ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่สาม – หน้า 7 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

คู่อุ่นไอร่ายรัก

ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่สาม

7 of 7หน้าถัดไป

ผ่านไปไม่กี่วันงานปักของนางก็ขายเกือบหมดแล้ว

ในจำนวนนี้แน่นอนว่างานปักของป้าชุ่ยได้รับความนิยมมากที่สุด หลงจู๊ในร้านขายเสื้อผ้าจ้องงานปักในมือครั้งแล้วครั้งเล่า พินิจแล้วพินิจอีก นางไม่พูดมากและไม่บังคับ เพียงยิ้มพลางเก็บข้าวของก่อนจะเดินออกจากประตู

ทว่าตามคาด เพียงครู่เดียวนางยังไม่ทันก้าวเข้าไปในร้านอื่น หลงจู๊ผู้นั้นก็ให้ลูกจ้างตามออกมาเรียกนางกลับเข้าไป นอกจากจะซื้องานปักของนางแล้ว ยังวางเงินมัดจำหมายจะสั่งงานปักฝีมือป้าชุ่ยมากกว่านี้

นางรู้ดีว่างานปักของป้าชุ่ยเป็นของชั้นเลิศ จึงไม่ได้รับคำในทันที บอกเพียงว่าจะช่วยดูให้

การค้าเช่นนี้ค่อยๆ ประสบความสำเร็จ นางเบิกบานและดีใจมาก หลังจากขนสินค้าไปขายหลายครั้ง นางก็เริ่มสบายใจขึ้น

วันหนึ่งตอนขากลับ นางหิ้วสัมภาระที่ว่างเปล่าเดินเลียบริมแม่น้ำอวิ้นเหอ จู่ๆ พลันพบว่าผู้คนมายืนอออยู่ริมฝั่งมากมาย ทำเอานางแทบขยับตัวไม่ได้

‘พี่ชายท่านนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือ มีอะไรกันหรือ’

‘น้องชาย เจ้าไม่รู้หรือ ยอดบุปผาในเมืองปีนี้กำลังจะออกมา ได้ยินว่าเพิ่งขึ้นเรือ ประเดี๋ยวจะล่องไปตามคลอง กำลังจะผ่านมาทางนี้แล้ว!’

‘ยอดบุปผา?’ นางกะพริบตาปริบๆ ชั่วขณะหนึ่งที่คิดตามไม่ทัน ‘ยอดบุปผาอะไรหรือ’

‘น้องชาย เจ้าไม่รู้หรือ ยอดบุปผานี้คัดเลือกกันปีละหนึ่งหน เป็นแม่นางที่คัดมาจากหอคณิกาทั่วเมือง จากนั้นให้แม่นางเหล่านั้นมาประชันความสามารถ ประชันความงาม ประชันการร่ายรำกัน เพื่อคัดเลือกแม่นางในหอคณิกาที่งดงามและมีความสามารถมากที่สุด…’

‘ปีนี้เป็นหลิ่วหรูชุนจากหอรับวสันต์! ได้ยินว่าแม้แต่ยอดบุปผาของหอร้อยบุปผาในหยางโจวยังงดงามไม่เท่านาง นางไม่เพียงเจนจัดทั้งเพลงพิณหมากล้อมอักษรภาพวาด การร่ายรำเป็นที่หนึ่งเท่านั้น แต่ยังรู้จักแต่งโคลงกลอน เป็นหญิงที่มีความสามารถคนหนึ่ง! เดือนก่อนนางประชันศิลปะกับสามสาวงามที่เจียงหนานในงานเลี้ยงฉลองของเศรษฐีฉีหลินเยี่ยน คว้าชัยชนะมาได้ทุกประเภท!’

‘มีคนบอกว่าเกรงว่าสนมชายาของฮ่องเต้ยังงดงามไม่เท่านางด้วยซ้ำ!’

‘ถุยๆๆ ข้าวกินส่งเดชได้ แต่วาจามิอาจกล่าวส่งเดช ระวังพวกขุนนางได้ยินเข้าจะจับเจ้าเข้าตะรางและโบยหลายๆ ไม้!’

