“ตอนนั้นในใจข้าเป็นกังวล เรียกอู๋จี๋ออกมาฟันม่านอาคมขาดในกระบี่เดียว ไม่ได้คิดอะไรมากมาย”
ในใต้หล้าต่างเล่าลือกันว่าม่านอาคมแห่งนี้ของเมืองเหิงหยางแข็งแกร่งไม่อาจทำลาย คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะฟันขาดในกระบี่เดียว
นี่ข้าควรชมว่าท่านร้ายกาจยิ่งหรือกระบี่ของท่านร้ายกาจยิ่งดีเล่า
แต่สัตว์ร้ายที่ปิดผนึกอยู่ในม่านอาคมล้วนเป็นสัตว์ร้ายที่คนจวนสกุลโจวหลายชั่วคนจับตัวมาได้ แม้เมื่อครู่ระหว่างทางนางได้กำจัดไปไม่น้อย แต่จะต้องมีจำนวนมากที่หนีหลุดออกไปได้
ในเมื่อมู่หวาฮุยทำลายม่านอาคมแห่งนี้เพราะต้องการช่วยนาง เช่นนี้นางก็มีภาระหน้าที่ที่จะต้องกำจัดสัตว์ปีกและสัตว์สี่เท้าเหล่านี้ให้หมด
“ศิษย์พี่ ท่านยืนให้มั่น!”
หลังจากเมิ่งถังเอ่ยเตือนมู่หวาฮุยคำหนึ่งก็ควบคุมชิงหลวนให้เหาะเหินไปข้างหน้าเร็วขึ้น
สายลมบนท้องฟ้าสูงพัดเส้นผมเงางามของนางปลิวไสว มีอยู่หลายปอยปัดผ่านข้างแก้มมู่หวาฮุย
มู่หวาฮุยยกมือขึ้นคีบเส้นผมนุ่มนิ่มหลายปอยนั้น ค่อยๆ พันกับนิ้วมือของตน
จากนั้นเขาก็หลุบตามองท่าทางเม้มปากสีหน้าเคร่งขรึมของเมิ่งถัง
อดไม่ได้ที่จะหยักยกมุมปากขึ้น
ดูเหมือนศิษย์น้องจะยึดมั่นในเรื่องที่จะต้องปกป้องเขาเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สู้วันนี้ก็ให้นางได้เล่นสนุกสักวัน
นางจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดที่เขามอบโลหิตหยดนั้นให้แก่นาง
ครั้นแล้วถัดจากนั้นมู่หวาฮุยก็ได้แต่สองมือไพล่หลังยืนอยู่ข้างกายเมิ่งถังมาตลอด ไม่มีทีท่าจะลงมือให้ความช่วยเหลือแม้แต่น้อย
เนื่องจากเวลานี้ในเมืองมีผู้บำเพ็ญเซียนมารวมตัวอยู่จำนวนมาก ดังนั้นแม้จะมีสัตว์ร้ายทั้งสัตว์สี่เท้าและสัตว์ปีกหนีออกมาจากในม่านอาคมจำนวนมาก แต่ก็ถูกพวกเขากำจัดไปพอสมควรแล้ว
แต่มีสัตว์ปีกดุร้ายตัวหนึ่งไม่รู้ว่าคือตัวอะไรกัน ร่างกายใหญ่โตมโหฬาร สองปีกกางออกมายาวถึงสองสามจั้งได้ พออ้าปากก็พ่นไฟ ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้มันได้
ในเวลาอันสั้นหลายแห่งในเมืองเต็มไปด้วยเปลวไฟลุกโชน ควันหนาทึบ และมีผู้คนในเมืองกับผู้บำเพ็ญเซียนส่วนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ
เมิ่งถังเห็นหลิงซิงเหยาในมือถือกระบี่โม่อวี้กำลังประจันหน้ากับสัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้น
แต่เห็นชัดว่าสัตว์ปีกดุร้ายตัวนี้ร้ายกาจยิ่ง ทั้งสามารถพ่นไฟจากที่ไกล ด้วยเหตุนี้หลิงซิงเหยาจึงไม่อาจเข้าใกล้ตัวมันได้
ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์ปีกดุร้ายตัวนี้ยังเฉลียวฉลาดยิ่ง เมื่อใดที่มันต่อสู้กับหลิงซิงเหยาแล้วตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ มันก็จะพ่นไฟใส่ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ หรือผู้คนในเมืองทันที
ในบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนกลุ่มนี้ มีเพียงหลิงซิงเหยาที่มีพลังวัตรสูงที่สุด เขาย่อมไม่มีทางนิ่งดูดายเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย ดังนั้นการเคลื่อนไหวจึงมีอุปสรรคขัดขวางค่อนข้างมาก
เมิ่งถังเห็นแล้ว คิดในใจ เรื่องนี้จัดการไม่ยาก
ดังคำกล่าวที่ว่าของสิ่งหนึ่งย่อมสยบของอีกสิ่งหนึ่ง ไม่ต้องสนใจว่าจะเป็นสัตว์ปีกดุร้ายอะไร หลังจากเจอกับชิงหลวนก็ล้วนต้องคุกเข่า
จึงชูมือโยนชิงหลวนออกไป อีกด้านหนึ่งยังวางท่าอวดโอ่ให้ดูดี ร้องออกไปคำหนึ่ง “ไปเถิด ชิงหลวน!”
ชิงหลวนไม่ทำให้นางผิดหวัง ไปถึงกลางอากาศก็กลายร่างเป็นวิหคเทพ หลังจากส่งเสียงร้องใสกังวานยาวออกมาคำหนึ่งก็พุ่งเข้าไปหาสัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นอย่างรวดเร็ว
สัตว์ปีกดุร้ายเห็นชัดว่าตกใจจนทึ่มทื่อไปแล้ว ปากที่กำลังพ่นไฟอยู่ก็หยุดลงทันที
หันหน้ามาเห็นชิงหลวนเข้าก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมาคำหนึ่ง มันรีบหมุนตัวทำท่าจะหนี
กลับถูกชิงหลวนไล่ทันเข้าขวางหน้า อ้าปากพ่นไฟเข้าใส่มันทันที
ไฟที่ชิงหลวนพ่นออกมาแตกต่างจากสัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นเป็นสีส้มแดงบริสุทธิ์ เห็นชัดว่าพลังเข่นฆ่าสังหารไม่ใช่สิ่งที่สัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นจะเทียบได้
เมิ่งถังเห็นเปลวไฟนั่นเพิ่งจะสัมผัสถูกร่างของสัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นก็ลุกโชนเป็นกลุ่มไฟร้อนแรงขึ้นมาทันที ห่อหุ้มร่างทั้งร่างของสัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นเอาไว้
มีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด กลุ่มไฟสลายไปหมด ไหนเลยยังจะมีร่องรอยของสัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นให้เห็นอีก
ถึงกับเผาสัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นจนหมดสิ้นไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
หลิงซิงเหยายังพอทำเนา ตอนอยู่ในดินแดนลี้ลับเขาก็เคยเห็นชิงหลวนกลายร่างเป็นร่างเดิมมาแล้ว ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้าตื่นตะลึง
กระทั่งยังมีผู้คนในเมืองลงนั่งคุกเข่ากราบกรานชิงหลวน บอกวิหคเทพย่างกรายมาถึง
ดูเหมือนไม่ระวังอวดโอ่จนเกินเลยไปแล้ว