คู่อุ่นไอร่ายรัก
ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่ห้า
‘หมากกระดานหนึ่งก็เหมือนการทำศึกสงคราม ทุกครั้งที่เจ้าเดินหมากหนึ่งตัว ล้วนส่งผลกระทบต่อหมากที่เหลือทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์หลังจากนี้ ดังนั้นเมื่อคู่ต่อสู้เดินหมาก เจ้าต้องคิดว่าเหตุใดเขาจึงทำอย่างนั้น’
‘แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร’
‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งไม่พ่ายแพ้ การเดินหมากเป็นการจำลองสงครามขนาดย่อม หมากทุกตัวเป็นตัวแทนของทหาร เสบียง กำแพงเมือง ม้าศึก ดาบกระบี่ ส่วนคนที่เดินหมากก็คือขุนศึกที่บัญชาการรบ หากเจ้าอยากชนะก็ต้องเข้าใจคู่ต่อสู้ ต้องรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร มีอะไร ต้องการอะไร ขาดแคลนอะไร จากนั้นสมมติว่าตัวเองเป็นคนคนนั้น คิดบนจุดยืนของเขา ประเมินผลได้ผลเสียทั้งหมดจากมุมมองของเขา แล้วค่อยมอบเหยื่อล่อที่เขาต้องการ จากนั้นจู่โจมจุดสำคัญ จู่โจมยามอีกฝ่ายเผลอ หลังจากนั้นเจ้าย่อมได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการ’
นางมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างตะลึงงัน เขาเพียงวางหมากตัวใหม่ลงบนกระดานหมากที่ถูกล้างจนว่างเปล่าแล้วเอ่ยขึ้น
‘ข้อมูลข่าวสารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเจ้าต้องคิด ใช้สิ่งนี้คิด’ เขาใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากนาง จากนั้นก็จิ้มหมากสีดำตัวนั้น จ้องนางเขม็งและเอ่ยว่า ‘จินตนาการว่าเดินหมากไปแล้ว หากเจ้าเป็นหมากตัวนี้ อะไรจะเกิดขึ้นกับเจ้าได้บ้าง’
นางกะพริบตา คิดถึงตอนแรกที่นางพยายามทำการค้า แต่กลับเจออุปสรรคทุกทาง การทำการค้าในเมืองแห่งนี้ต้องไปซื้อยันต์คุ้มภัยที่หอสุราก่อน ความจริงนั่นเป็นเรื่องที่แอบสืบดูก็รู้แล้ว แต่นางถามตรงๆ จึงไม่มีใครพูดกับนางอย่างเปิดเผย
วันนั้นหลังเดินหมากเสร็จ นางลากตัวลู่อี้ไปนั่งในหอสุราและสั่งสุรามาหนึ่งกา
‘ข้าไม่ดื่มสุรา’ ให้ตายลู่อี้ก็ไม่ยอมดื่ม ถึงขั้นเอ่ยปากอย่างหาได้ยากยิ่งอีกครั้ง ‘ไม่ดื่มตอนอยู่ข้างนอก จะทำให้เสียงาน’
‘ไม่ดื่มสุราก็กินกับข้าว’ นางกดเสียงเบา โน้มตัวไปพูดกับวัวตัวนี้ ‘ทุกคนที่ทำการค้าล้วนต้องมาซื้อยันต์คุ้มภัยที่นี่ ที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมข่าวสารต่างๆ พวกเราทำการค้าย่อมต้องรู้ให้มากหน่อย เจ้ากินถั่วลิสง แล้วเปิดหูตาให้กว้างขวาง เงี่ยหูออกไปให้ยาวหน่อย’
ชายผู้นั้นจ้องนาง คิ้วเข้มขมวดมุ่น
นางพูดโดยไม่กะพริบตา ‘ไม่ใช่ที่นี่ก็เป็นหอรับวสันต์ เจ้าเลือกเอาสักที่แล้วกัน’
ได้ยินดังนั้นลู่อี้ก็ขึงตามองนางอย่างเหลือเชื่อ หัวคิ้วขมวดลึกกว่าเดิม ริมฝีปากหนาเม้มแน่นยิ่งขึ้น
‘งั้นแสดงว่าเลือกหอรับวสันต์สินะ…’ นางทำท่าจะลุกขึ้น ลู่อี้ยื่นมือออกไปคว้าจับนางไว้โดยไว
เวินโหรวเลิกคิ้วให้เขา ลู่อี้ใบหน้าถมึงทึงกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาสองคำ
‘นั่งลง’
นางคลี่ยิ้มและนั่งลง ‘อีกหน่อยเจ้าอย่าเอาแต่กินขนมเปี๊ยะอยู่บนรถเทียมลา ตอนกลางวันมานั่งที่นี่ กินบะหมี่สักชาม ดื่มสุราเล็กน้อย พูดคุยกับคนอื่นบ้าง…’
ลู่อี้ที่ปล่อยมือนางแล้วใบหน้าบึ้งตึงและบิดเบี้ยวเล็กน้อย
คิดถึงนิสัยเงียบขรึมของเขาแล้ว นางรีบเปลี่ยนคำพูดและยิ้มว่า
‘ฟังคนคุยกันก็ได้’
ลู่อี้มองนางโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็ถอนหายใจทีหนึ่ง รินสุราให้ตัวเองและดื่มมันลงไป