‘เฮ้อ แต่หลิ่วหรูชุนงามจริงๆ นี่นา เอวบางถึงเพียงนั้น ริมฝีปากแดงนุ่มถึงเพียงนั้น คิ้วตาเปล่งประกายแวววาว หากนางเหลือบแลข้าสักครั้ง ให้ข้าได้กอดสักที ต่อให้ต้องตายข้าก็ยินดี…’

‘เจ้าฝันไปเถอะ คนที่อยากพบนางเบียดเสียดจนล้นประตูหอรับวสันต์ออกมาแล้วกระมัง หากไม่มีเงินติดตัวเป็นพันเป็นหมื่นตำลึง แค่อยากเห็นหน้านางสักแวบยังเป็นเรื่องฝันเฟื่อง’

‘หากข้ามีเงินเป็นพันเป็นหมื่นตำลึง ยังจะมายืนอยู่ตรงนี้หรือ คงหอบเอาทองคำไปเข้าแถวที่หอรับวสันต์แล้ว! ก็เพราะไม่มี วันนี้โอกาสหายาก จึงได้มาดูที่นี่อย่างไรเล่า’

นางฟังผู้คนพูดไปต่างๆ นานาท่ามกลางความโกลาหล ในที่สุดจึงเข้าใจว่าหอรับวสันต์ที่คนเหล่านี้พูดถึงคือหอโคมเขียว สถานที่ที่บุรุษไปหาความสุขสำราญ ยอดบุปผาคือหญิงสาวที่งดงามที่สุดในหอรับวสันต์

ดวงหน้านางแดงเรื่อ กระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก ประกอบกับผู้คนออกแรงเบียดกันสุดกำลัง นางกลัวจริงๆ ว่าคนอื่นจะแตะถูกตัวนางและรู้ว่านางเป็นสตรี กว่านางจะได้สติ คนก็ถูกเบียดไปอยู่ริมฝั่งแล้ว

เวลานี้เองนางได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากทางขวามือ น้ำในคลองเกิดคลื่นเล็กน้อย ชั่วพริบตาถัดมาเรือสำราญลำนั้นก็มาอยู่ตรงหน้า

หัวเรือสำราญมีดอกท้อดอกใหญ่ตั้งวางอยู่หลายกระถาง ดอกท้องดงามแต่ละดอกบานสะพรั่งจนดูเหมือนป่าท้อ หญิงสาวที่งดงามประหนึ่งนางสวรรค์นั่งอยู่ท่ามกลางสีชมพูอ่อนหวานเหล่านั้น นิ้วเรียวขาวเนียนดุจหยกกดไปบนพิณโบราณสีดำ

เสียงพิณลอยมาจากที่ไกลๆ สะท้อนอยู่ท่ามกลางสายลมดุจเสียงน้ำไหล

หญิงสาวที่อยู่ท่ามกลางป่าท้อผู้นั้นมีใบหน้าขาวกระจ่าง คิ้วโค้งดุจใบหลิว ริมฝีปากแดงจัด ดวงตาสีดำชุ่มชื้นประหนึ่งสายน้ำกลางฤดูใบไม้ผลิ นางบรรเลงพิณโบราณไปพลาง สายลมฤดูใบไม้ผลิโชยพัดไปพลาง หอบเอาเส้นผมสีดำของนางปลิวขึ้นมาเป็นพักๆ บนผมของนางประดับดอกท้ออยู่หลายดอก

พอลมพัด ดอกท้อสีชมพูที่รายล้อมอยู่รอบตัวนางก็พลิ้วไหวไปตามลม ก่อนจะร่วงลงบนน้ำ กลิ่นหอมของดอกท้อโชยมาปะทะใบหน้า ทำเอาสองฝั่งแม่น้ำเต็มไปด้วยกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ

เห็นภาพนี้แล้ว กระทั่งนางที่เป็นหญิงยังจ้องมองอย่างตะลึงงัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าบุรุษข้างกาย ไม่รู้ว่าใครเริ่มตะโกนโห่ร้องไปยังนางสวรรค์ผู้นั้นอย่างฮึกเหิม ร้องเรียกชื่อไม่หยุด

‘หลิ่วหรูชุน หลิ่วหรูชุน…’

‘มองมาทางนี้! มองทางนี้หน่อย!’

