“ทางตงโจวให้เขตสุยเป่ยรับช่วงดูแลต่อก็ถือเป็นเรื่องดี เจ้าน่าจะได้พักผ่อนอยู่ที่เมืองหลวงสักระยะ จริงสิอาซวี่ ปีนี้เจ้าก็…ยี่สิบเอ็ดแล้วกระมัง มิสู้ถือโอกาสช่วงนี้ตัดสินใจเรื่องการแต่งงานเสีย การสร้างครอบครัวมีทายาทสืบทอดสกุลนั้นเป็นเรื่องใหญ่ วันนี้ที่อุทยานยงหยวน ฮองเฮาตั้งใจเชิญสตรีในครอบครัวขุนนางที่ถึงวัยเหมาะจะแต่งงานเข้าวังมาเป็นพิเศษ หากถูกใจคุณหนูสกุลใดก็บอกกับเรา ขอแค่ชาติตระกูลผุดผ่อง ประพฤติตนดีงาม เราจะมอบสมรสพระราชทานให้เจ้าแน่นอน”
ตั้งแต่เข้ามาในห้องอุ่น ฮ่องเต้เฉิงคังก็เอาแต่พูดจาเรื่อยเปื่อย พูดตั้งแต่การศึกที่ดินแดนทางเหนือไปจนถึงชัยชนะที่ตงโจว สุดท้ายก็เบนหัวข้อสนทนามาอยู่ที่เรื่องการ ‘แต่งงาน’ อย่างคิดเอาเองว่าดูลื่นไหลเป็นธรรมชาติแล้ว
ขณะที่ฮ่องเต้เฉิงคังกำลังคิดว่าจะเพิ่มเสริมอันใดเข้าไปอีกสักหน่อย จางฮองเฮาซึ่งยืนอยู่อีกด้านก็ปิดปากกระแอมกระไอเบาๆ ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างพลางเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “สตรีกลุ่มนี้ แม่นางน้อยที่สวมชุดคลุมสีขาวเงินทางด้านซ้าย หม่อมฉันคิดว่ารู้กฎระเบียบไม่เลวเลยเพคะ”
ฮ่องเต้เฉิงคังถูกขัดจังหวะ จึงหรี่ตาลงอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็มองออกไปยังนอกหน้าต่าง ครู่หนึ่งผ่านไปก็พยักหน้าเล็กน้อย “ฮองเฮาสายตามองคนไม่เลว” พระองค์กำชับสั่งขันทีว่า “ไปสืบมาซิว่าเป็นคุณหนูสกุลใด”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีขานรับบัญชา ก่อนจะโค้งกายแล้วเดินถอยออกไป
ฮ่องเต้เฉิงคังหันหน้ากลับมาอีกครา มองไปยังบุรุษชุดดำที่อยู่ข้างกาย “อาซวี่ เจ้าเองก็มาดูสักแวบหนึ่งสิ ในเมื่อจะเลือกชายาให้เจ้า ก็ต้องเลือกที่เจ้าพึงใจถึงจะถูก”
ลมเย็นยะเยือกเจือด้วยเกล็ดหิมะพัดโชยผ่านหน้าต่างเข้ามาขานรับกับเสียงที่ยังไม่ทันจะสิ้นคำนี้ ชุดผ้าดิ้นสีดำซึ่งปักลวดลายงูใหญ่ถูกลมพัดจนชายชุดด้านหนึ่งปลิวขึ้นมา คนผู้นั้นยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงริมหน้าต่าง หลุบตากวาดมองแวบหนึ่ง แล้วก็เบนสายตาออกอย่างไร้อารมณ์
บอกว่าแวบหนึ่งก็แวบหนึ่งจริงๆ!
