ ‘กำจัดให้สะอาด’ หลังจากไต่สวนนั้นง่ายกว่ากันมาก หากผู้บังคับบัญชาเบื้องบนรู้ว่าเขาใจอ่อน ปล่อยหมาจิ้งจอกเข้าป่า ตัวเขาเองก็อาจพบความยุ่งยากไม่น้อย ต่อให้มีบารมีของท่านปู่ค้ำจุนอยู่ก็เถอะ

นี่เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่เขาเลือกจะทำให้ตนเองอยู่บนความเสี่ยง เพื่ออย่างน้อย…คนคนนั้นจะได้ไม่ต้องพลอยติดบ่วงบาปเปื้อนเลือดนี้ไปด้วย

‘ไอ้ปีศาจ! เด็กไร้เดียงสาแกยังทำได้ลงคอ!’

เหวินอี้เหยียดยิ้มขื่นให้กับเสียงที่ตะคอกใส่พร้อมสีหน้ารังเกียจและหวาดกลัวซึ่งผุดขึ้นมาในความคิด

นั่นสินะ ในสายตาอีกฝ่าย เขาคงเป็นปีศาจร้ายเลือดเย็นที่ฆ่าได้แม้แต่ทารกตัวเล็กๆ หากความจริงก็คงไม่ต่างจากนั้นนัก ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายสอบสวนพิเศษมิได้มาจากความสามารถและมันสมองเพียงอย่างเดียว ยศบนบ่าแลกมาด้วยเลือดเนื้อของผู้ต้องสงสัย หลายครั้งที่เป็นน้ำตาของผู้บริสุทธิ์

ชายหนุ่มก้มลงมองมือของตน

มือคู่นี้เปื้อนเลือดของผู้คนมาไม่รู้เท่าไร…และมันก็เพิ่งจะทำลายของล้ำค่าอย่างหนึ่ง

ร่างสูงยืดตัวขึ้นนั่งตัวตรง เปิดลิ้นชักบนสุดของโต๊ะทำงานเพื่อหยิบถุงมือหนังสีดำคู่ใหม่มาใส่แทนคู่เก่าที่ถอดทิ้งไว้ในตึกหลังนั้น กล่องไม้เล็กๆ ที่มุมลิ้นชักทำให้ชะงักไปนิดหนึ่ง ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะเลื่อนมือไปเปิดฝากล่องออก และหยิบสิ่งที่อยู่ภายในออกมา

แก้วเจียระไนทรงหยดน้ำในมือสะท้อนแสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างเป็นประกายระยิบระยับ แก้วใสเนื้อดีที่ถูกเป่าจนบาง ก่อนนำไปเจียระไนให้เกิดเหลี่ยมมุมละเอียดยิบด้วยฝีมือประณีต ล้ำค่าราวกับอัญมณี

ประกายงดงามยามสะท้อนแสงไฟเคยทำให้เด็กน้อยที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกถึงกับหลงใหลเฝ้ามองอยู่นานสองนาน

.

.

ร่างเล็กในชุดเสื้อสูทตัวจิ๋ว หวีผมเรียบ ยืนเกาะโต๊ะเข้ามุมตัวสูง เขย่งเท้าที่สวมถุงเท้ากับรองเท้าหนังสีดำครบถ้วนยืดตัวสุดแรงเพื่อให้มองเห็นแสงพร่างพราวนั้นชัดตา

แก้วทรงหยดน้ำเนื้อบางร้อยด้วยโซ่ทิ้งลงมาเป็นสาย ไล่จากขนาดเล็กเท่าปลายก้อยจนถึงขนาดใหญ่ คล้ายกับแชนเดอเลียบนเพดานห้องเต้นรำที่เขาเคยเห็นตอนตามผู้เป็นบิดาไปงานเลี้ยงที่สโมสร แต่ย่อส่วนจนเป็นโคมไฟประดับห้อง

เมื่อครู่เขาได้ยินท่านพ่อเอ่ยชมสิ่งนี้กับท่านอาว่างามมาก ท่านอาเล่าว่าคู่ค้าจากยุโรปส่งมาเป็นของกำนัล เป็นงานฝีมือจากเมืองมูราโน่ในประเทศอิตาลี ในเมืองจีนมีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น

