จางฮองเฮาไม่กล่าววาจาก็ถือว่าพอจะเข้าใจได้ อย่างไรเสียอวี้กุ้ยเฟยซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของกู้จิ่วโหรวก็สร้างปัญหาที่ตำหนักในให้นางไม่น้อย แต่กับฮ่องเต้เฉิงคังซึ่งโปรดปรานเอ็นดูอวี้กุ้ยเฟยเสมอมากลับไม่แม้แต่จะพูดแก้สถานการณ์แม้แต่คำเดียว เอาแต่ดื่มสุราอย่างไม่สนใจผู้ใด ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับพระองค์แม้แต่เศษเสี้ยว
กระทั่งบุรุษในชุดผ้าดิ้นสีดำผู้นั้นเดินออกไป ภายในตำหนักก็ยังเงียบสนิทไร้สรรพเสียง ขันทีเพียงแค่โค้งกายส่ง ไม่มีผู้ใดกล้าขวางทางเขา
ก่อนจะมาร่วมงานเลี้ยง ทุกคนคงไม่คาดคิดว่างานเลี้ยงในวังคราวนี้จะปิดฉากลงอย่างลวกๆ เช่นนี้
ตอนออกจากวังมายังไม่ถึงปลายยามโหย่ว* เลยด้วยซ้ำ ท้องนภายังไม่มืดดี ถนนหลวงเพิ่งจะเริ่มจุดโคมไฟเท่านั้น
หมิงถานเหยียบแท่นรองเตรียมตัวจะขึ้นรถม้า ทันใดนั้นก็ได้ยินคนตะโกนเรียกจากด้านหลัง “อาถาน!”
นางหันหน้ากลับไป เมื่อเห็นผู้มาเยือนชัดเจนก็อดคลี่ยิ้มออกมามิได้
ไป๋หมินหมิ่นตะโกนเรียกเสร็จแล้วเดิมคิดจะเดินเข้าไปหาทันที แต่ครั้นปะทะเข้ากับภาพหมิงถานหันกลับมาแย้มยิ้มอย่างเผลอไผล แสงโคมไฟเจิดจ้าที่กำลังสว่างไสวดวงแล้วดวงเล่าอยู่ด้านหลังดูคล้ายกลับหม่นแสงลงในฉับพลัน
ฟันขาวสะอาดดวงตาใสกระจ่างประดุจดังสายน้ำยามสารทฤดูที่ส่องประกายวาวระยับ เรียวคิ้วบางๆ ริมฝีปากยกโค้งเสมือนจันทราดาราดารดาษ คนงามก็เป็นเช่นนี้ล่ะหนอ
ไป๋หมินหมิ่นจ้องมองจนเหม่อลอยอยู่กับที่ครู่หนึ่ง สุดท้ายต้องให้บ่าวรับใช้ประจำกายสะกิดเตือนถึงได้สติกลับคืนมา
ไป๋หมินหมิ่นเป็นบุตรสาวคนโตของภรรยาเอกบ้านใหญ่จวนชางกั๋วกง เป็นญาติผู้พี่ของหมิงถาน เนื่องจากอายุอานามใกล้เคียงกัน ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งสองจึงเป็นสหายสนิทที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กจนโต
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ตำหนักฉางหมิง ที่นั่งของจวนชางกั๋วกงกับจวนจิ้งอันโหวอยู่ในแถวซ้ายเหมือนกัน ทั้งสองคนจึงไม่ได้เห็นหน้ากันตรงๆ ยามนี้พอออกจากวัง ไป๋หมินหมิ่นจึงรีบมาตามหาอย่างไม่รอช้า
นางเดินเข้ามาดึงตัวหมิงถานเอาไว้อย่างสนิทชิดเชื้อ จากนั้นก็คารวะให้เผยซื่ออย่างว่องไว “หมินหมิ่นคารวะท่านอาหญิงเจ้าค่ะ”
นางเป็นคนปากไวใจเร็ว ไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อมวกวน พอคารวะเสร็จก็บอกจุดประสงค์ที่แวะมาออกไปโดยตรงทันที “ท่านอาหญิง วันนี้เป็นวันเทศกาลซั่งหยวน ข้าไหว้วานพี่ชายให้จองห้องพิเศษริมแม่น้ำที่หอทิงอวี่เอาไว้ อยากจะเชิญอาถานไปร่วมชมโคมไฟกับข้า ท่านอาหญิงให้ข้ายืมตัวอาถานสักสองสามชั่วยาม** ได้หรือไม่เจ้าคะ”
