คู่อุ่นไอร่ายรัก
ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่ห้า
‘เจ้าซื้อฝ้ายติดเมล็ดมาทั้งลำเรือหรือ’
ตอนบ่ายในวันหนึ่ง หลังกินข้าวเสร็จนางจิบชาร้อนคำหนึ่ง ขณะถือถ้วยชาทอดถอนใจ จู่ๆ ก็ได้ยินเขาเอ่ยปากถาม
เวินโหรวช้อนตาขึ้น เห็นโจวชิ่งกินขนมพลางเงยหน้ามองนางด้วยสายตาราบเรียบ
อากาศร้อน วันนี้เขาสวมชุดผ้าไหมบางเนื้อนุ่มสีดำ เนื้อผ้าระบายอากาศได้ดีแต่แนบติดไปกับร่าง ขับเน้นเรือนร่างกำยำของเขาเต็มที่ ทำเอานางไม่กล้าเหลือบมองเขาแม้แต่แวบเดียว รีบหลุบตาลง
แสงแดดยามบ่ายสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเล็กน้อย ส่องมือใหญ่ของเขาที่วางอยู่บนสมุดบัญชี ทำให้นางอดมองมือใหญ่ทรงพลังของเขาไม่ได้
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยถามถึงการค้าของนางเลยสักนิด แต่นางรู้ว่าเขารู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่ หลงจู๊หอสุราจะนำสมุดบัญชีที่จดบันทึกการซื้อขายยันต์คุ้มภัยมาให้เขาดู
ยามนี้สมุดบัญชีใต้มือเขาไม่ใช่สมุดบัญชีที่บันทึกการซื้อขายยันต์คุ้มภัย แต่เป็นสมุดบัญชีอีกเล่มที่บันทึกการค้าขายประเภทต่างๆ
นางเห็นชื่อปลอมของตัวเองอยู่บนนั้น ถูกนิ้วมือสะอาดสะอ้านของเขาวางทับอยู่ ลูบไล้ข้างกรอบอักษรฉิว* ตัวเล็กของคำว่าเวิน ไม่รู้เหตุใดนางรู้สึกเหมือนเขากำลังลูบหน้านางอยู่ ใบหน้าเล็กพลันร้อนซู่
‘ใช่’ นางรีบปัดความรู้สึกนั้นออกไป ผงกศีรษะหน้าแดง
‘ราคาสินค้าไม่น้อยเลย’ เขาเอ่ยเนิบช้า
‘ไม่น้อย’ นางตอบตามตรงและเงยหน้า ‘เป็นเงินทั้งหมดที่ข้ามีอยู่ในมือ’
เขาเลิกคิ้วมองนางแล้วเอ่ยถาม
‘เพราะอะไร’
ก่อนหน้านี้นางยังซื้อไหมแท้มาทำงานชั้นดีเล็กน้อย ตอนนี้จู่ๆ กลับทุ่มเงินทั้งหมดไปซื้อฝ้ายติดเมล็ด ไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกประหลาดใจ
เพียงแต่นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะใส่ใจว่านางกำลังทำอะไรอยู่
‘ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว’ นางพึมพำ ‘ฝ้ายพวกนั้นสามารถนำมาทำเสื้อบุนวมได้’
เขาไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนี้ ยังคงเลิกคิ้วมองนาง
การตั้งคำถามอย่างไร้เสียงกระจายออกไปในอากาศ
นางถูกเขาจ้องจนอึดอัดไปหมด ดวงหน้าเล็กแดงขึ้นทุกที รู้ว่าหากชายผู้นี้ไม่ได้รับคำตอบ เขาต้องไม่ยอมเลิกราแน่ จึงได้แต่เอ่ยปากอธิบาย
‘ฝ้ายติดเมล็ดสามชั่งสามารถทำปุยฝ้ายได้หนึ่งชั่งกว่า ปุยฝ้ายหนึ่งชั่งสามารถแปลงเป็นเส้นใยได้หนึ่งชั่ง เส้นใยหนึ่งชั่งสามารถทอผ้าได้หนึ่งพับ ผ้าหนึ่งพับสามารถแลกข้าวสารได้สามเซิง** ข้าวสารหนึ่งเซิงสามารถหุงข้าวได้สิบชาม ข้าวสารสามเซิงสามารถหุงข้าวได้สามสิบชาม’
เขาจ้องนางตาไม่กะพริบ
นางหน้าแดงหูแดง แต่ยังคงพยายามพูดอย่างสุขุม
‘ทุกปีหลังฤดูเก็บเกี่ยว ข้าวสารธัญพืชที่ชาวนาปลูกส่วนใหญ่ล้วนต้องจ่ายให้ทางการเป็นค่าส่วยและภาษีที่นา ไม่ใช่ทุกครอบครัวที่จะมีเสบียงอาหารเหลือพอสำหรับฤดูหนาว การทอผ้าไหมผ้าแพรหนึ่งพับต้องใช้เวลาแปดถึงสิบหกวัน แต่การทอผ้าฝ้ายหนึ่งพับใช้เวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น’