ท่านพ่อเห็นเขาสนใจจ้องมองอยู่นานก็กำชับว่าห้ามแตะต้องเด็ดขาด เกรงว่าจะทำแตกหักเสียหาย แต่พอบิดากับผู้เป็นเจ้าของบ้านพากันเดินออกไปสูบบุหรี่ เด็กชายก็อดไม่ได้ที่จะขอลองสัมผัสแก้วบางใสนั่นดูสักครั้ง

ขณะที่ปลายนิ้วกำลังจะแตะหยดน้ำที่อยู่ต่ำสุด ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกดันเปิดออก

แกร๊ก!

“อ๊ะ! หวา!”

เด็กน้อยสะดุ้งโหยง เขารีบชักมือกลับเพราะกลัวจะถูกจับได้ หากปลายแขนเสื้อสูทกลับเกี่ยวตะขอร้อยห่วงแก้วเจียระไน เขาเผลอปล่อยมืออีกข้างที่เกาะโต๊ะไว้ ส่งผลให้ล้มหน้าหงาย ดึงโคมไฟที่เกี่ยวแขนเสื้ออยู่ให้ร่วงตามลงมากระแทกกับพื้นไม้ขัดมันเสียงดังสนั่น

เพล้ง!!!!

แก้วบางใสที่แตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทำให้เด็กชายผวาเฮือก สัญญาณเตือนภัยในหัวดังลั่น

ทำของล้ำค่าราคาแพงของเจ้าบ้านเสียหายแบบนี้ เกรงว่าเมื่อกลับไปถึงจวนแม่ทัพ เขาต้องถูกท่านพ่อลงโทษอย่างหนักแน่ และหากรู้ถึงหูท่านปู่ล่ะก็…

เด็กชายกลืนน้ำลาย เหลือบมองคนที่เปิดประตูห้องเข้ามาเมื่อครู่

ร่างบอบบางที่สูงกว่าเขาอยู่ในชุดแบบตะวันตก ใบหน้าเรียวขาวที่มองกลับมานั้นตกใจไม่แพ้กัน แต่ที่ทำให้เด็กน้อยเผลอมองจ้องจนลืมความกลัวเมื่อครู่ คือดวงตากลมโตส่อแววหวานที่เบิกกว้างคู่นั้น

“คุณชายรองคะ! เมื่อกี้เสียงอะไรคะ!”

เสียงของแม่บ้านที่เดินอย่างเร่งรีบมาจากห้องด้านหลังทำให้คนที่อายุมากกว่าได้สติ

ร่างบางรีบเดินเข้ามาประคองเด็กชายตัวเล็กให้ลุกขึ้นยืน เจ้าตัวคงสังเกตเห็นว่าเขากำลังกลัวจนตัวสั่นระริก จึงดันให้หลบไปอีกทางหนึ่ง ยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้เงียบ ไม่ต้องพูดอะไร

หลังจากนั้นร่างเล็กก็ได้แต่ยืนน้ำตาคลอเบ้า มองดูคนอายุมากกว่ายืนกอดอกนิ่งให้พ่อบ้านหวดไม้เรียวลงมาซ้ำๆ ใบหน้าขาวนั้นกัดริมฝีปากแน่น หากไม่ยอมร้องออกมาสักแอะ

ทั้งท่านอาและบิดาของเขาคงพอจะมองออกว่าความจริงเป็นเช่นไร ท่านอาเองคงไม่อยากมีเรื่องเคืองใจกับแขกจึงตัดสินใจสั่งลงโทษบุตรชายของตนแทน ส่วนท่านพ่อก็พยายามจะลากแขนเขาขึ้นรถกลับบ้านเพื่อลดบรรยากาศกระอักกระอ่วน แต่เขายืนกรานจะอยู่รอจนการลงโทษจบลงเสียก่อน

