กระวานน้อยแรกรัก
ทดลองอ่าน กระวานน้อยแรกรัก บทที่ 1
“มีคนพูดถึงถนนชางอวี้ แม่นมทั้งสองเลยระเบิดโทสะ พอตามไปถึงสวนดอกไม้ฝั่งตะวันออก บ่าวกลัวจะถูกจับได้ เลยไม่กล้าตามต่อเจ้าค่ะ”
ในเรือนเฟิงเหอ เสิ่นฮว่ายืนอยู่ริมหน้าต่างของห้องหลัง ฟังบ่าวรับใช้ประจำตัวรายงานสิ่งที่ไล่ตามไปแอบฟังมา ฟังจบมุมปากของนางก็ยกขึ้นเล็กน้อย ทอดมองไปยังทิศทางของเรือนจ้าวสุ่ย ในก้นบึ้งดวงตาปรากฏแววดูถูกหยามเหยียดที่ไม่เข้ากับความนุ่มนวลอ่อนโยนในยามปกติเลยแม้แต่นิดเดียว
“หมายความว่าข้าไม่นุ่มนวลไม่งดงาม ไม่ฉลาดปราดเปรื่องเท่านาง ดีกับพวกเจ้าไม่มากพอ อ้อ ซ้ำพี่ชายของข้าก็ไม่กล้าหาญชาญชัยอย่างแม่ทัพน้อยเสิ่น อนาคตข้างหน้าไม่ดีพออย่างนั้นสินะ” ที่เรือนจ้าวสุ่ย หมิงถานเอามือเท้าแก้มนั่งอยู่ข้างโต๊ะ เอ่ยทวนซ้ำอย่างเนิบช้า
กลิ่นหอมของชาอิ๋นเซิง* อ่อนจางละมุนละไม แฝงอยู่ในกลิ่นหอมกรุ่นของอาหารเช้าที่ตั้งวางอยู่ คล้ายกับมีกลิ่นแต่ก็ไม่มีอยู่ในที ดวงหน้าขาวผ่องหมดจดราวกับขี้ผึ้งประทินโฉมซุกซ่อนอยู่หลังไอหมอกสีขาวที่ลอยเป็นเกลียวขึ้นมาจากการต้มน้ำเดือดชงชา ทำให้มองเห็นไม่ค่อยชัดเจนนัก
“คำพูดเลอะเทอะเหลวไหลพวกนั้นคุณหนูอย่าเก็บเอามาใส่ใจเลยเจ้าค่ะ รูปโฉมและอุปนิสัยของคุณหนูถือว่าโดดเด่นอย่างหาตัวจับได้ยากในบรรดาคุณหนูทั้งหลายในเมืองหลวงเชียวนะเจ้าคะ!”
ลวี่เอ้อปรามไม่ทัน ปล่อยให้สาวใช้ที่กลับมารายงานเล่าทุกอย่างออกมาอย่างละเอียดยิบ ยามนี้จึงจำต้องเบี่ยงเบนประเด็นสนทนาเพื่อกอบกู้สถานการณ์แทน
“จริงสิเจ้าคะคุณหนู ของที่ฮูหยินส่งมาบ่าวเปิดดูหมดแล้ว วันนี้เข้าวังก็สวมชุดตัวนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ”
ลวี่เอ้อมีหน้าที่ดูแลเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เรือนจ้าวสุ่ยโดยเฉพาะ นางพอจะมีความคิดความเห็นเกี่ยวกับการจับคู่เสื้อผ้าเครื่องประดับอยู่มาก เพียงชั่วเวลาสั้นๆ นางก็เริ่มพูดพรรณนาจากอักษรชื่อ ‘ถาน’ ที่สลักอยู่บนปิ่นหยกอย่างเป็นพิเศษไปจนถึงชุดคลุมขนจิ้งจอกสีขาวปักลายผ้าแพรเงินเต็มผืนตัวนั้น
ครั้นพูดแต่ละอย่างจบแล้วพบว่าไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ ลวี่เอ้อแอบช้อนตามองอย่างอดไม่อยู่ “คุณหนู?” ในเสียงของนางมีความระแวดระวังเพิ่มขึ้นหลายส่วน
ซู่ซินซึ่งปรนนิบัติด้านอาหารการกินตักโจ๊กหนึ่งถ้วยวางลงตรงหน้าของหมิงถาน และช่วยเอ่ยเตือนด้วยเช่นกัน “คุณหนู ต้องดูชุดสักหน่อยนะเจ้าคะ”
หมิงถานกวาดตามองถาดในมือของลวี่เอ้อแวบหนึ่ง “เอาตัวนี้ก็แล้วกัน ใส่ชุดใดก็เหมือนกันนั่นล่ะ” นางเปลี่ยนมาเท้าแก้มด้วยมืออีกข้าง ส่วนมือที่ว่างก็จับช้อนกระเบื้องในถ้วยโจ๊กเล่นไปมาอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก
นางเพิ่งจะตื่นขึ้นตอนยามห้า บนร่างนางสวมใส่ชุดนอนปักลายกิ่งดอกสาลี่ คลุมทับด้วยผ้าคลุมขนจิ้งจอกอ่อนนุ่ม เกศาดำขลับแผ่สยายจนถึงเอวราวกับม่านน้ำตก มีเพียงปอยผมปอยหนึ่งที่ตกลงอยู่ข้างแก้มซูบผอมอย่างไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย
ไม่รู้เช่นกันว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ ขนตาที่เป็นแพหนาราวกับขนอีกาขยับไหวเป็นระยะๆ ประหนึ่งกำลังขานรับต่อเปลวเทียนวูบไหวที่สะท้อนอยู่บนผิวถ้วยโจ๊ก เห็นแล้วเกิดความสงสารเวทนาคนงามอยู่เล็กน้อย
แต่น่าเสียดาย ยามนี้คนงามกลับกินอันใดไม่ลง แม้ไอร้อนจากโจ๊กจางหายไปจนหมดสิ้นแต่อาหารก็ยังไม่พร่องลงไปสักเท่าไร
