เขาคือโจวชิ่ง ลูกชายของโจวเป้า ตอนนี้นางรู้แล้ว
เพียงครู่เดียวนางก็ออกมา เพียงแต่ครั้งนี้นางจะไม่เงยหน้าอีก ไม่มองเขาอีก ไม่สอดส่ายสายตาหาเขาอีก
เขาคิดว่าตนควรจะเดินออกไป อย่านั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปเลย ควรไปจัดการงานเบ็ดเตล็ดที่มีเป็นกองได้แล้ว
วันนี้เป็นวันเปิดตลาด เรื่องที่รอให้เขาไปทำกองสูงเป็นภูเขา
ทว่าหลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป* ด้วยเหตุผลที่เขาเองก็บอกไม่ได้ เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม พลิกดูหนังสือที่เขาท่องได้จนคล่องแล้ว
หิมะปลิวว่อน โปรยปรายลงมา เนื่องจากลมพัดจึงปลิวอยู่พักหนึ่งก่อนจะมาทับถมกันอยู่บนขอบหน้าต่าง ไม่ก็กองอยู่บนพื้น
ในศาลเจ้ามีควันธูปลอยอวล บนท้องถนนมีเสียงผู้คนเอะอะจอแจ
ตอนนางกลับออกมา เขามองปราดเดียวก็เห็นนางแล้ว หญิงวัยกลางคนด้านข้างกางร่มให้แม่นางน้อย นางเองก็กางร่มคันหนึ่ง ร่มกระดาษน้ำมันบดบังใบหน้านาง เขาเห็นเพียงชายกระโปรงของนาง กระโปรงขาวเรียบนั้นดูสูงสง่ายิ่ง ตอนนางยื่นมือไปยกชายกระโปรงขึ้น เขาเห็นว่าภายใต้ชายกระโปรงหนาหลายชั้นเป็นรองเท้าผ้าปักที่ดูค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับหญิงสาวทั่วไป
นั่นเป็นเท้าธรรมชาติ ยุคสมัยนี้คุณหนูที่มีฐานะล้วนรัดเท้า แต่นางกลับไม่ได้รัด
โจวชิ่งมองรองเท้าผ้าปักคู่นั้นก้าวข้ามธรณีประตู ก่อนจะหายลับไปใต้ชายกระโปรงที่พลิ้วไหวอีกครั้ง
หญิงวัยกลางคนพาแม่นางน้อยไปยังรถเทียมลา เจ้าของรองเท้าผ้าปักกลับหยุดอยู่หน้าศาลเจ้า ร่มกระดาษน้ำมันถูกยกขึ้นเล็กน้อย เอียงไปด้านข้าง
เขาจดจำชั่วเวลานั้น จดจำภาพในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน จำได้ว่าเขาเห็นมือที่กางร่มของนาง จำหิมะที่โปรยปรายลงมาช้าๆ จำดวงหน้าเล็กที่ปรากฏอยู่ใต้ร่มกระดาษน้ำมันได้ เขายังจำได้ว่ายามนางเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากเนียนพ่นไอสีขาวขมุกขมัวออกมาท่ามกลางสายลมหนาวเหน็บ
เขาจำได้ว่านางเลิกคิ้ว ใช้ดวงตาที่ใสกระจ่างดุจค่ำคืนในฤดูร้อนจ้องตรงมาที่เขา
โจวชิ่งคิดว่าครั้งนี้นางควรจะหวาดกลัวเขาแล้ว ต่อให้ไม่กลัวก็ควรจำได้ว่าตัวเองแต่งตัวอย่างไร ควรตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นสตรี
แต่นางไม่กลัว ยังคงมองหาเขา
หิมะปลิวว่อนกลางอากาศ บนท้องถนนเสียงผู้คนยังคงจอแจ เขากลับได้แต่มองนาง
จากนั้นนางก็ค่อยๆ ยกมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อขึ้นและแบมือออก
เขาเห็นยันต์คุ้มภัยสีแดงอันหนึ่งอยู่กลางฝ่ามือเล็กของนาง มันเป็นสีแดง ไม่ใช่สีเหลือง
นั่นเป็นยันต์คุ้มภัยจากศาลเจ้า ไม่ใช่ยันต์ที่ขายในหอสุรา
นางจ้องมองเขา เมื่อแน่ใจว่าเขาเห็นแล้วจึงหมุนตัวนำมันไปห้อยไว้ที่คอของสิงโตหินหน้าประตูศาลเจ้า ไม่ใช่สิงโตตัวใหญ่ แต่เป็นสิงโตตัวเล็ก
…สิงโตน้อย
เขาพูดอะไรไม่ออก
นางกางร่มหมุนตัวจากไปแล้ว ขึ้นรถเทียมลา หายลับไปอีกด้านของถนนใหญ่ แต่ยันต์คุ้มภัยสีแดงสดอันนั้นยังคงอยู่ตรงหน้าประตูศาลเจ้า บนตัวของสิงโตหินตัวเล็กนั้น
รถเทียมลาวิ่งไปไกลแล้ว หิมะยังคงโปรยปรายเริงระบำ
ชั่วขณะหนึ่งที่หางตาเขากระตุกเล็กน้อยด้วยความลังเล
บางทีเขาไม่ควรทำอย่างนี้ เขารู้ดีว่ามีคนจับตามองเขาอยู่อย่างลับๆ
โจวชิ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง จ้องสีแดงสดนั้นเนิ่นนาน แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงก้าวลงจากอาคาร เดินไปหน้าประตูศาลเจ้าท่ามกลางลมหิมะ มองกุญแจเงินอันนั้นแล้วยื่นมือไปปลดมันลงมา
บนยันต์คุ้มภัยถูกนางผูกกุญแจเงินเก่าๆ ไว้อันหนึ่ง นั่นเป็นกุญแจอายุยืน บนตัวกุญแจขนาดเล็กแต่อวบอิ่มสลักตัวอักษรไว้สี่คำ…
‘อายุยืนยาว’
เขามองกุญแจอันเล็กบนฝ่ามือ รู้สึกพูดไม่ออก
เมืองแห่งนี้มีผู้คนตั้งเท่าไรสาปแช่งเขากับโจวเป้าให้ไปตาย แต่นางกลับต้องการให้เขาอายุยืนยาว?
เขามองกุญแจเงินโบราณ อดไม่ได้ที่จะรวบนิ้วมือเข้าด้วยกันช้าๆ กำมันไว้ในฝ่ามือ
ชั่วขณะหนึ่ง เหมือนเขายังรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิอุ่นๆ ที่นางทิ้งไว้บนกุญแจ รู้สึกว่าไอร้อนนั้นแผ่จากฝ่ามือเข้าไปสู่หัวใจ
เขาไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ นางคิดอย่างไร นางน่าจะรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร รู้ว่าพ่อของเขาทำอะไร แต่นางยังคงขอยันต์คุ้มภัยให้เขา มอบกุญแจเงินโบราณอันนี้ให้เขา
มีคนเฝ้าดูอยู่ เขารู้ เขาสามารถรู้สึกได้ แต่นี่หาใช่สิ่งที่เขาบังคับ หาใช่สิ่งที่เขาช่วงชิงมา แต่เป็นสิ่งที่นางจะให้
…นางมอบให้เขา
โง่จริงๆ เขาคิด แต่ยังคงกำกุญแจอายุยืนนั้น เดินตัดผ่านกลุ่มคนบนท้องถนน หมุนตัวขึ้นไปบนอาคาร