ฮ่องเต้เฉิงคังหมดถ้อยคำจะเอื้อนเอ่ยไปพักใหญ่
โชคดีที่พระองค์เคยชินกับท่าทางไม่สนใจไยดีของคนข้างๆ มานานแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการเสียมารยาทแต่อย่างใด เพียงแต่พระองค์ก็มิได้เอ่ยปากพูดคุยกับคนผู้นี้อีกเป็นการชั่วคราว ขณะรอคอยให้ขันทีนำความมารายงานอยู่นั้น ก็หันไปพูดคุยเสียงเบากับจางฮองเฮาด้วย
ในช่วงเวลาระหว่างนี้จางฮองเฮามองสำรวจแผ่นหลังของหมิงถาน ในใจยิ่งพึงพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ
แม่นางน้อยเหล่านี้ส่วนมากล้วนเพิ่งจะเคยเข้าวังหลวงเป็นครั้งแรก ถึงแม้ยามอยู่ในบ้านจะได้รับการสั่งสอนกฎระเบียบมาเป็นอย่างดี แต่น้อยคนนักที่จะไม่หวาดหวั่นต่อความน่ายำเกรงของวังหลวง เมื่อในใจมีความหวาดกลัว มือเท้าก็จะหวาดกลัวไปด้วย ลมหายใจติดขัดถี่กระชั้น
เท่าที่สังเกตดูหญิงสาวมามากมายจนถึงตอนนี้ มีเพียงแม่นางตรงหน้าผู้นี้ที่อากัปกิริยาภูมิฐานที่สุด ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวล้วนเยือกเย็นสง่างาม ช่างงดงามเพลิดเพลินสายตายิ่ง
ไม่นานนักขันทีก็กลับมาที่ห้องอุ่น โค้งกายคำนับแล้วเอ่ยตอบว่า “กราบทูลฝ่าบาท กราบทูลฮองเฮา คนกลุ่มนี้คือฮูหยินจิ้งอันโหว คุณหนูสี่จวนจิ้งอันโหว ยังมีน้องสาวของแม่ทัพน้อยเสิ่นที่มาขออาศัยอยู่กับจวนจิ้งอันโหวพ่ะย่ะค่ะ”
“น้องสาวของเสิ่นอวี้?” ฮ่องเต้เฉิงคังเลิกคิ้ว
ขันทีรีบเอ่ยตอบ “น้องสาวของแม่ทัพน้อยเสิ่นอวี้คือคนที่สวมชุดคลุมที่ถักจากผ้าแพรสีทอง ส่วนคนที่ฮองเฮาตรัสถามคือคุณหนูสี่แห่งจวนจิ้งอันโหวพ่ะย่ะค่ะ”
จวนจิ้งอันโหว ฐานะวงศ์ตระกูลถือว่าเหมาะสมคู่ควร จางฮองเฮากำลังคิดถึงตรงนี้ ขันทีก็เอ่ยเสริมขึ้นมาว่า “คุณหนูสี่จวนจิ้งอันโหวได้หมั้นหมายกับซื่อจื่อของลิ่งกั๋วกงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หมั้นหมายแล้ว?” จางฮองเฮาชะงักไปชั่วครู่ “นี่ช่าง…”
จวนลิ่งกั๋วกงเป็นผู้สูงศักดิ์ตระกูลเก่าแก่ นางเองก็ไม่กล้าเปล่งคำว่า ‘เสียดาย’ สองพยางค์นี้ออกมา ทว่าบนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความเสียอกเสียดาย
ฮ่องเต้เฉิงคังกล่าวว่า “ในเมื่อมีคู่หมั้นแล้ว ก็ไม่ควรจะไปทำลายวาสนาของผู้อื่น”
ถ้อยคำของพระองค์แม้แฝงด้วยความเสียดาย ทว่าในใจหาได้คิดเช่นนั้น พอได้ยินคำว่า ‘จวนจิ้งอันโหว’ ก็คัดชื่อคุณหนูสี่แห่งจวนโหวผู้นี้ออกทันที
พระองค์ชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยังชี้ไปที่แผ่นหลังเลือนรางซึ่งเดินห่างไกลลิบออกไปแล้ว “เราว่าน้องสาวของเสิ่นอวี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ถึงแม้สกุลเสิ่นจะมีฐานะต่ำต้อยไปเสียหน่อย แต่ก็ยังพอจะให้เป็นชายารองได้”
จางฮองเฮาไม่มีความสนใจต่อการเลือกอนุภรรยา จึงหลุบตาพลางจัดแขนเสื้อให้เรียบร้อย มิได้ส่งเสียงขานรับ
ฮ่องเต้เฉิงคังหันกลับมาเอ่ยถามอีกครั้ง “อาซวี่ เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง เจ้าเองก็ให้ความสำคัญกับเสิ่นอวี้อยู่พอสมควรเลยมิใช่หรือ”
“ไม่คิดอย่างไร ถ้าฝ่าบาททรงดำริว่าไม่เลว ก็ทรงรับเข้าตำหนักในสิพ่ะย่ะค่ะ”
สุ้มเสียงนี้ไม่ดังไม่เบา แต่ฟังออกได้ว่าข่มกลั้นความรำคาญใจจางๆ เอาไว้หลายส่วน
ไม่รู้เพราะเหตุใดพอขันทีที่อยู่โดยรอบได้ยินแล้วต่างก็ตกใจจนแข้งขาอ่อน ทั้งๆ ที่ในห้องอุ่นจุดเตาอุ่นใต้ดินเอาไว้ แต่ทุกคนกลับตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่ ก้มหน้าต่ำงุด