เมื่อเห็นนางมีท่าทีเช่นนี้ ซู่ซินที่พูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไรก็อดเกลี้ยกล่อมมิได้ “โจ๊กช่วยบำรุงกระเพาะ คุณหนูกินสักหน่อยเถิด วันนี้ท่านยังต้องเข้าวังอีกนะเจ้าคะ”
งานเลี้ยงในวังมีกฎระเบียบมากมาย ไม่ผ่อนคลายสบายใจเท่ากับกินอาหารอยู่ที่จวน ซู่ซินเองก็ปรารถนาดี ทว่านางไม่พูดถึงยังจะดีเสียกว่า พอพูดถึงเรื่องเข้าวัง หมิงถานก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดคับข้องใจยิ่ง
ที่ผ่านๆ มาช่วงเทศกาลซั่งหยวน* หาได้มีงานเลี้ยงในวังไม่ ครานี้ตั้งใจจัดงานเลี้ยงในวังเพราะเหตุใด บรรดาตระกูลสูงศักดิ์ต่างก็รู้กันดีแก่ใจ แต่ในวังกลับยังจะปกปิดอำพราง แม้แต่คนที่มีคู่หมั้นอยู่แล้วอย่างนางก็ยังต้องไปร่วมงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน
หากเป็นอย่างทุกที แค่ไปร่วมวงสนุกสนานด้วยก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ตอนนี้ในสมองนางเต็มไปด้วยเรื่องโสมมที่คู่หมั้นของนางกับญาติผู้น้องของเขาลักลอบมีสัมพันธ์กัน มิหนำซ้ำยังแอบมีบุตรนอกสมรสด้วยกันมาตั้งนานแล้ว!
แม้ว่าเรื่องนี้จะถูกปิดบังเอาไว้อย่างมิดชิด กระทั่งสาวใช้ประจำกายนางก็ยังไม่มีใครรู้ ทว่าบุตรนอกสมรสคนนั้นอายุสองขวบเต็มแล้ว กระโดดโลดเต้นร้องเรียกท่านพ่อได้แล้ว ไม่ว่าสุดท้ายเรื่องการแต่งงานจะเป็นเช่นไร เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นหลักฐานประจักษ์ชัดว่าคุณหนูสี่สกุลหมิงอย่างนางถูกคู่หมั้นทรยศหักหลัง
พอคิดว่าการหมั้นหมายที่ในอดีตทุกคนต่างอิจฉาตาร้อน อีกทั้งตัวนางเองก็ค่อนข้างภูมิอกภูมิใจนี้ ไม่แคล้วจะต้องจบลงอย่างเสียเกียรติ หมิงถานประเดี๋ยวรู้สึกว่าถ่านไหมเงิน* ที่อยู่ในกระถางถ่านเผาไหม้อวัยวะภายในของนางจนมีควันพวยพุ่งขึ้น ประเดี๋ยวก็รู้สึกว่าโจ๊กที่ไร้ไอร้อนนี้เย็นเฉียบจากลำคอไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ
“ไม่กินแล้ว” นางว้าวุ่นใจ วางช้อนกระเบื้องลง จากนั้นลุกขึ้นเดินเข้าไปยังห้องชั้นใน
ซู่ซินจ้องมองแผ่นหลังของหมิงถานแล้วถอนหายใจออกมา มิได้เอ่ยโน้มน้าวอันใดอีก นางสั่งให้พวกสาวใช้ยกอาหารเช้าบนโต๊ะที่แทบจะไม่ได้ถูกแตะต้องออกไป
“หลายวันมานี้คุณหนูเป็นอะไรไป ถ้าไม่ชอบใจที่สาวใช้พวกนั้นพูดจาไม่น่าฟังลับหลังก็รายงานฮูหยินให้ขับไล่ออกไปเสียก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นต้องถึงขนาดแม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ยังไม่ยอมดูเลยนี่”
คุณหนูของพวกนางให้ความสำคัญกับการแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นที่สุด ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกจะต้องละเอียดประณีตตั้งแต่เส้นผมไปจนถึงลวดลายที่พื้นรองเท้า จึงไม่แปลกที่ลวี่เอ้อจะเคลือบแคลงสงสัยจนต้องขยับเข้าไปใกล้ซู่ซินแล้วกระซิบกระซาบเสียงเบา
ซู่ซินเองก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน “เมื่อคืนตอนข้าเฝ้ายามก็ลองถามแล้ว แต่คุณหนูไม่พูด บางทีอาจจะอยากอยู่เงียบๆ ก็เป็นได้ เอาล่ะ ข้าไปต้มโจ๊กไก่ฉีกที่ห้องครัวก่อน อย่างไรก็ต้องให้คุณหนูกินอาหารรองท้องก่อนเข้าวัง เจ้าเองก็อย่าไปรบกวนคุณหนูเล่า”
ซู่ซินอายุมากกว่าเล็กน้อย ทั้งยังสุขุมละเอียดอ่อน ได้รับความไว้วางใจจากหมิงถานมากที่สุด ลวี่เอ้อเบ้ปาก ไม่กล้าเอ่ยโต้ตอบ ทำได้เพียงบิดพู่ผ้าไหมที่ข้างเอวพลางมองส่งซู่ซินเดินออกจากประตูไป