พอคนหนึ่งเริ่ม อีกคนก็ทำตาม

นางสวรรค์ผู้นั้นได้ยินก็ช้อนตามองมาจริงๆ ริมฝีปากเนียนยกขึ้นนิดๆ ยิ้มหวานให้คนบนฝั่ง

รอยยิ้มนี้มีอานุภาพนัก ผู้คนสองฝั่งแม่น้ำฮือฮา แทบทุกคนร้องตะโกนออกมา แย่งกันเบียดไปข้างหน้าสุดชีวิต นางตัวเล็กทั้งยังอยู่หน้าสุด อีกนิดเดียวก็จะถูกเบียดจนตกน้ำแล้ว จึงตกใจจนหวีดร้องออกมา

เวลานี้เองเสียงขลุ่ยตี๋พลันดังขึ้น

ผู้คนหันมองไปตามเสียง ถึงได้เห็นบุรุษในชุดขาวผู้หนึ่งถือขลุ่ยตี๋สีดำยืนอยู่หลังป่าท้อ

‘โจวชิ่ง…’

‘เป็นโจวชิ่ง…’

‘ใครรึ’

‘ลูกชายของโจวเป้า…’

ได้ยินชื่อโจวเป้าแล้ว ผู้คนที่เดิมทีส่งเสียงฮือฮาพลันเงียบกริบ ไม่กล้าโบกมือตะโกนส่งเดชอีก ทำให้นางทรงตัวได้ในที่สุด ไม่ถูกผลักจนตกน้ำไป แต่พอเงยหน้าเห็นเขา นางกลับตะลึงงันยิ่งกว่าเดิม

นางเคยได้ยินมาว่าร้านค้าและหอสุราหลายแห่งในเมืองเป็นของโจวเป้า แต่ไม่รู้ว่าหอรับวสันต์ก็เป็นของเขาด้วย

เขาหลุบตาเป่าขลุ่ยตี๋สีดำ ปล่อยให้เสียงขลุ่ยตี๋กับเสียงพิณสอดประสานกัน เริงระบำอยู่ท่ามกลางสายลม

เรือสำราญค่อยๆ แล่นผ่านหน้าไป เขาช้อนนัยน์ตาสีดำขึ้นมายามนี้เอง ทั้งยังเหลือบมองมาที่นาง

ชั่วเวลานั้นนางลืมไปว่าข้างกายมีผู้คนเบียดเสียด ลืมหญิงสาวตรงหัวเรือที่งดงามดุจนางสวรรค์ ในสายตามีเพียงเขา ยังมีสีเงินกับสีแดงที่เขาห้อยอยู่ที่เอว

หัวใจเต้นรัวเร็วอย่างไร้สาเหตุ ร่างกายร้อนรุ่ม ใบหน้าแดงเรื่อ

เขามองนาง จากนั้นก็เลื่อนสายตาออกไป

เรือผ่านไปแล้ว คนส่วนใหญ่ยังคงพยายามเบียดไปข้างหน้า อยากเห็นยอดบุปผาอันดับหนึ่งของซูโจวที่โด่งดังไปทั่วเจียงหนาน นางไม่ได้ตามกลุ่มคนเหล่านั้นไป

ดอกท้อโปรยปรายลงบนผิวน้ำลอยมาตรงหน้า ยังมีอีกหลายกลีบล่องลอยอยู่กลางสายลม สุดท้ายก็ร่วงลงบนพื้น กลุ่มคนสลายตัวไปแล้ว นางแอบเก็บดอกท้อขึ้นมากลีบหนึ่งอย่างห้ามใจไม่อยู่

พอกลับถึงบ้านนางก็เอาดอกท้อกลีบนั้นทับไว้ในหนังสือ

คืนนั้นนางพลิกตัวไปมา ในหัวเต็มไปด้วยดอกท้อปลิวว่อนกับสายตาของเขา

ฟ้ายังไม่สาง นางก็ลุกจากเตียงแล้ว ฝนหมึกและกางกระดาษใต้แสงจากโคมไฟ วาดภาพนั้นเก็บไว้