สุดท้ายท่านอากับท่านพ่อก็เลยเดินกลับไปพูดคุยธุระกันในห้องสมุดอีกครั้ง เด็กชายรอจนการลงโทษจบลง และพ่อบ้านรีบเดินออกไปสั่งคนรับใช้ให้หยิบยามาทาแผลให้นายน้อยของตน แล้วจึงค่อยเดินไปหาคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ ใบหน้าเปื้อนน้ำตาเงยขึ้นมอง

“พี่…เจ็บมั้ยครับ ผม…ฮึก…ผมขอโทษ”

เขาสะอื้นออกมาในที่สุด คนที่เป็นฝ่ายถูกตีจนเจ็บเสียอีกที่คลี่ยิ้มอ่อนโยน ก้มตัวลงมาเช็ดน้ำตาให้

“ฉันไม่เป็นไรหรอก นายไม่ถูกตีก็ดีแล้ว ท่านพ่อฉันไม่ดุ สั่งตีเพียงไม่กี่ทีเท่านั้น ดีกว่าที่นายจะถูกท่านนายพลหยางลงโทษเอานะ”

“แต่ ฮึก! แต่ว่า…”

คนอายุน้อยกว่ายังสะอื้นไม่หยุด สำนึกผิดที่ความอยากรู้อยากเห็นของตนทำให้ผู้อื่นต้องมารับโทษแทน

“ไม่เป็นไรน่า”

คนที่ถูกตีแต่กลับไม่ร้องปลอบอีกครั้ง ครั้นพอเห็นเขาไม่ยอมหยุดร้องไห้สักที เจ้าก็ตัวส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

มือเรียวจับมือเล็กให้แบออก หยิบของที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อวางลงไป

“เอ้า นี่ค่าจ้าง เลิกร้องไห้เถอะนะ”

แก้วเจียระไนรูปหยดน้ำบางใสสะท้อนแสงไฟเป็นประกายอยู่บนมือเขา ใบหน้ากลมป้อมเงยขึ้นมองอย่างประหลาดใจ อีกฝ่ายจึงเฉลยพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เมื่อกี้ตอนคนรับใช้เก็บกวาด ฉันเห็นมันเหลือรอดไม่แตกหักมาชิ้นหนึ่ง ก็เลยแอบเก็บไว้น่ะ”

รอยยิ้มใจดีปรากฏขึ้นอีกครั้ง “ชอบไม่ใช่เหรอ เก็บไว้สิ”

เด็กชายเผลอมองจ้องใบหน้างดงามนั้นอีกครั้งก่อนจะพยักหน้า

“ขอบคุณครับ พี่…?” ท้ายเสียงมีแววลังเล จะว่าไปเขายังไม่รู้จักชื่อบุตรชายของเจ้าของบ้านเลยนี่นา

คนอายุมากกว่าคลี่ยิ้มสว่างสดใสอีกครั้ง

“ฉันชื่อหลี่เฟยหมิง นายเรียกว่าพี่เฟยหมิงก็ได้นะ…เหวินอี้”

.

.

ดวงตาคมมองแก้วใสในมือ ผิวบางนั้นราวกับจะเปราะแตกได้หากมือหยาบกระด้างมือนี้กำแน่นเกินไปสักนิด

ช่างเหมือนกับคนคนนั้น…ไม่ว่าจะเมื่อไรก็งดงามใสบริสุทธิ์และแตกสลายได้ทุกเมื่อ

นายทหารหนุ่มเก็บแก้วเจียระไนใส่กล่องปิดฝาแล้วเลื่อนลิ้นชักปิด หยิบถุงมือสีดำมาสวมก่อนจะลุกจากโต๊ะ เดินออกจากห้องเพื่อไปประชุมแผนการจู่โจมที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

นายทหารหนุ่มใช้เวลาประชุมนัดแนะแผนการกับหัวหน้าฝ่ายต่างๆ อยู่นาน กลุ่มผู้นำกองทหารที่นั่งกันอยู่ในห้องนี้ล้วนเป็นคนที่ตรวจสอบประวัติมาเรียบร้อยแล้วว่า ‘สะอาด’ ไม่ใช่นายทหารยศสูงที่จะถูกฝ่ายกองกำลังใต้ดินใช้เงินซื้อตำแหน่งให้มาเป็นสายภายในกรมทหาร

