คู่อุ่นไอร่ายรัก
ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่ห้า
ฤดูร้อนปีนี้เหมือนพริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไป
ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนและผ่านไป
วันหนึ่งตื่นมาก็พบว่าทั่วทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวแล้ว
การค้าของนางยิ่งทำยิ่งรุ่งเรือง ฝ้ายติดเมล็ดทั้งลำเรือนั้นถูกทอเป็นผ้าฝ้ายอย่างราบรื่น ระหว่างนั้นแม้จะมีอุปสรรคบ้าง แต่สุดท้ายนางก็แก้ไขปัญหาได้ เมื่อวานผ้าทั้งหมดถูกขนขึ้นเรือแล้ว เช้าวันนี้ถูกส่งไปทางเหนืออย่างราบรื่น
เมื่อคืนเป็นครั้งแรกที่นางหลับสบายในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นางตื่นแต่เช้า ทั้งที่สามารถหลับต่อได้อีกหน่อย แต่กลับรู้สึกคันไม้คันมือ อยากทำอะไรสักอย่าง
นางเดินอยู่ในบ้านรอบหนึ่ง เห็นผลไม้ที่ห้อยอยู่บนต้นไม้ในลานแล้วบังเกิดความคิด จึงเด็ดมาบรรจุลงในห่อสัมภาระได้ห่อหนึ่ง จากนั้นขอให้ลู่อี้พานางเข้าเมืองด้วยท่าทางกระตือรือร้น
ครึ่งปีผ่านไปนางชินกับการเข้าออกโรงจำนำแล้ว เฉาเฟิ่งเองก็เห็นการเข้าออกของนางเป็นเรื่องปกติ
พอเห็นนางเลิกม่านเข้าประตูมา หลี่เฉาเฟิ่งรีบก้าวเข้าไปไขกุญแจประตูที่นำสู่ชั้นบน
นางหยิบลูกพลับสีส้มแดงออกมาจากห่อสัมภาระสองลูกและยื่นให้เขา
‘ท่านหลี่ ลูกพลับนี้ท่านเอาไปกินเถอะ ช่วยขับร้อน ทำให้ปอดชุ่มชื้น ระงับอาการไอและละลายเสมหะได้’ ก่อนหน้านี้เขาถูกลมหนาว ภายหลังแม้จะหายดีแล้ว แต่กลับไอไม่หยุด ตอนเช้านางตื่นขึ้นมาเห็นลูกพลับบนกิ่งไม้จึงถือโอกาสนำมาด้วย
‘ท่านเวินเกรงใจเกินไปแล้ว จะให้ท่านสิ้นเปลืองเงินทองได้อย่างไร’
‘ไม่สิ้นเปลือง’ นางยิ้ม ‘นี่เป็นลูกพลับที่เก็บมาจากหลังบ้านของข้าเอง ท่านอย่าได้รังเกียจก็พอ’
‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้น้อยด้านหน้ารับไว้ก็แล้วกัน’ หลี่เฉาเฟิ่งรับลูกพลับและช่วยนางเปิดประตู ก่อนจะคล้องกุญแจไว้อีกครั้ง
นางหิ้วห่อสัมภาระขึ้นไปข้างบน เดินผ่านระเบียงทางเดินยาว ก่อนจะผลักประตูห้องห้องนั้น จากนั้นก็เห็นโจวชิ่งบนเตียงหลัวฮั่นที่เริ่มคุ้นชินเสียแล้ว แต่วันนี้เขาไม่ได้อยู่คนเดียว
ในห้องยังมีคนอื่นอีกสองคน นอกจากโม่หลีแล้ว ยังมีหญิงสาวอีกคน
หญิงสาวไม่ใช่ใครอื่น เป็นยอดบุปผาของหอรับวสันต์ หลิ่วหรูชุน
ยอดบุปผาผู้นั้นสวมชุดกระโปรงจีบรอบปักลายห้าสี นั่งอยู่บนเตียงหลัวฮั่นตรงตำแหน่งที่นางนั่งประจำ มือสวมปลอกมือให้ความอบอุ่น เอนกายไปที่โต๊ะ ดูเบิกบานสำราญใจอย่างบอกไม่ถูก หิมะที่ปลิวว่อนอยู่นอกหน้าต่างขับเน้นหญิงสาวให้ดูงดงามประหนึ่งนางสวรรค์
เวินโหรวเห็นดังนั้นก็อึ้งงันไป ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่รู้ชื่อผุดขึ้นมาอัดแน่นอยู่ในโพรงอก
พอนางผลักประตูเข้าไป สามคนในห้องก็หยุดการสนทนาและหันมามองนางพร้อมกัน
นางยืนแข็งทื่ออยู่ข้างประตู มองสองชายหนึ่งหญิงในห้อง ชั่วขณะหนึ่งที่รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย นานครู่ใหญ่จึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองควรเคาะประตู นางคิดจะถอยออกไป แต่รู้สึกว่าทำแบบนั้นประหลาดมาก ด้วยความลนลานจึงได้แต่พูดอย่างเร่งร้อน
‘เอ่อ…ขออภัย…เอ่อ ข้า…นี่เป็นลูกพลับที่บ้านข้า อากาศเย็น อร่อยทีเดียว ช่วยชำระล้างปอดระงับอาการไอ ลู่อี้รอข้าอยู่ข้างล่าง ข้าขอตัวก่อน’