เรือสำราญ ดอกท้อ คนชุดขาว ขลุ่ยตี๋สีดำ ยันต์คุ้มภัย กุญแจเงินโบราณ ยังมีเขาด้วย…โจวชิ่ง

ที่น่าแปลกคือยอดบุปผางดงามก็จริง แต่นางกลับรู้สึกว่าเขางดงามยิ่งกว่า โดดเด่นยิ่งกว่ายอดบุปผาผู้นั้นเสียอีก

ตอนนางหยุดวาดและมองชายหนุ่มในภาพ สายตาคู่นั้นทำเอาหัวใจนางเต้นรัวอีกครั้ง นางไม่อาจจ้องมองต่อไปได้อีก แทบจะหาอะไรมาปิดดวงตาเขาไว้

…ก็แค่ภาพวาดเท่านั้น

นางคิดพลางรอให้หมึกแห้ง หันไปใช้น้ำหยดลงบนชาดที่เหลือ ก่อนจะคลี่กระดาษเซวียนจื่อ* อีกแผ่นหนึ่งออก ใช้พู่กันวาดลายพัดที่ประกอบด้วยดอกท้อมากมาย แต่วาดไปวาดมาก็ยังตะขิดตะขวงใจอยู่ดี เพราะนางมักจะรู้สึกเหมือนว่าเขายังคงมองนางอยู่

อีกอย่าง ภาพนี้หากให้ผู้อื่นเห็นเข้าจะได้หรือ

นางคิดว่าควรเผามันทิ้งซะ แต่กลับตัดใจไม่ลง สุดท้ายรอจนหมึกแห้งแล้ว นางก็ม้วนเก็บมันอย่างหน้าแดงหูแดงและซ่อนไว้ในกระบอกใส่ม้วนภาพ

* ชาวจีนนิยมเปรียบเปรยสีของขอบฟ้าในเวลาใกล้รุ่งว่าสีขาวพุงปลา

* กระดาษเซวียนจื่อ เป็นกระดาษคุณภาพสูงชนิดหนึ่งที่เหมาะสำหรับการวาดภาพและเขียนพู่กันจีน เนื้อกระดาษนิ่มเหนียวไม่ขาดง่าย ดูดซึมหมึกสม่ำเสมอ แมลงไม่กัดแทะ มีต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองเซวียน มณฑลอันฮุย

7 of 7หน้าถัดไป

Comments

comments

Continue Reading

More in คู่อุ่นไอร่ายรัก

  • คู่อุ่นไอร่ายรัก

    ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่ห้า

    By

      บทที่ 5 พ้นเทศกาลตวนอู่ไป อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้น เนื่องจากอากาศร้อน ผ้าเช็ดหน้ากับผ้าเช็ดมือปักลาย ตลอดจนพัดที่ปักลวดลายจึงขายดีเป็นพิเศ...

  • คู่อุ่นไอร่ายรัก

    ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่สี่

    By

    บทที่ 4 นางพบเขาอีกครั้งที่นอกเมือง วันนั้นท้องฟ้ามีเมฆหนาและลอยต่ำมาก หลายวันนั้นฝนตกอยู่เสมอ พอเห็นฝนหยุด นางก็รีบเปลี่ยนมาสวมชุดบุรุษ ให้...

  • คู่อุ่นไอร่ายรัก

    ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่สอง

    By

    บทที่ 2 “นายท่าน นายท่าน...ข้าขอร้องล่ะ...” บนถนนการค้า เสียงอ้อนวอนอย่างทุกข์ระทมลอยมา ผู้คนได้ยินเสียงต่างหันกลับไปมอง เห็นสามีภรรยาคู่หนึ...

  • คู่อุ่นไอร่ายรัก

    ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่หนึ่ง

    By

    บทนำ อ่อนโยน   ฤดูใบไม้ผลิ เหนือคลื่นน้ำสีเขียว ต้นหลิวเขียวขจีพลิ้วโบกตามสายลม ชายหนุ่มนั่งงอเข่า พิงราวกั้นบนเรือสำราญด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

community.jamsai.com