บทที่ 1
ในช่วงเวลาที่หนาวเหน็บที่สุดของเหมันต์ฤดู เมืองหลวงมีหิมะปลิวว่อนดุจขนห่าน ลมหนาวยามคืนเหมันต์พัดพาให้โคมไฟที่มุมชายคาเฉลียงทางเดินแกว่งไหว ในช่วงยามห้า* ด้านนอกก็เริ่มปรากฏหิมะขาวโพลนไปทั่วทั้งแถบ
ภายในเรือนจ้าวสุ่ย ณ จวนจิ้งอันโหว** หิมะแรกของฤดูโปรยปรายลงบนยอดกิ่งต้นเหมยเขียว
เสียงเคาะบอกโมงยามที่รบกวนจนทำให้คนตื่นจากนิทราก่อนหน้านี้เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงฝีเท้ารีบร้อนถี่กระชั้นของเหล่าบ่าวไพร่สาวใช้ในจวนก็เริ่มดังขึ้นในราตรีดึกสงัดนี้
เพียงครู่หนึ่ง นอกประตูห้องหลักก็มีเสียงเคาะดัง ‘ตึงๆ’ มีคนเอ่ยเรียกเบาๆ ว่า “คุณหนูสี่เจ้าคะ”
เป็นแม่นมจางผู้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินท่านโหว
ซู่ซินกำลังจัดวางอาหารเช้า ครั้นเห็นว่าคุณหนูของตนมิได้ส่งเสียงขานรับจึงส่งสายตาให้ลวี่เอ้อซึ่งยืนอยู่ข้างหลังคุณหนู ลวี่เอ้อเข้าใจความหมาย จึงวางหวีในมือลง แล้วเดินออกไปที่ห้องด้านนอกเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
คาดว่าสาวใช้ที่เฝ้าเวรยามคงจะเป็นคนเปิดประตูให้ ยามลวี่เอ้อไปถึง แม่นมจางก็กำลังเดินนำหญิงชราจากร้านจิ่นซิ่วรวมถึงสาวใช้ที่ถือถาดไว้ในมือเดินเรียงแถวเข้ามาพอดี
ภายใต้แสงเทียนมัวสลัว ชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนของเหล่าสาวใช้ขั้นสองของจวนจิ้งอันโหวนั้นดูเหมือนจะก่อให้เกิดเป็นเงาเส้นโค้งงดงามอันไร้ที่ติปรากฏออกมาที่ข้างประตู
“แม่นมจาง” ลวี่เอ้อเป็นคนมีไหวพริบ รีบคารวะด้วยรอยยิ้มกว้างทันที
แม่นมจางถลึงตาใส่ลวี่เอ้อหนึ่งปราด จากนั้นก็รีบยื่นมือออกไปประคอง แล้วหันมองไปทางฉากกั้นเล็กน้อย นางได้แต่มองอยู่เช่นนี้ ส่วนลวี่เอ้อก็ออกมาต้อนรับอยู่ที่นี่ เช่นนั้นแสดงว่าคุณหนูสี่คงจะไม่ออกมา
นางกับลวี่เอ้อนับว่าสนิทสนมคุ้นเคยกันอยู่บ้าง จึงทักทายปราศรัยกันสองประโยค ต่อมาจึงพาหญิงชราจากร้านจิ่นซิ่วเดินเข้ามาแนะนำเสื้อผ้าเครื่องประดับที่ตัดเย็บขึ้นใหม่สำหรับเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงในครานี้
“…ขนสัตว์ที่ฮูหยินท่านโหวให้มาคราวนี้ทั้งเรียบลื่นแวววาวทั้งขาวบริสุทธิ์ไร้ตำหนิ เดิมทีก็นับเป็นของดีชั้นเลิศอันหาได้ยากยิ่งอยู่แล้ว ได้ยินว่านี่ยังเป็นสิ่งของที่ได้รับพระราชทานมาเมื่อครั้งงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย ถ้าไม่ตัดเย็บให้ดีจะยิ่งเป็นความผิดมหันต์ คราวนี้ทำเอาหลงจู๊ร้านเรากลุ้มใจแทบแย่! คิดไปคิดมาหลงจู๊ร้านเราเลยไปร้องขอให้แม่นางจางช่วยตัดเย็บด้วยตนเอง แม่นางลวี่เอ้อเองก็รู้ว่าหลังจากแม่นางจางออกเรือนไปแล้วก็ไม่ค่อยจะรับงานเย็บปักสักเท่าไร เพื่อให้นางตัดเย็บให้ ท่านหลงจู๊ยังทุ่มเทเรี่ยวแรงไปไม่น้อย ท่านดูลวดลาย ดูรอยสอยตะเข็บพวกนี้สิ”
หญิงชราจากร้านจิ่นซิ่วแนะนำไปพลาง สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังก็ยื่นชุดคลุมขนจิ้งจอกสีขาวเงินที่รีดเรียบกริบไปตรงหน้าลวี่เอ้อ ให้นางพินิจพิจารณา
ลวี่เอ้อขยับเข้าไปใกล้ๆ ประเมินดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน สายตาเผยแววชื่นชมเล็กน้อย “ใช้การปักเต็มผืนผ้า ผ้าแพรเงินก็เข้ากันดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทำให้ผ้าขนสัตว์ผืนนี้เสียเปล่าจริงๆ”
นางตรวจสอบชุดคลุมทั้งข้างนอกข้างในจนทั่ว หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอันใดผิดพลาดก็เอ่ยอย่างพึงพอใจว่า “งานเลี้ยงในวังครานี้จัดขึ้นกะทันหัน รีบเร่งตัดเย็บแต่ก็ยังงดงามประณีตถึงเพียงนี้ หลงจู๊ของพวกเจ้าทุ่มเทตั้งใจจริงๆ”
หญิงชรารีบฉีกยิ้มพลางกล่าวถ่อมตัว ในที่สุดก็เบาใจลงได้
เจ้านายที่แม่นางลวี่เอ้อผู้นี้ปรนนิบัติรับใช้คือบุตรสาวคนเล็กในภรรยาเอกของจิ้งอันโหว…หมิงถาน นางใช้ชีวิตหรูหราสุขสบายมาตั้งแต่เยาว์วัย เป็นที่รักใคร่เอ็นดูอย่างสุดแสน พบเจอของดีๆ มามากมาย และก็จู้จี้พิถีพิถันยิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ธรรมดาทั่วไปจะได้รับการยอมรับจากลวี่เอ้อผู้เป็นสาวใช้ข้างกายนี้มิใช่เรื่องง่าย
แต่บังเอิญที่เจ้านายผู้นี้มีบุญคุณต่อร้านพวกเขา วันนี้ฟ้ายังไม่ทันสาง หลงจู๊ก็สั่งให้นางนำเสื้อผ้ามาส่งที่จวนจิ้งอันโหว ซ้ำยังกำชับกำชาเป็นพิเศษว่านางต้องไปที่เรือนของคุณหนูสี่ด้วยตนเอง เมื่อได้รับคำว่า ‘ทุ่มเทตั้งใจ’ จากลวี่เอ้อ นางก็สามารถกลับไปรายงานแก่หลงจู๊ได้เต็มที่ นอนหลับสนิทเต็มอิ่มได้เสียที