หากเพื่อความปลอดภัย เหวินอี้ยังคงเลี่ยงจะแจ้งกำหนดวัน เวลา สถานที่ หรือแม้แต่รูปแบบของการลอบจู่โจม เพียงแต่ย้ำให้ทุกฝ่ายเตรียมตัวให้พร้อมตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

เขาจะรอให้เหล่ามดงานพวกนั้นเดินเข้ามาสู่รังกับดักเสียก่อน จึงจะเผามันให้ราบไปพร้อมกันทีเดียว

กว่าการประชุมจะเสร็จสิ้น ดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว นายทหารหนุ่มจัดการอาหารเย็นง่ายๆ ในห้องทำงานของตนจนเรียบร้อย ใจนึกห่วงคนที่ยังอยู่ในห้องเล็กห้องนั้น จึงหันไปสั่งคนสนิท

“ไปรายงานท่านปู่ว่าคืนนี้ฉันจะค้างที่กรม แล้วก็เอาเครื่องแบบชุดใหม่ที่จวนมาให้ด้วย”

“ครับผม” อีกฝ่ายรับคำโดยไม่ไต่ถาม เพราะตามปกติผู้เป็นนายก็ค้างที่กรมทหารอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะช่วงวางแผนงานหรือมีนักโทษรอสอบสวน

ร่างสูงรอจนผู้ใต้บังคับบัญชาเดินออกไปแล้วจึงค่อยลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินลงจากอาคารที่ทำการ ก้าวไปทางด้านหลัง

ตึกทรุดโทรมหลังนั้นกลายเป็นเงาดำมืดแทบจะกลืนหายไปกับท้องฟ้ายามราตรี ความจริงที่นี่เป็นห้องขังเก่าซึ่งเลิกใช้งานไปนานแล้ว ก่อนหน้านี้ฝ่ายสอบสวนพิเศษของเขาใช้ที่นี่เป็นสถานที่สำหรับสอบปากคำ แต่ภายหลังก็ไม่ได้ใช้งานบ่อยนัก เนื่องจากการสอบสวนในห้องขังใต้ดินของอาคารที่ทำการกรมนั้นสะดวกและเก็บเสียงร้องยามถูกทรมานได้ดีกว่า

ตึกนี้เงียบ ห่างไกลสายตาผู้คน ปลอดจากเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดของบรรดาผู้ถูกสอบสวน เขาจึงเลือกเก็บขัง ‘สิ่งสำคัญ’ ของตนไว้ในนั้น

ชายชราที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าตึกเดินเตาะแตะเข้ามาหาทันทีที่ร่างสูงในชุดเครื่องแบบก้าวเท้ามาถึง มือเหี่ยวย่นชี้ไปที่ช่องระบายอากาศของห้องด้านบน ก่อนจะทำท่าเหมือนหยิบบางอย่างเข้าปาก แล้วแบมือทั้งสองโบกไปมาพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจระคนเกรงกลัว

เหวินอี้ที่คุ้นเคยกับภาษามือของคนเก่าแก่เลิกคิ้ว

“ไม่ยอมกินอาหารเลยงั้นหรือ”

อีกฝ่ายพยักหน้าหงึก เขาจึงถอนใจเบาๆ โบกมือสั่งให้ชายชรากลับไปนั่งเฝ้าอยู่ที่เดิม ส่วนตนเองก้าวเข้าไปภายในตึก แล้วเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง

ภายในนั้นมืดสนิท หากคนที่คุ้นเคยกับแปลนของตึกนี้จนแทบจะหลับตาเดินได้ไม่เดือดร้อนนัก พอไปถึงหน้าประตู เขาพยายามเงี่ยหูฟังเสียงจากภายใน แต่กลับได้ยินเพียงความเงียบ

มือเรียวยาวไขกุญแจแล้วปลดโซ่ ทันทีที่ประตูเหล็กถูกเปิดออก ร่างโปร่งที่นั่งพิงผนังอยู่ก็รีบผุดลุก ผลักร่างเขาเพื่อแทรกตัวเองออกไป แต่คนที่เข้ามานั้นเร็วกว่า เหวินอี้คว้าหมับไปที่ต้นแขนอีกฝ่าย กระชากกลับมาปะทะกับแผ่นอกของตน พร้อมกับกระชับแขนอีกข้างรัดไว้แน่น

“ปล่อย!” เสียงใสที่แหบเครือไปเล็กน้อยร้องสั่ง “ผมจะกลับบ้าน!”

