ยื่นมือไปเรียกชิงหลวนกลับมา เมิ่งถังกับมู่หวาฮุยทิ้งร่างลงสู่พื้นพร้อมกัน
เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนยังคงมองพวกเขาสองคนอย่างตื่นตะลึง
หลิงซิงเหยากลับมองมาที่เมิ่งถัง
กวาดสายตามองประเมินนางอย่างรวดเร็ว เห็นนางดูดียิ่ง ไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บแม้แต่น้อย หัวใจที่แขวนลอยมาโดยตลอดก็ปล่อยวางลงมา
จากนั้นเขาก็ปรายตามองมู่หวาฮุยที่ยืนอยู่ข้างเมิ่งถังแวบหนึ่ง มุมปากหยักยกเป็นรอยยิ้มน้อยๆ คล้ายเยาะหยันตนเอง
มู่หวาฮุยให้ความสำคัญต่อเมิ่งถังเพียงนี้ อีกฝ่ายจะยอมให้นางได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้หลังจากได้ยินคำบอกเล่าของติงเล่อเซวียน มู่หวาฮุยไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว ทิ้งกลุ่มคนในห้องโถง หมุนตัวพุ่งทะยานออกไปทันที
กว่าหลิงซิงเหยาจะรีบไล่ตามออกไปก็ไม่เห็นเงาและร่องรอยของมู่หวาฮุยแล้ว
คนที่ติงเล่อเซวียนกับอวิ๋นชูเยวี่ยมองก่อนใครก็คือเมิ่งถัง
ติงเล่อเซวียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ยังดี…ยังดี เมิ่งถังไม่เป็นไร
อวิ๋นชูเยวี่ยกลับเม้มริมฝีปากแน่น มือทั้งสองที่ห้อยอยู่ข้างตัวกำเป็นหมัดแน่น
ฟ่านตูผู้นั้นไม่ใช่ไปหาเมิ่งถังแล้วหรือ อีกทั้งเขายังจับตัวเมิ่งถังไปแล้ว
จากนั้นเขาไม่ใช่ควรสังหารเมิ่งถังเพื่อกระบี่ชิงหลวนหรือ แต่เหตุใดเวลานี้เมิ่งถังถึงกับกลับมาอย่างปลอดภัยไม่มีอะไรบุบสลาย นอกจากนี้ดูเหมือนพลังวัตรของเมิ่งถังจะเลื่อนสูงขึ้นอีกแล้ว
แม้แต่กระบี่ชิงหลวนของนางก็ยังร้ายกาจเพียงนี้ สามารถกลายร่างเป็นวิหคเทพได้
จึงไม่น่าแปลกใจที่หลังจากฟ่านตูรู้ว่าเมิ่งถังมีกระบี่เซียนเล่มหนึ่ง แม้ต้องเสี่ยงอันตรายก็ต้องช่วงชิงกระบี่ชิงหลวนมาเป็นของตนให้ได้
ถ้ารู้แต่แรกว่ากระบี่ชิงหลวนมีความสามารถมหัศจรรย์เช่นนี้ นางก็อยากได้มาครอบครองเช่นกัน
คิดมาถึงตรงนี้นางอดก้มหน้าลงมองกระบี่ฉานเสวี่ยในมือของตนไม่ได้
ในใจเริ่มนึกรังเกียจขึ้นมา
ตอนนั้นอยู่ในสุสานหมื่นกระบี่ เหตุใดนางจึงหากระบี่ชิงหลวนไม่พบ เพียงหาพบก็แต่กระบี่ฉานเสวี่ยเล่มนี้
ยามนี้เมิ่งถังยืนอยู่กับมู่หวาฮุย ได้รับการมองมาด้วยความสนใจจากผู้คน รวมถึงคำขอบคุณของเจ้าเมืองโจว
เมิ่งถังรู้ว่าจะต้องวางตัวเช่นไร บนใบหน้าคือรอยยิ้มที่ห่างเหินพอเป็นพิธีปากกล่าวคำพูดที่เหมาะสมนอบน้อมถ่อมตน ประสบความสำเร็จในการทำให้เจ้าเมืองโจวมองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม
ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายกำลังทักทายปราศรัยกันอย่างมีมิตรไมตรี โจวอิ้งเสวี่ยก็วิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองโจวด้วยความร้อนรน
“ท่านพ่อ เมื่อครู่หอเก็บตำราเกิดไฟไหม้ขึ้น เวลานี้ไฟลุกโหมยิ่ง ควรทำอย่างไรกันดี”
พอเมิ่งถังได้ยินคำพูดนี้ยังร้อนใจยิ่งกว่าเจ้าเมืองโจวเสียอีก
รีบเรียกชิงหลวนออกมา ขี่กระบี่มุ่งหน้าไปยังทิศที่ตั้งของหอเก็บตำรา
บันทึกการเดินทางเกี่ยวกับดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำเล่มนั้นอย่าได้ถูกไฟเผาไปเป็นอันขาด
เมื่อมาถึงที่ตั้งของหอเก็บตำราก็เห็นแสงไฟพวยพุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้า ควันหนาทึบลอยขึ้นมาเป็นกลุ่มๆ
เมิ่งถังไม่อาจคำนึงถึงอะไรมากมาย ประกบนิ้ววางม่านอาคมไว้รอบตนเอง จากนั้นก็ควบคุมชิงหลวนโน้มตัวลงพุ่งเข้าไปในเปลวไฟอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
มู่หวาฮุยไล่ตามหลังมา แต่เขาก็คาดคิดไม่ถึงว่าเมิ่งถังจะพุ่งเข้าไปในกองเพลิง ขณะที่ในใจห่วงกังวลก็มีเพลิงโทสะพลุ่งพล่านด้วย
ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขรึม เขาเองก็ขี่กระบี่ตามเมิ่งถังไปทันที
แทบจะพร้อมๆ กับที่เมิ่งถังลงสู่พื้น มู่หวาฮุยก็เร่งรุดมาถึงแล้ว
มู่หวาฮุยยื่นมือไปกุมข้อมือเมิ่งถัง ในน้ำเสียงมีความขุ่นเคืองอย่างปิดไม่มิด
“หอเก็บตำราของสกุลโจวสำคัญ หรือชีวิตของตัวเจ้าเองสำคัญกันแน่ เห็นอยู่ว่าสถานที่แห่งนี้อันตราย เจ้ายังจะขี่กระบี่พุ่งเข้ามา เจ้าไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือ รีบตามข้าออกไปจากที่นี่!”
ที่แท้แล้วนางรู้หรือไม่ ในใจของเขาในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตของนางแล้ว แต่เพียงเพื่อหอเก็บตำราเล็กๆ แห่งหนึ่งของสกุลโจว นางถึงกับไม่รักและทะนุถนอมชีวิตของตน พุ่งเข้ามาในทะเลเพลิง
ถ้านางต้องได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอะไรไปเพราะเหตุนี้ มู่หวาฮุยคิดอยู่ในใจอย่างโหดเหี้ยม อย่าว่าแต่หอเก็บตำราแห่งนี้ ต่อให้เป็นสิบแห่ง…ร้อยแห่ง…พันแห่ง เขาก็จะทำลายให้ราบในกระบี่เดียว