นางฉีกยิ้ม พูดพลางวางห่อสัมภาระนั้นไว้บนโต๊ะอย่างลุกลน จากนั้นไม่รอให้พวกเขาเอ่ยปากก็โบกมือและหมุนตัวจากไป หญิงคนนั้นดึงนิ้วขาวเนียนประหนึ่งหยกออกมาจากปลอกมือ เหมือนอีกฝ่ายจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างเสียงค่อย นางได้ยินไม่ชัดและไม่ได้หยุดฟัง
บอกตามตรง กระทั่งตัวเองพูดอะไรไป นางยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ
หัวสมองสับสนว้าวุ่นอย่างไร้เหตุผล รู้สึกร้อนไปหมด
เวินโหรวลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว หลี่เฉาเฟิ่งแปลกใจที่นางลงมาเร็วถึงเพียงนี้ นางพูดบางอย่างไปส่งเดช พอเขาไขกุญแจเปิดประตู นางก็เดินออกไปทันที
ครั้นมาถึงถนนแล้ว นางก็ออกแรงสับเท้าไปมา แทบจะอดใจไม่อยู่และออกวิ่ง ทว่าพริบตาถัดมานางก็สะดุดล้มคะมำลงไปบนพื้นหิมะ
หิมะไม่หนา เพิ่งตกลงมาได้คืนเดียวเท่านั้น
นางล้มกระแทกจนเจ็บมาก มือไม้ถลอกไปหมด ทว่าเมื่อเห็นเลือดบนฝ่ามือตัวเองแล้ว หัวสมองของนางจึงปลอดโปร่งขึ้นเล็กน้อย
หัวใจยังคงเต้นเร็ว ยังคงอัดอั้นมาก อึดอัดเหมือนมีก้อนหินก้อนใหญ่อัดอยู่ข้างใน
นางเลียริมฝีปากที่แห้งและเย็น แล้วลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง
จะคิดมากอะไร เขากับยอดบุปผาแค่นั่งคุยกันอยู่ตรงนั้น นางไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเองเห็นแล้วถึงได้ลนลานขนาดนั้น
เวินโหรวปัดหิมะสกปรกบนตัวออกแล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
มีอะไรน่าลนลานกัน ไม่มี ไม่มีเลยสักนิด
นางสูดเอาอากาศหนาวเย็นเข้าไป ชั่วขณะหนึ่งที่อยากหันไปมองแต่กลับไม่กล้า
เพียงนึกขึ้นได้อย่างไร้สาเหตุว่าหนึ่งปีก่อนนางก็ล้มลงบนพื้นหิมะเช่นนี้
เพราะเขา นางถึงรู้ว่าต้องไปซื้อยันต์คุ้มภัยที่ศาลเจ้า ถึงได้เริ่มทำการค้า
หอรับวสันต์เป็นกิจการของครอบครัวเขา นางรู้ตั้งนานแล้ว
ยอดบุปผามาหาเขาก็เป็นเรื่องปกติมาก เขายังเคยเป่าขลุ่ยตี๋ให้ยอดบุปผาผู้นั้น ช่วยนางกอบกู้สถานการณ์
เพียงแต่ไม่รู้ทำไมหมู่นี้นางถึงลืมเรื่องนี้ไปอย่างน่าแปลก เพียงแต่ไม่รู้ทำไมเรื่องที่ไม่น่าอึดอัดใจในฤดูใบไม้ผลิ ยามนี้กลับสร้างความอึดอัดใจให้นาง เพียงแต่ไม่รู้ทำไมในหัวถึงเต็มไปด้วยภาพชายผู้นั้นนั่งอยู่ด้วยกันกับยอดบุปผาที่งามประหนึ่งนางสวรรค์โดยมีเพียงโต๊ะตัวเล็กขวางกั้น ภาพที่เขายืนอยู่ข้างหลังยอดบุปผาผู้นั้น ช่วยเป่าขลุ่ยตี๋ให้หญิงงามท่ามกลางดอกท้อมากมาย
เวินโหรวเดินไปข้างหน้าทีละก้าวท่ามกลางลมหิมะ ลืมลู่อี้ไปเสียสนิท จนกระทั่งลู่อี้ยื่นมือมาจับแขนนาง นางถึงได้สติ
‘เจ้าจะไปไหน’
นางจ้องมองใบหน้าหยาบกร้านและหัวคิ้วขมวดมุ่นของลู่อี้อย่างเหม่อลอย กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะตระหนักว่าหิมะตกหนักมากตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ นางพบว่าตัวเองเดินอยู่กลางหิมะ เดินมาไกลเหลือเกิน มิน่าคนหัวรั้นผู้นี้ถึงได้ยื่นมือมาคว้าตัวนางไว้
นางหนาวจนทนไม่ไหว มือกับหน้าถูกความเย็นจนแข็งไปหมดแล้ว
‘ขอ…ขออภัย…ข้า…ไม่ค่อย…ข้าไม่รู้…’
คิ้วเข้มของลู่อี้ขมวดแน่นกว่าเดิม เขาปล่อยมือที่จับนาง อ้าปากเอ่ยคำพูดออกมาอย่างหาได้ยากยิ่ง
‘กลับเถอะ’
นางพยักหน้าตัวสั่นเชื่อฟังคำเขา ก้าวขึ้นรถเทียมลาไป
* อักษรฉิว (囚) เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของคำว่าเวิน (溫)
** เซิง เป็นหน่วยตวงวัดของจีน มีปริมาตร 1 ลิตร
(โปรดติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)