“คุณนี่ไม่รู้สถานะของตัวเองเลยนะ คุณชายรอง”

ใบหน้าหล่อเหลาส่ายไปมา เอ่ยเสียงขรึม “ถ้าไม่มีคำอนุญาตจากผม คุณจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” เขาพูดแล้วกดล็อกประตูห้อง ลากร่างโปร่งเข้ามาภายใน ก่อนจะก้มลงมองถาดอาหารที่วางอยู่บนพื้น มีเพียงน้ำในแก้วเท่านั้นที่พร่องไปเล็กน้อย

“ทำไมไม่กินข้าว”

ดวงตาคมมองคนที่ถูกกักไว้ในอ้อมแขน ดวงตาอิดโรยกับริมฝีปากช้ำบวม ปลายจมูกที่เหมือนจะเรื่อแดงขึ้นมากับอาการหอบหายใจเล็กน้อย

เหวินอี้ขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นแตะหน้าผากเนียนเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกาย “นี่คุณมีไข้ใช่ไหม”

“เรื่องของผม!” เฟยหมิงสะบัดหน้าหนีสัมผัสจากมือเรียวยาว พยายามดันตัวให้หลุดจากการเกาะกุม หากมือที่ยึดไว้แข็งแกร่งเกินกว่าที่ร่างกายอันบอบช้ำของเขาจะขัดขืน

ร่างโปร่งจึงได้แต่กัดฟันแน่น เอ่ยด้วยเสียงที่พยายามระงับไม่ให้สั่น “คุณบอกเองว่าผมไม่มีข้อมูลที่คุณต้องการ ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยผมไปเสียที”

คนฟังเหยียดยิ้ม ยื่นหน้ามากระซิบข้างหู

“คุณไม่มีข้อมูลที่ผมต้องการ แต่คุณมี ‘สิ่งอื่น’ ที่ผมปรารถนานี่”

ประโยคแฝงนัยนั้นทำให้ร่างโปร่งสะท้านเยือก ความทรงจำเลวร้ายแล่นผ่านเข้ามาในสมอง แม้เขาจะชำระร่างกายจนสะอาดทุกซอกมุม แต่ความเจ็บแปลบภายในยังคงอยู่ จึงเผลอก้าวถอยหลังหนีโดยไม่รู้ตัว

“ไม่…ไม่แล้ว…”

“ดีมากที่ยังรู้สึกกลัว สำนึกเสียบ้างก็ดี”

นายทหารหนุ่มเอ่ยเหมือนจะชม หากก็เสียดสีอยู่ในที เขายึดต้นแขนบางไว้แน่น ลากตัวไปตรงช่องแคบที่เจาะไว้เป็นทางระบายอากาศ ผิวปากยาวๆ เพียงสองครั้ง สักพักก็มีเสียงวิ่งเตาะแตะขึ้นบันไดดังมาตามด้วยเสียงเคาะประตู

ผู้เป็นนายตะโกนสั่ง “เฒ่ากวง ไปเอายาแก้ไข้กับอาหารชุดใหม่มา”

ครู่เดียวถาดอาหารชุดใหม่พร้อมยาเม็ดเล็กในถ้วยก็ถูกส่งเข้ามาทางช่องส่งอาหารใต้ประตู เหวินอี้ละมือจากคนที่ตนเกาะกุมไว้ ใช้ปลายเท้าเขี่ยถาดอาหารเก่าส่งให้คนรับใช้เก็บคืนไป ก่อนจะก้มลงหยิบถ้วยยาขึ้นมา สั่งเสียงเข้ม

“กินยาซะ”