นางพูดจบอย่างรวดเร็วและหุบปาก ดวงหน้าเล็กยังคงแดงเรื่อ
เขาจ้องนางเงียบๆ ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
การค้าครั้งนี้โง่มาก นางรู้
ต่อให้ฝ้ายติดเมล็ดทั้งลำเรือสามารถทอเป็นผ้าฝ้ายได้ทั้งหมด นางก็ไม่มีทางขายผ้าฝ้ายจำนวนมหาศาลออกไปได้ทั้งหมดก่อนปีใหม่ นางไม่ควรทุ่มเงินทั้งหมดไปที่ฝ้ายติดเมล็ดนั่นเลย นางตระหนักดีกว่าใครว่าการค้าครั้งนี้อาจทำให้นางขาดทุนย่อยยับ
แต่ผ้าฝ้ายหนึ่งพับสามารถแลกข้าวได้สามสิบชาม และการทอผ้าฝ้ายหนึ่งพับใช้เวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น หลังจากทำงานร่วมกันมาตลอดหนึ่งปี นางไม่อาจทนเห็นครอบครัวชาวนาที่สนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในช่วงฤดูหนาวอย่างยากลำบากเหมือนปีก่อนจริงๆ ยังไม่พูดถึงว่าหากเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ ผู้ที่ได้รับประโยชน์จะไม่ใช่แค่ครอบครัวชาวนาพวกนั้น
‘เจ้าคิดว่าจะขายผ้าพวกนั้นให้ใคร’ คำถามนี้จี้แทงใจดำนางพอดี
น่าโมโหนัก นางลอบสบถในใจ จ้องตรงไปที่เขา
‘ข้ากำลังเจรจา’
‘เจ้ายังหาผู้ซื้อไม่ได้?’ เขาเลิกคิ้วสูงกว่าเดิม
‘ข้ากำลังหา’ นางยิ้มน้อยๆ
‘เจ้ายังหาผู้ซื้อไม่ได้’
ให้ตาย ประโยคคำถามของเขากลายเป็นประโยคบอกเล่าไปแล้ว
เวินโหรววางถ้วยชา พูดอย่างต้องการเอาชนะเล็กน้อย
‘ข้าต้องหาได้แน่’
เขามองนาง ครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้น
‘สินค้าชุดนี้ เจ้าคิดจะขายเท่าไร’
นางฟังแล้วหัวใจเต้นแรง อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว
คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มีทรัพย์สินมากมาย ร่ำรวยมหาศาล สินค้าทั้งลำเรือของนาง สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
‘นี่เป็นปัญหาที่ข้าก่อขึ้นเอง ข้าจะคิดหาหนทางจัดการด้วยตัวเอง’ นางนั่งตัวตรง มองเขาและเอ่ยว่า ‘ท่านไม่จำเป็นต้องช่วยข้า’
เขาเลิกคิ้วอีกครั้ง กำลังจะอ้าปาก นางกลับยกมือขึ้นและเอ่ยปากอีกครั้ง
‘แต่ว่า…’ นางไม่โลภในเงินของเขา แต่นี่เป็นการค้า ดังนั้นนางจึงมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าท่าทีจริงจัง ‘ผ้าที่ออกไปจากมือข้า แม้จะมิใช่ของดีที่สุดในเมือง ทว่าคุณภาพไม่แย่แน่นอน หากเป็นการซื้อขาดเพียงครั้งเดียว ข้าไม่ต้องการ แต่หากท่านคิดจะทำการค้าระยะยาว พวกเราสามารถหารือแผนการระยะยาวได้’
นางไม่ใช่คนโง่ ไม่มีทางพลาดโอกาสทางการค้าครั้งนี้เพียงเพราะเรื่องหน้าตาแน่นอน
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะน้ำชาไม้ประดู่มองนางอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยถาม
‘เจ้ายังคิดที่จะทำการค้านี้ต่ออีกหรือ’
นางพยักหน้าบอกเขา ‘ผ้าฝ้ายที่ทอจากเจียงหนานทั้งราคาถูกและคุณภาพดี ในเมืองมีเถ้าแก่ใหญ่ไม่น้อยที่รับซื้อผ้าไป จากนั้นก็ส่งต่อไปขายในเมืองหลวงทางตอนเหนือทางแม่น้ำอวิ้นเหอ ที่นั่นผ้าฝ้ายเจียงหนานขายได้ราคาดีมาก นี่เป็นการค้าที่สามารถทำได้ ข้าเชื่อว่าท่านรู้ดีกว่าข้า แต่หากจะทำ ข้าอยากหาคนที่สามารถร่วมมือกันได้ระยะยาว’
