บทที่ 59
เมิ่งถังมองบันทึกในมือ ในใจยังคงรู้สึกหวั่นหวาดขึ้นมาในภายหลัง
ก่อนหน้านี้ตอนมู่หวาฮุยยื่นหนังสือเล่มนี้ให้นาง นางก็รีบเอาเก็บเข้าแหวนเก็บทรัพย์ รอกลับไปถึงห้องพักของตนแล้วค่อยเอาออกมา
บริเวณขอบมุมหนังสือหลายจุดล้วนถูกไฟเผาเป็นรอยดำไหม้เกรียม ดีที่ตัวอักษรในบันทึกส่วนใหญ่ไม่เสียหาย
เมิ่งถังรีบพลิกอ่าน
เป็นบรรพบุรุษผู้หนึ่งของสกุลโจวบันทึกไว้จริง
บรรพบุรุษของสกุลโจวผู้นี้ ตั้งแต่เด็กก็มีพรสวรรค์ด้านการปรุงยาอย่างมาก ภายหลังได้กราบอาจารย์เข้าสำนักเล็กแห่งหนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้จัก กลายเป็นผู้ฝึกวิชาปรุงยาผู้หนึ่ง แต่ไรมาก็เห็นการช่วยชีวิตและรักษาผู้บาดเจ็บเป็นหน้าที่ของตน
วันเวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป เขารู้สึกว่าการฝึกฝนและสภาพจิตใจของตนหยุดนิ่งไม่ก้าวหน้า จึงกราบลาอาจารย์และศิษย์ร่วมสำนักออกไปท่องเที่ยว
ระหว่างการเดินทางได้พบเจอเรื่องราวต่างๆ มากมาย เขาจดบันทึกไว้ทั้งหมด และบอกความคิดเห็นของตนที่มีต่อเรื่องราวเหล่านั้น
วันหนึ่งเขาท่องเที่ยวไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ได้ช่วยรักษาชายชราผู้หนึ่ง ตอนชายชราพูดคุยเล่นกับเขา ได้เล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้เขาฟัง
บอกในสมัยที่ตนยังหนุ่ม มีอยู่วันหนึ่งเขายืนอยู่ริมทะเลในช่วงพลบค่ำ ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดงถึงกับเห็นภูเขาลูกหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนพื้นผิวทะเล
เบิกตามองไปสุดสายตาเห็นบนภูเขาเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม บุปผาหลากสีสัน ท่ามกลางบุปผาแมกไม้ มีศาลาวับแวมเห็นอยู่รำไร บนท้องฟ้ามีนกกระเรียนบินวนเวียน
เขารู้สึกว่านี่คือภูเขาเซียน บนภูเขาจะต้องมีเทพเซียนอยู่ ครั้นแล้วจึงรีบค้อมตัวลงกราบกรานอธิษฐานต่อเทพเซียน
เพียงแต่รอเขาโขกศีรษะสามครั้งแล้วเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งกลับเห็นเบื้องหน้ามีแต่ผิวน้ำที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไหนเลยยังจะมีภูเขาเซียนอันใด
หลังจากกลับไปหมู่บ้านเขาก็เล่าเรื่องนี้ให้คนในหมู่บ้านฟัง แต่ไม่เพียงไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขาเลยสักคน กระทั่งยังมีคนหัวเราะเขาบอกเขาใช่ดื่มสุรามากไปหรือไม่ถึงได้เกิดภาพลวงตาขึ้น
