บทที่ 2
“นายท่าน นายท่าน…ข้าขอร้องล่ะ…”
บนถนนการค้า เสียงอ้อนวอนอย่างทุกข์ระทมลอยมา
ผู้คนได้ยินเสียงต่างหันกลับไปมอง เห็นสามีภรรยาคู่หนึ่งร้องไห้พลางตะโกนกับชายฉกรรจ์หลายคนที่ขนของไปโดยที่พวกเขาไม่ยินยอม
ชายฉกรรจ์ที่ถูกคว้าตัวไว้ผลักสองสามีภรรยาออกอย่างไม่ปรานี ยกมือขึ้นสั่งลูกน้องด้วยสีหน้าดุดัน “ยังจะยืนอึ้งอยู่ทำไม ขนของไปให้หมด!”
หญิงวัยกลางคนเห็นชายฉกรรจ์เหล่านี้ไม่ไว้หน้า เพื่อความอยู่รอดจึงคลานเข่าทั้งน้ำตานองหน้าไปหาชายหนุ่มท่าทางสุภาพที่ยืนอยู่ด้านข้างและอ้อนวอน
“คุณชายสกุลโจว! คุณชายสกุลโจว! ครอบครัวของเรามีสามสิบแปดชีวิต อาศัยการค้านี้หาเลี้ยงชีพ ท่านยึดสินค้าของพวกเราไป พวกเราย่อมอยู่ต่อไปไม่ได้…ใต้เท้า! ใต้เท้า…ได้โปรดเถอะ…ข้าขอร้อง…ท่านทำบุญทำทาน ถือว่าทำบุญทำทาน เมตตาพวกเราเถอะนะ…ข้าโขกศีรษะให้ท่านแล้ว…” พูดพลางโขกศีรษะไปด้วย ขณะเดียวกันก็คว้าตัวสามีที่มัวแต่ยืนอึ้งให้คุกเข่าลงโขกศีรษะด้วยกัน “เหล่าหลี่ เจ้ายังจะยืนบื้ออยู่ทำไม รีบมาขอร้องคุณชายสิ! รีบบอกเขาว่าเดือนหน้าพวกเราจะเอาเงินมาคืน ไม่ เป็นอีกสิบวัน ไม่สิ อีกสามวัน ขอเวลาอีกสามวัน ท่านอะลุ่มอล่วยให้พวกเราอีกแค่สามวันก็พอ”
เถ้าแก่ร้านมองโจวชิ่ง ทั้งตกใจและหวาดหวั่น แต่ภายใต้การเร่งเร้าของภรรยา เขายังคงคุกเข่าลง ร้องไห้ไปกับภรรยาและโขกศีรษะให้คุณชายในชุดสีฟ้านวลผู้นั้น
“คุณชายสกุลโจว…ข้าโขกศีรษะให้ท่านแล้ว…ข้าขอร้องท่าน ได้โปรดเถอะ…โปรดให้ทางรอดกับพวกเราด้วย…”
ชายหนุ่มมองคู่สามีภรรยาที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล โขกศีรษะจนศีรษะแทบแตก เอ่ยเสียงเรียบเพียงว่า
“เถ้าแก่หลี่ ติดหนี้ต้องชดใช้ นี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผล เงินข้าไม่ได้บังคับให้ท่านยืม ใบยืมเงินข้าไม่ได้บังคับให้ท่านลงชื่อ โฉนดบ้านยิ่งมิใช่ข้าเป็นฝ่ายบอกให้ท่านนำมาค้ำประกัน การค้าของท่านไม่ดีก็มิใช่ข้าเป็นคนขัดขวางทางทำมาหากินของท่านมิใช่หรือ”
เถ้าแก่หลี่คุกเข่าอยู่บนพื้น ร้องไห้อ้อนวอนอย่างเศร้าสลด
“คุณชายสกุลโจว นี่เป็นบ้านบรรพบุรุษสกุลหลี่ของข้า…ข้าตกลงการค้าครั้งใหญ่ไปแล้วจริงๆ เดือนหน้าก็สามารถคืนเงินท่านได้แล้ว…ได้โปรดผ่อนปรนให้ข้าอีกสักสองสามวันเถอะ…ให้เวลาข้าอีกสองสามวัน…ข้าจะสูญเสียบ้านบรรพบุรุษไปไม่ได้จริงๆ…”
โจวชิ่งฟังแล้วโน้มตัวลง ก้มหน้าจ้องตาเถ้าแก่หลี่
“เถ้าแก่หลี่ อยู่ในแวดวงการค้าย่อมต้องว่าไปตามกติกาการค้า ท่านก็รู้นี่ ข้าผ่อนปรนให้ท่านแล้ว ใครจะมาผ่อนปรนให้ข้าเล่า”
หลี่ซื่อ* ด้านข้างฟังแล้วทนไม่ไหว โผเข้าไปคว้าเสื้อผ้าของโจวชิ่ง อ้อนวอนทั้งน้ำตา
“คุณชายสกุลโจว ขอร้องท่านล่ะ…” นางยังพูดไม่จบ เนื่องจากโจวชิ่งตวัดสายตามองมาอย่างเย็นชาจึงหวาดกลัวจนหดมือกลับไป แต่ยังน้ำตาไหลพูดเสียงสั่นอย่างอดไม่ได้
“พวกเรา…พวกเรามีบิดามารดาต้องดูแล…ยัง ยังมีลูกเล็กที่ต้องเลี้ยงดู…”
โจวชิ่งมองนางจากที่สูง ตอบเพียงประโยคเดียวว่า
“เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
ได้ยินดังนั้นหลี่ซื่อก็ปล่อยโฮเสียงดัง เถ้าแก่หลี่ทรุดนั่งลงบนพื้นด้วยใบหน้าสิ้นหวัง