เขามองนาง ครู่ใหญ่จึงเปิดปาก
‘บอกข้า หากข้าไม่รับสินค้าของเจ้า เจ้าคิดจะทำอย่างไร’
นางตอบสี่คำโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา
‘ยอมขายขาดทุน’
เขาอึ้งไป นัยน์ตาสีดำเปล่งประกายขณะเอ่ยบอกนาง
‘บางทีข้าอาจรอให้เจ้ายอมขายขาดทุนก่อนค่อยรับซื้อ’
‘อืม บางที’ นางมองเขา พูดอย่างเปิดเผย ‘ท่านสามารถรอดูได้’
เขามองนางและยิ้ม รอยยิ้มนั้นแผ่กระจายจากมุมปากเขาไปยังนัยน์ตาสีดำ ทำให้ใบหน้าทั้งดวงของเขาสว่างไสว
เสียงหัวเราะดังมาจากแผงอกเขา เปล่งออกมาจากริมฝีปากบาง ก้องไปทั่วห้อง
นางไม่เคยเห็นชายผู้นี้หัวเราะมาก่อน ทั้งยังหัวเราะอย่างจริงใจ นางเห็นแล้วตะลึงงันไป หัวใจเต้นรัวเร็ว ได้แต่เหม่อมองชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มพลางหยิบพู่กันขึ้นมาแต้มหมึก หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาจากด้านข้าง เขียนตัวอักษรไม่กี่บรรทัดและยื่นให้นาง
นางก้มหน้าดูถึงพบว่านั่นเป็นสัญญาฉบับหนึ่ง อีกทั้งเขาไม่เพียงยินดีมอบเงินค่าสินค้าให้นางก่อนสามส่วน ราคาซื้อขายตอนสุดท้ายยังสูงกว่าในตลาดหนึ่งส่วน
เวินโหรวเงยหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความแปลกใจ เห็นเขามองนางขณะเอ่ยปาก
‘เริ่มจากหนึ่งปีก่อน หากเจ้าทำได้ดี ค่อยขยายเวลาออกไปตามสัญญานี้’ พูดพลางยื่นพู่กันให้นาง ‘ราคานี้หากเจ้าคิดว่าไม่มีปัญหาก็ลงชื่อเถอะ’
‘เพราะอะไร’ นางมองชายหนุ่มตรงหน้า ยังคงอดถามไม่ได้ ‘ข้ามีโอกาสที่จะยอมขายขาดทุนจริงๆ นะ’ ในความเป็นจริงมีโอกาสสูงทีเดียวล่ะ
‘บางที’ นัยน์ตาสีดำของเขาเจือยิ้มขณะมองนาง ‘แต่ข้าไม่คิดว่าข้าจะรอจนเจ้ายอมขายขาดทุนได้’
นี่เป็นคำชม…
ไม่รู้เหตุใดคำพูดที่แสดงถึงการยอมรับของชายหนุ่มตรงหน้าจึงมีอิทธิพลต่อนางมากกว่าราคาสินค้าในมือเสียอีก ชั่วขณะนั้นหัวใจทั้งดวงพลันอบอุ่น นางอดยิ้มออกมาไม่ได้
เวินโหรวยื่นมือไปรับพู่กันด้ามนั้นและลงชื่อในสัญญาแผ่นนั้น
เขายื่นมือออกไปหานางหลังจากที่นางลงชื่อในสัญญาแผ่นนั้นแล้ว
นางยื่นมือเล็กออกไปโดยไม่ทันคิด ชั่วพริบตาถัดมารู้สึกเพียงมือใหญ่ของเขากุมมือเล็กของนางไว้
‘เถ้าแก่เวิน ฝากความหวังไว้ที่เจ้าแล้ว’
คำว่า ‘เถ้าแก่’ คำนี้ทำเอาหัวใจนางเบิกบานลิงโลดยิ่งกว่าเดิม
‘ต้องขอบคุณในความช่วยเหลือของท่าน’
ได้ยินคำพูดนี้แล้วเขาก็ยิ้ม แต่รอยยิ้มครั้งนี้ไม่เจือแววเสียดสีแม้แต่น้อย
รอยยิ้มที่สะกดไว้ไม่อยู่แผ่กระจายไปบนใบหน้าร้อนผ่าว มองเขาแล้ว นางก็ฉีกยิ้มเบิกบานตอบอย่างมิอาจห้ามตัวเอง
สายลมอุ่นพัดมาช้าๆ และโชยผ่านไป
เขาคลายมือออก นางหดมือกลับมาอย่างอาลัย จวบจนนางกลับถึงบ้านก็ยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือใหญ่ของเขาที่กุมมือนางไว้
ความอบอุ่นนั้นห่อหุ้มหัวใจและคงอยู่อย่างนั้น แม้จะหลับไปแล้วนางก็ยังประสานมือทั้งสองข้างไว้บนหน้าอก