ในใจของเขารู้สึกไม่ยินยอม ครั้นแล้วนับแต่นั้นขอเพียงมีเวลาเขาก็จะต้องมาที่ริมทะเลรอภูเขาเซียนปรากฏขึ้นอีกครั้ง ถึงตอนนั้นค่อยเรียกคนในหมู่บ้านมาดู พวกเขาจะได้รู้ว่าตนไม่ได้เมาสุราแล้วตาลาย
ชายชราเพียงเล่าถึงเรื่องราวในอดีตของตนเรื่องหนึ่ง แต่บรรพบุรุษของสกุลโจวท่านนั้นฟังแล้วกลับให้ความสนใจ
ผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ฟังเรื่องเกี่ยวกับเทพเซียนแล้วย่อมเชื่อ เพราะเป้าหมายในท้ายที่สุดของการบำเพ็ญเพียรก็คือการขึ้นสู่สรวงสวรรค์เป็นเทพเซียนมิใช่หรือ
ครั้นแล้ววันถัดมาบรรพบุรุษของสกุลโจวท่านนั้นก็ควักเงินจ้างชาวบ้านคนหนึ่งให้เขาพายเรือพาตนออกทะเล คิดจะไปหาภูเขาเซียนลูกนี้
ถ้าเขามีวาสนาหาภูเขาเซียนพบ ได้รับการชี้แนะจากเทพเซียน หรือเทพเซียนมอบยาอายุวัฒนะให้เขาเม็ดหนึ่งย่อมดีกว่าเขาลำบากลำบนฝึกฝนอย่างหนักหลายปี
สองวันแรกท้องฟ้าปลอดโปร่ง ท้องทะเลสงบนิ่ง อย่าว่าแต่ภูเขาเซียน กระทั่งเงาของนกตัวหนึ่งก็ยังไม่มีให้เห็น
คิดไม่ถึงว่าตอนเที่ยงของวันที่สาม ท้องฟ้าที่เดิมปลอดโปร่งแจ่มใสจู่ๆ ก็มืดสลัวลงมา เมฆดำปกคลุมท้องฟ้าบดบังตะวัน คลื่นยักษ์โหมกระหน่ำ มีพายุลมหมุนยักษ์ก่อตัวขึ้นมาจากเบื้องหน้า
บรรพบุรุษของสกุลโจวท่านนั้นเห็นสภาพการณ์แล้วก็ตื่นตระหนก
แต่เสียดายเขามีพลังวัตรขั้นจินตันเสียเปล่า ภายใต้ลมพายุและคลื่นยักษ์ก็ไม่ต่างอันใดกับคนธรรมดาทั่วไป
ครู่เดียวก็ถูกพัดม้วนเข้าไปในพายุลมหมุนยักษ์ ภาพเบื้องหน้ามืดมิด หมดสติไป
รอจนเขาฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตนเองไม่เพียงไม่ตายกลับมาอยู่ในที่แห่งหนึ่งซึ่งมีภูเขาสายน้ำงดงาม
เมิ่งถังอ่านมาถึงตรงนี้หัวใจทั้งดวงอดแขวนลอยขึ้นมาไม่ได้
มาแล้ว…มาแล้ว เริ่มจากตรงนี้ไปน่าจะเป็นคำพรรณนาเกี่ยวกับดินแดนบุปผาในคันฉ่อง ดวงจันทร์กลางน้ำแล้ว
แต่ที่ทำให้นางคาดคิดไม่ถึงก็คือต่อจากประโยคที่ว่า
‘กลับมาอยู่ในที่แห่งหนึ่งซึ่งมีธาราบรรพตงดงาม’ ประโยคถัดไปก็คือ ‘ข้าได้บัวเซียนเก้าดาราในตำนานจากสถานที่แห่งนี้ต้นหนึ่ง หลังกลับมาได้ใช้บัวเซียนเก้าดาราต้นนี้เป็นตัวยาหลักและเพิ่มตัวยาล้ำค่าอื่นๆ เข้าไป หลอมเป็นยาวิเศษออกมาได้ห้าเม็ด
ตอนเปิดเตาหลอมยาวิเศษนี้ออกมากลิ่นอายเซียนลอยละล่อง กลุ่มเมฆมงคลลอยวนอยู่ระยะหนึ่ง เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากยิ่ง เมื่อสืบทอดไปสู่ชนรุ่นหลัง ยาวิเศษนี้ก็จะเป็นรากฐานของเมืองเหิงหยางเรา ไม่อาจเปิดเผยให้ผู้อื่นทราบได้โดยง่าย’