ภายหลังนางพบว่าลู่อี้ไม่ได้ไปหอสุรา แต่ทุกครั้งเวลานางถามข้อมูลอะไรจากเขา เขามักจะตอบได้เสมอ นางสงสัยเหลือเกิน ต่อมาจึงทราบว่าเขาเห็นราคาอาหารในหอสุราแพงจึงไม่เข้าไปด้านหน้าบริเวณที่ต้องเสียเงิน แต่ไปที่ตรอกด้านหลังของหอสุรา นั่งยองๆ กินขนมเปี๊ยะอยู่ตรงนั้น ลูกจ้างในหอสุราล้วนกินข้าวอยู่ด้านหลัง เวลาคุยเรื่องซุบซิบไม่เคยตกหล่นไปสักเรื่อง
นางไม่รู้ว่าลู่อี้รู้ได้อย่างไรว่าสามารถทำเช่นนี้ได้ แต่วิธีนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว นางเพิ่มเงินให้เขาทุกเดือนเพื่อให้เขาไปช่วยสืบข่าว นับแต่นั้นมาการค้าก็เจริญรุ่งเรืองมากกว่าเดิม
แต่นางรู้ดีว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะโจวชิ่ง
วันนั้นหลังจากเขาพูดกับนาง นางก็ตระหนักอย่างรวดเร็วว่าเขาจงใจชี้แนะนาง
การทำการค้าไม่อาจคลำทางตามลำพังคนเดียวได้ โจวเป้าสามารถเป็นจอมเผด็จการได้ย่อมมีเหตุผล
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งไม่พ่ายแพ้
ด้วยเหตุนี้โจวเป้าจึงเปิดหอสุรา เปิดโรงจำนำ เปิดหอรับวสันต์ กิจการที่อยู่ในมือเขาเหล่านั้นล้วนเป็นสถานที่ที่สามารถได้ยินข่าวใหม่ล่าสุด สามารถรวบรวมข้อมูลได้มากที่สุด
โจวชิ่งชี้แนะและสอนนางว่าควรทำการค้าอย่างไร
นางไม่เปิดโปงเขา เขาเองก็ไม่พูดออกมา
เวินโหรวไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้ แต่การมากินข้าวที่โรงจำนำเป็นครั้งคราวทำให้นางค่อยๆ เข้าใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบิดาไม่ดีนัก
เขาอาศัยอยู่บนชั้นสองของโรงจำนำ ไม่ได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่หรูหราที่ตั้งอยู่ริมน้ำของโจวเป้า ที่โรงจำนำมีเตียงและผ้าห่ม ยังมีหนังสือที่เรียงรายเต็มชั้นและหีบเสื้อผ้า แม้การที่ครอบครัวคนรวยมีบ้านและที่ดินหลายแห่งจะเป็นเรื่องปกติมาก บ้านและที่ดินที่สกุลโจวถือครองอยู่ยิ่งมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่นางรู้ว่านี่เป็นสถานที่ที่เขาอาศัยอยู่
เขาพักอยู่ที่นี่ กินอยู่ที่นี่ จะกลับไปหาพ่อเขาเป็นบางครั้งเท่านั้น
ชายผู้นี้เหมือนนาง ไม่ได้รับความรักจากพ่อ นางรู้สึกได้
หลายครั้งที่นางเห็นโจวชิ่งกับพ่อเขาปรากฏตัวในสถานที่เดียวกัน ส่วนลึกในใจมักเกิดความรู้สึกเข้ากันไม่ได้อย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนมีความตึงเครียดแปลกประหลาดอัดแน่นอยู่ในอากาศ ราวกับมีคนดึงสายพิณตึงแน่นเกินไปจนพร้อมจะขาดได้ทุกเมื่อ ต้องรอให้ใครคนใดคนหนึ่งจากไป ความตึงเครียดจึงจะบรรเทาลง แม้ยามอยู่ต่อหน้าพ่อ เขามักจะสงบเสงี่ยมมาก แต่นางก็ยังมีความรู้สึกอย่างนั้น
เขาไม่ชอบพ่อเขา พ่อเขาก็ไม่ชอบเขา
ด้วยเหตุผลที่ไม่รู้ว่าคืออะไร ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกคู่นี้ตึงเครียดอย่างยิ่ง
ด้วยฐานะลูกชายของจอมเผด็จการทำให้ข้างกายเขาแทบไม่มีสหายที่คบหาอย่างจริงใจ ทุกคนที่มาหาเขาล้วนมีเหตุผลแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง
บางครั้งเวลานั่งกินข้าวอยู่ตรงข้ามเขา นางจะคาดเดาว่าบางทีอาจเป็นเพราะอย่างนี้ เขาถึงได้ชอบชวนนางมากินข้าวด้วยกระมัง
การกินข้าวคนเดียวเหงามาก นางรู้
ตอนเป็นเด็กมีช่วงหนึ่งที่ป้าชุ่ยยืนกรานว่านางเป็นคุณหนูและมักจะให้นางกินข้าวคนเดียว แรกๆ มีสาวใช้ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ภายหลังไม่มีสาวใช้แล้ว ป้าชุ่ยจึงปรนนิบัตินางด้วยตัวเอง แต่อาหารเหล่านั้น ต่อให้อร่อยเพียงใดกินลงไปก็ไม่มีรสชาติมากนัก
รอจนนางอายุมากพอ ทุกครั้งเมื่อถึงเวลากินข้าว นางจะเป็นฝ่ายไปหาลู่อี้ ลุงชิว และป้าชุ่ยในห้องครัว นั่งกินข้าวด้วยกันบนโต๊ะสี่เหลี่ยมในห้องครัว หลายครั้งเข้าป้าชุ่ยจนปัญญากับนางจึงยอมตามใจ
การกินข้าวคนเดียวเหงามาก นางรู้