คืนนั้นโม่หลีปากมากพูดถึงนาง ภายหลังตอนอยู่บนอาคาร เขาเห็นนางประสบความสำเร็จในการทำการค้าบนถนนการค้าทางทิศตะวันตกของเมือง
ฤดูหนาวปีนั้น เขาพบนางบนถนนอีกหลายครั้ง
ทุกครั้งที่เจอกัน นางมักจะพยักหน้าทักทายเขา ทุกครั้งเวลาเจอเขา ส่วนลึกของนัยน์ตากระจ่างใสคู่นั้นมักฉายแววยินดีออกมาโดยไม่รู้ตัว
นางไม่เคยเป็นฝ่ายชวนเขาคุย แต่นางดีใจทีเดียวที่ได้เจอเขา
เขารู้ เขารู้สึกได้ เขาควรบอกนางว่าอย่าทำแบบนี้อีก อย่างน้อยก็อย่าไปสนใจนาง
ช้าเร็วหญิงผู้นี้ก็ต้องรู้ว่าเขาไม่ใช่คุณชายที่แสนดีอะไร ยันต์คุ้มภัยที่นางซื้อทุกเดือน เงินที่หามาด้วยความยากลำบากที่ต้องจ่ายออกไป สุดท้ายแล้วก็ตกมาอยู่ในมือเขา แต่ยากเหลือเกินที่เขาจะทำเป็นมองไม่เห็นนาง โดยเฉพาะในเมืองแห่งนี้มีน้อยคนที่เห็นเขาแล้วจะเผยสีหน้ายินดีออกมาอย่างบริสุทธิ์จริงใจเช่นนั้น
นางมักจะเป็นเช่นนี้ ยกมุมปากระบายยิ้มให้เขาโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองนางมากขึ้นอย่างไร้สาเหตุ แต่เขาไม่เคยแสดงสีหน้าดีๆ กับนาง ไม่เคยยิ้มให้นางมาก่อน ไม่เคยตอบรับหรือพยักหน้าให้ ทว่าพอเจอเขา นางกลับยังคงผงกศีรษะให้
วันที่สี่เดือนหนึ่ง บนถนนเพิ่งมีพ่อค้ามาเปิดแผงขายของ เขานั่งอยู่ตรงที่เดิมบนชั้นสองของโรงจำนำและเห็นหญิงผู้นั้นอีกแล้ว
นางสวมชุดสตรี ไปจุดธูปที่ศาลเจ้ากับสตรีที่เป็นคนเลี้ยงดูนาง ข้างกายมีแม่นางน้อยอายุราวสิบสองสิบสามตามมาด้วย
นั่นเป็นญาติห่างๆ ของนาง สายตาไม่ดี ไปไหนก็ต้องมีคนคอยจูง
ตอนนั้นการค้าของนางดีขึ้นแล้ว คนขับรถขาเป๋ที่บ้านนางบังคับรถเทียมลา บรรทุกนาง หญิงวัยกลางคนผู้นั้น และแม่นางน้อยผู้นั้นมาที่นี่ด้วยกัน
โม่หลีทำตัวจุ้นจ้านคอยดูแลการค้าของนางเป็นพิเศษ แต่เหตุผลหลักคือสินค้าของนางดีจริงๆ โม่หลีเคยเอามาให้เขาดู ฝีเข็มบนผ้าแน่นหนามาก ลูบแล้วบางเบา สัมผัสนุ่มลื่นประณีต แม้จะเป็นผ้าฝ้าย แต่กลับไม่ด้อยไปกว่าผ้าไหมผ้าแพรเลย
เขาควรบอกโม่หลีว่าอย่าจุ้นจ้านมากนัก แต่กลับลืมพูดอยู่เรื่อย
ทุกสองสามวันนางจะขนสินค้ามาขาย ทุกเดือนนางจะไปที่หอสุรา จ่ายเงินซื้อยันต์คุ้มภัย
เขามักเห็นเงาร่างที่ยุ่งง่วนนั้นวิ่งเข้าวิ่งออกร้านค้าต่างๆ วิ่งวุ่นไปมาอยู่ภายใต้สายตาเขา ดูเหมือนลูกข่างอย่างไรอย่างนั้น
เขามองนางจูงแม่นางน้อยลงจากรถเทียมลา พาแม่นางน้อยผู้นั้นไปซื้อถังหูลู่* กับพ่อค้าด้านข้างหนึ่งไม้ ก่อนเข้าไปจุดธูปในศาลเจ้า นางเงยหน้ามองมายังชั้นสองของโรงจำนำด้วยความเคยชิน ลืมไปว่าวันนี้ตัวเองไม่ใช่พ่อค้ารับซื้อผ้าและนำมาขายต่อ ลืมไปว่าตัวเองสวมชุดสตรี ไม่ได้แต่งกายเป็นบุรุษ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่นางมักทำเช่นนี้เสมอ
ไม่ว่าอากาศจะแจ่มใสหรือฝนจะตก เวลาผ่านตรงนี้นางมักจะเงยหน้าขึ้นมาเหลือบมองแวบหนึ่ง จากนั้นเมื่อเห็นเขา นางก็จะพยักหน้าให้
วันนั้นนางก็ทำเหมือนเช่นทุกวัน พยักหน้าให้เขา
เพียงแต่ครั้งนี้นางสวมชุดสตรี คนข้างๆ มองเห็น คนขาเป๋มองเห็น หญิงวัยกลางคนข้างกายก็มองเห็น
ก่อนเข้าไปในศาลเจ้า คนขาเป๋พูดกับหญิงวัยกลางคนข้างกายนางสองสามคำ หญิงผู้นั้นรีบก้าวไปข้างหน้าพูดอะไรบางอย่างกับนาง นางชะงักฝีเท้าทันใดแล้วหันกลับมาแหงนหน้ามองเขา
เขากระจ่างแจ้งดีว่านางรู้ฐานะเขาเมื่อไร ชั่วขณะนั้น ชั่วเสี้ยวเวลานั้น
ผู้คนมักมีนิสัยปากมาก เหมือนเช่นคนขาเป๋ที่เป็นใบ้นั่น
นางมองเขาจากที่ไกลๆ ดวงตามีความตะลึงงันที่ยากจะปกปิด
เขาหลุบตามองนางอย่างเย็นชา เดิมทีคิดว่านางจะรีบเบนสายตาออกไป จะตระหนก จะหวาดกลัว ทว่านางกลับเอาแต่มองเขา จับจ้องเขานิ่งๆ จ้องจนเขาโกรธอย่างไร้สาเหตุ กำหนังสือในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
สุดท้ายหญิงวัยกลางคนผู้นั้นก็เอ่ยคำพูดอีกหลายคำ นางถึงได้หลุบตาลง จูงแม่นางน้อยผู้นั้นเข้าไปในศาลเจ้าด้วยกัน