อาหญิงที่แท้จริงของไป๋หมินหมิ่นคือไป๋ซื่อมารดาแท้ๆ ผู้ล่วงลับของหมิงถาน ด้วยฐานะและอุปนิสัยของนาง การยอมเรียกเผยซื่อว่า ‘ท่านอาหญิง’ ถือเป็นการให้การยอมรับกับชื่อเสียงความมี ‘จิตใจดีงามเปี่ยมเมตตา’ ของเผยซื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งไม่ต้องพูดว่าในใจของเผยซื่อนั้นจะชื่นอกชื่นใจเพียงไร มีหรือจะไม่ยอมอนุญาต นางยิ้มแย้มพลางกล่าววาจาพอเป็นพิธี ครั้นแล้วก็สั่งให้บ่าวรับใช้คอยติดตามไปด้วย อีกทั้งยังกำชับสั่งลวี่เอ้ออย่างละเอียดถี่ถ้วนให้นางดูแลคุณหนูของตนเองให้ดีๆ
ต้องยอมรับว่าเผยซื่อเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ในเมื่อไป๋หมินหมิ่นมิได้เอ่ยถึงเสิ่นฮว่าแม้แต่คำเดียว นางก็ทำเป็นลืมความรอบคอบเอาใจใส่ในฐานะนายหญิงจวนโหวที่ควรมีไปได้อย่างถูกเวลา ไม่ได้เอ่ยคำพูดเกินควรอย่างเช่นว่าให้เสิ่นฮว่าตามไปชมเรื่องสนุกๆ ด้วยอะไรทำนองนั้นเลย
กระทั่งไป๋หมินหมิ่นพาหมิงถานจากไปแล้ว เผยซื่อเองก็ไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เพียงแค่ทำเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น หันมาพูดเรื่องบัวลอยสีสันต่างๆ ที่ในจวนได้ตระเตรียมไว้วันนี้กับเสิ่นฮว่าด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม
เชิงอรรถ
** ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า ‘ซื่อ’ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดเจนก็มี
* อี๋เหนียง เป็นคำเรียกอนุภรรยา
* นายหญิงตราตั้ง (มิ่งฟู่) เป็นบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้พระราชทานแก่มารดาหรือภรรยาของขุนนางชั้นสูง โดยในแต่ละขั้นจะมีคำเรียกที่แตกต่างกัน ได้แก่ ขั้นหนึ่งและขั้นสองเรียกว่าฟูเหริน ขั้นสามเรียกว่าซูเหริน ขั้นสี่เรียกว่ากงเหริน ขั้นห้าเรียกว่าอี๋เหริน ขั้นหกเรียกว่าอันเหริน และขั้นเจ็ดลงไปเรียกว่าหรูเหริน
** หมัวมัว เป็นคำเรียกหญิงสูงวัย มีความหมายหลากหลาย ทั้งย่า ยาย แม่นม ป้า และยังเป็นคำเรียกหญิงรับใช้อาวุโสในเชิงยกย่อง รวมถึงนางข้าหลวงอาวุโสในวังหลวงด้วย
** ห้องอุ่น หมายถึงห้องเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับเรือนใหญ่ ซึ่งมีการติดตั้งเตาสำหรับจุดไฟไว้ที่ชั้นใต้ดินของห้อง
* ฉินหรือพิณเป็นเครื่องสายจีน เดิมมีห้าสาย ต่อมาพัฒนาเป็นเจ็ดสาย ช่วงเสียงกว้าง เนื้อเสียงออกทุ้ม เสียงกังวานไกล เป็นเครื่องดนตรีอันแสดงถึงความสูงสง่า
* วัยรวบผม หมายถึงอายุ 15 ปี ก่อนสมัยราชวงศ์ชิง เด็กชายชาวฮั่นทุกคนเมื่ออายุครบ 15 ปีจะต้องรวบผมเกล้าขึ้น
* ยามโหย่ว คือช่วงเวลา 17.00 น. ถึง 19.00 น.
** หนึ่งชั่วยาม เทียบได้กับเวลาสองชั่วโมง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.