“ไม่!” ใบหน้าขาวเม้มปากแน่น ใช้โอกาสที่เขาละมือถอยหนีไปอีกก้าว ทำให้คนที่มองอยู่นึกอ่อนใจ

ไม่สบายแล้วยัง…ดื้อ…ไม่อยากให้เขาใจดีด้วยสินะ

ก้าวยาวๆ เพียงก้าวเดียวเขาก็ประชิดตัวอีกฝ่าย ออกแรงผลักให้ล้มลงไปบนเตียง ได้ยินเสียงหวานอุทานเบาๆ แต่ก็ไม่มีเวลาพอจะผุดลุก เพราะนายทหารหนุ่มตามลงมาคร่อมร่างที่กำลังจะดิ้นหนี

มือเรียวยาวข้างหนึ่งคว้าหมับตรงปลายคางบังคับให้อ้าปากออก ขณะที่มืออีกข้างหย่อนยาเม็ดสีขาวลงไป แล้วปิดปากอีกฝ่ายไว้ไม่ให้บ้วนเม็ดยานั้นทิ้ง รสขมจัดที่ปลายลิ้นทำให้เฟยหมิงเบิกตากว้าง

“อื้อๆ”

เขาส่งเสียงอู้อี้ พยายามแกะมือที่ล็อกปากของตนออกไปแต่ก็ไม่เป็นผล เม็ดยาละลายผสมกับน้ำลายทำให้ยิ่งขมมากขึ้น สุดท้ายเขาต้องพยายามฝืนกลืนยาเม็ดนั้นลงไปอย่างยากลำบาก ลำคอที่แห้งผากทำให้เม็ดยาไม่ยอมไหลลงไปโดยง่าย ติดค้างอยู่ในคอจนเขาทำท่าจะสำลัก

คนด้านบนที่มองดูอยู่เหมือนจะสังเกตเห็น ร่างสูงละจากตัวเขา เดินไปหยิบแก้วน้ำที่ถาดอาหารบนพื้น แต่แทนที่จะส่งแก้วใบนั้นให้เขา เจ้าตัวกลับยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเสียเอง

เฟยหมิงที่ผุดลุกขึ้นขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่ความเข้าใจก็มาแทนที่เมื่ออีกฝ่ายเดินกลับมา จับต้นคอเขาให้แหงนเงยก่อนจะประกบริมฝีปากลงมา หยาดน้ำเย็นไหลลงคอไป พร้อมกับที่ลิ้นอุ่นๆ สอดแทรกเข้ามาภายใน

“ฮื้อ”

คุณชายรองส่งเสียงประท้วง มือเรียวพยายามจะดันแผ่นอกใต้เครื่องแบบหนาออกไป แต่อีกฝ่ายกลับยึดมือทั้งสองข้างของเขาไว้แน่น บังคับให้รับสัมผัสหนักหน่วงที่กดแนบลงมา

รสขมปร่ายังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้น หากสำหรับผู้รุกราน รสชาติของมันกลับหวานล้ำ ฟันคมขบย้ำริมฝีปากนุ่มให้เรื่อแดงขึ้นไปอีก ก่อนจะผละออกเพื่อไล้ไปตามข้างแก้ม ตอนแรกเขาไม่คิดจะฝืนใจบังคับเพราะเห็นว่ายังบอบช้ำ แต่รสชาติที่เพิ่งได้ลิ้มลองกลับมอมเมาจนหลงลืมตน มือเรียวยาวสอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตสีขาว สัมผัสผิวอุ่นร้อนเพราะพิษไข้

“อย่า…ผม…ไม่”

เสียงแผ่วระโหยวอนขอด้วยความหวาดหวั่น เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นที่มุมปากของใบหน้าหล่อเหลา เหวินอี้กดไหล่อีกฝ่ายให้เอนลงไปพิงที่นอน ก่อนจะก้มลงจ้องดวงตากลมโตคู่นั้น กระซิบเสียงแผ่วเบาเช่นกัน

“ผมบอกแล้วนี่คุณชาย ถ้าผมไม่อนุญาต คุณก็ยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Jamsai Editor: