ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องอุ่น เหล่าหญิงสาวครอบครัวขุนนางไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยแม้แต่น้อย เมื่อเดินเข้ามาในอุทยานยงหยวน ทุกคนก็ถูกนำทางไปยังตำหนักฉางหมิง เข้านั่งประจำที่ตามลำดับ
ที่นั่งของจวนจิ้งอันโหวอยู่ติดกับประตูของตำหนักฉางหมิงพอดี หากขยับออกไปข้างหลังอีกนิดก็จะต้องตากลมหนาวนอกตำหนักแล้ว
เสิ่นฮว่าเข้านั่งที่ตามเผยซื่อ ในใจฉงนงุนงงเล็กน้อย
นางมาอยู่เมืองหลวงได้ครึ่งปี รู้ดีว่าจวนจิ้งอันโหวยิ่งใหญ่เกรียงไกร มีฐานะไม่ธรรมดา แต่เหตุใดวันนี้ในวังจัดงานเลี้ยงกลับได้อยู่ห่างไกลเช่นนี้เล่า
เสิ่นฮว่าไม่เข้าใจ แต่หมิงถานกลับเข้าใจกระจ่างยิ่ง
สถานที่ซึ่งมีแต่ชนชั้นสูงรวมตัวกันอย่างเมืองหลวง จริงๆ แล้วท่านโหวผู้หนึ่งก็ไม่ได้ถือว่ามีตำแหน่งสูงส่งอันใด บัดนี้ที่จวนจิ้งอันโหวมีหน้ามีตาเช่นนี้ หลักๆ แล้วเป็นเพราะจิ้งอันโหวบิดาของนางเป็นข้าหลวงใหญ่รักษาชายแดน กุมอำนาจที่แท้จริงเอาไว้ในมือ
ลำดับที่นั่งงานเลี้ยงในวังยึดตามลำดับบรรดาศักดิ์เป็นหลัก จวนกั๋วกงที่อยู่เหนือจวนโหวของพวกเขาก็มีตั้งหลายสิบตระกูลแล้ว ไหนยังต้องนับเหล่าพระญาติเชื้อพระวงศ์อีก ได้นั่งอยู่ในเขตตำหนักเช่นนี้ก็ถือว่ามีอภิสิทธิ์มากแล้ว
ยามนี้ภายในตำหนักฉางหมิงมีคนมากมายแต่กลับเงียบสงบยิ่ง หลังจากหมิงถานนั่งประจำที่ นางก็กวาดตามองไปยังตำแหน่งจวนลิ่งกั๋วกงที่อยู่ด้านหน้าคล้ายมิได้ตั้งใจมอง
ไม่มองก็แล้วไป แต่พอมองเสร็จ ในใจนางก็บังเกิดโทสะอย่างไม่มีสาเหตุขึ้นมาอีกครั้ง
นี่จวนลิ่งกั๋วกงคิดว่าไม่มีผู้ใดรู้เรื่องฉาวโฉ่ของพวกเขา หรือว่าพวกเขาไม่เห็นอาถานแห่งสกุลหมิงอย่างนางอยู่ในสายตากันแน่ ถึงได้พาญาติผู้น้องที่แอบมีสัมพันธ์ลับๆ กับคู่หมั้นนางมาร่วมงานด้วยอย่างเปิดเผยเช่นนี้! พวกนางคิดว่านี่เป็นงานเช่นใดกัน หรือคิดอยากจะพาคนมาปรากฏตัวต่อหน้านางให้คุ้นหน้าคุ้นตาเอาไว้ต่อไปจะได้ร่วมปรนนิบัติสามีคนเดียวกันอย่างสามัคคีกลมเกลียวอย่างนั้นหรือ!
เผยซื่อสังเกตเห็นว่าสายตาของหมิงถานมีบางอย่างแปลกๆ จึงเอ่ยเรียกเบาๆ “อาถาน เป็นอะไรไปหรือ”
เผยซื่อยังไม่รู้เรื่องที่จวนลิ่งกั๋วกงปิดบังอยู่ หมิงถานจึงเก็บสายตากลับมา ฝืนส่งเสียงตอบไปว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” แล้วก็พยายามสะกดกลั้นเพลิงโทสะในหัวใจของตนเองเอาไว้ นั่งอย่างสุภาพตัวตรงตามระเบียบ ไม่หันไปมองอีกแม้แต่แวบเดียว
เมื่อแรกจวนลิ่งกั๋วกงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นถึงสายตาของหมิงถาน แต่ยามนี้พอเห็นว่าสตรีจวนจิ้งอันโหวมาถึงกันแล้ว จึงอดมองสังเกตดูจากไกลๆ มิได้
ฮูหยินลิ่งกั๋วกงเองก็ลอบมองด้วยเช่นกัน มองไปพลางภาคภูมิใจไปพลาง
อาถานแห่งสกุลหมิงมีชื่อเสียงดีงามเป็นเลิศในหมู่คุณหนูในเมืองหลวง รูปโฉม ชาติตระกูล กิริยามารยาท ฝีมือการบรรเลงฉิน* แต่ละอย่างล้วนยอดเยี่ยมโดดเด่น นิสัยใจคอก็สงบเสงี่ยมเรียบร้อย ทั้งชวนให้สามีรักใคร่ ทั้งพาออกหน้าออกตาได้ ช่างหาได้ยากยิ่ง เคราะห์ดีที่หมั้นหมายไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ หาไม่แล้วจะต้องมีหลายตระกูลพากันแย่งสู่ขอเป็นแน่
แต่บุตรชายตัวปัญหาของนางนั้น…
พอคิดถึงตรงนี้นางก็เหลือบมองไปด้านหลังปราดหนึ่ง บังเอิญเห็นหญิงสาวนางหนึ่งกำลังประคองถ้วยชาอย่างชดช้อยบอบบาง จึงอดทอดถอนใจในใจมิได้ว่าแม้จะเป็นหลานสาวของตน แต่เอาออกหน้าไม่ได้ก็คือไม่ได้
ไม่รู้เช่นกันว่าจะปิดบังเรื่องนี้ไปได้อีกนานเพียงใด ยามจิ้งอันโหวปฏิบัติหน้าที่ครบตามกำหนดเวลา เดินทางกลับมารายงานสถานการณ์ที่เมืองหลวง การแต่งงานของทั้งสองตระกูลก็จะต้องเริ่มกำหนดฤกษ์ยาม ถ้าหากอยากจะแต่งอาถานแห่งสกุลหมิงเข้าจวนอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค เรื่องนี้นางคงต้องรีบวางแผนเสียแต่เนิ่นๆ
ทุกคนที่อยู่ในตำหนักต่างคนต่างคิดเรื่องของตนเอง ทว่าฉากหน้ากลับแสดงท่าทีนิ่งเงียบพินอบพิเทาออกมาเหมือนกันทั้งหมด
ความเงียบงันนี้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งขันทีตะโกนก้องด้วยเสียงเล็กแหลมว่า “ฮองเฮาเสด็จ!”
ทุกคนถึงเก็บงำความคิดเอาไว้แล้วลุกขึ้นยืน คุกเข่าถวายบังคมไปทางจางฮองเฮาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ถวายบังคมฮองเฮา ขอฮองเฮาทรงพระเกษมสำราญ!”
“ลุกขึ้น” น้ำเสียงของจางฮองเฮาค่อนข้างอ่อนโยนนุ่มนวล ทั้งยังดูเหมือนแฝงแววขบขันอยู่สามส่วน “เชิญทุกคนเข้าวังมาร่วมเทศกาลซั่งหยวนวันนี้ ก็แค่อยากจะให้มาสนุกสนานกัน ทุกคนนั่งลงเถิด ไม่ต้องเคร่งพิธีการ”
ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่คนที่กล้านั่งลงไปเต็มก้นโดยไม่เคร่งพิธีการจริงๆ กลับไม่มีใครสามารถมีชีวิตออกไปจากตำหนักฉางหมิงแห่งนี้ได้ ทุกคนยอบกายคารวะอย่างพร้อมเพรียงพร้อมขานตอบว่า “เพคะ” แล้วถึงค่อยนั่งลงอย่างสุภาพเรียบร้อย