หลิ่วเหมียนถังยิ้มน้อยๆ รับปาก แต่ว่าจากที่นางรู้ ฮองเฮาไม่น่าจะต้องการใครมาอยู่เป็นเพื่อน เรื่องราวทั้งภายในวังและนอกวังล้วนต้องให้พระนางคอยดูแลทั้งสิ้น
ไม่รู้เหตุใดซุนอวิ๋นเหนียงผู้นั้นถึงยังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่ถูกขังอยู่ในตำหนักเย็น ขาดเสื้อผ้าและอาหาร สกุลสือนอกจากรับมือกับสกุลกงแล้วก็กำลังเบียดอำนาจคนเก่าแก่ของตำหนักบูรพาออกไปทีละนิด โดยเฉพาะสกุลซุนเองก็ถูกชำระบัญชีไปด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงกลายเป็นสกุลสือกับไหวหยางอ๋องที่รักษาสมดุลอัศจรรย์นี้เอาไว้
ช่วงที่หลิ่วเหมียนถังอยู่เดือน พี่สะใภ้เหลียนปิ่งหลันกับท่านน้าเหลียนของนางแวะมาหาอยู่หลายครั้ง
ตอนที่สุยอ๋องแอบเคลื่อนย้ายกำลังทหารผ่านหมู่บ้านชิ่งเฟิง เป็นคนของท่านห้าชุยสิงตี๋ที่พบเห็นเข้าแล้วนำข่าวมาบอกท่านห้า ท่านห้ารู้สึกว่าผิดปกติจึงส่งคนมาบอกต่อไหวหยางอ๋อง ไหวหยางอ๋องถึงได้มีการเตรียมการล่วงหน้า
น้ำใจนี้หลิ่วเหมียนถังย่อมรับไว้แทนท่านอ๋อง ดังนั้นถึงแม้ท่านน้าเหลียนจะยังไม่ลดทอนกลิ่นอายปากตลาด แต่หลิ่วเหมียนถังเองก็ยิ้มแย้มรับมืออย่างมีมารยาท พร้อมถามด้วยว่าพี่สะใภ้ตั้งใจจะมีบุตรเมื่อไร
เมื่อยกเรื่องนี้มาพูดอารมณ์ตัดพ้อของท่านน้าเหลียนก็ทะลักพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง “พูดไปเขาเองก็เป็นคุณชายจวนอ๋อง จะออกไปตะลอนข้างนอกตลอดเพื่อเงินทองกำไรน้อยนิดไปไย ข้าละอายจะพูดกับผู้อื่นว่าบุตรเขยตนเองเป็นพี่ชายของไหวหยางอ๋องด้วยซ้ำ เจ้าว่ามาสิว่าบุตรชายท่านอ๋องคนใดจะต้องทำการค้าหาเลี้ยงชีพจนวันๆ ไม่กลับบ้านเช่นนี้ หากบุตรสาวข้าตั้งครรภ์จริงๆ กลับจะให้คนนอกติฉินนินทาแทน!”
ท่านน้าเหลียนปากร้าย เหลียนปิ่งหลันย่อมรักษาสีหน้าไว้ไม่ค่อยอยู่ เพียงหาช่องว่างถลึงตาใส่มารดาตนเอง
หลิ่วเหมียนถังฟังออกถึงความนัยในคำพูดของท่านน้าเหลียน กลับช่วยมอบทางลงให้พี่สะใภ้อย่างทันท่วงที “พี่สะใภ้อายุยังน้อย ไม่ต้องรีบร้อนหรอก หลังกลับไปข้าจะคุยกับท่านอ๋องดูว่ามีตำแหน่งในที่ว่าการใดค่อนข้างสบายบ้างหรือไม่ หากให้พี่ห้ารับเบี้ยรายเดือนมั่นคงได้ก็ไม่ต้องออกไปลำบากข้างนอกเช่นนั้นแล้ว”
เหลียนปิ่งหลันรีบเอ่ย “พระชายาอย่าได้พูดกับท่านอ๋องเชียว…ก่อนหน้านี้ญาติพี่น้องสกุลเหลียนจำนวนมากต่างรบกวนท่านอ๋อง ตอนนี้หากยังรบกวนอีกจะไม่ค่อยเหมาะสม…”
หลิ่วเหมียนถังลูบหลังก้อนเนื้อน้อยที่ไซร้ตัวไปมาในอ้อมกอด ก่อนยิ้มน้อยๆ เอ่ย “นี่เป็นการช่วยคนสกุลชุยเอง จะเทียบกับเมื่อก่อนได้อย่างไร เพียงแต่พี่ห้ามีอาการเจ็บป่วยที่ขา เกรงว่ายากจะเป็นขุนนาง ทว่าหาตำแหน่งอาลักษณ์สบายๆ สักตำแหน่งในที่ว่าการก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
ท่านน้าเหลียนฟังคำพูดนี้แล้วแอบระคายหู อะไรเรียก ‘ช่วยคนสกุลชุยเอง’ หรือว่าสกุลเหลียนของนางไม่ใช่ญาติของสกุลชุยหรือไร แต่ว่าประโยคนี้เพียงติดอยู่ในลำคอไม่กล้าพูดออกไป
ตั้งแต่นางรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของหลิ่วเหมียนถังผู้นี้ก็ได้แอบสืบข่าวเกี่ยวกับเรื่องของลู่เหวินแห่งภูเขาหยั่งซานต่ออีกเล็กน้อย
พอรู้ประวัติความเป็นมาแล้ว เรียกว่าน่าตกใจจนท่านน้าเหลียนขวัญหนีกระเจิงจริงๆ ส่วนใหญ่ข่าวลือเกี่ยวกับโจรป่ามักเกินจริงอยู่แล้ว อะไรอย่างถลกหนังคน จุดโคมลอย* ชำแหละคนทั้งเป็น ถึงขั้นมีเรื่องเล่าว่าลู่เหวินแห่งภูเขาหยั่งซานดื่มเลือดคนดับกระหายอีกด้วย
ตอนนี้หลิ่วเหมียนถังเพียงขึงตาใส่เบาๆ ท่านน้าเหลียนก็รู้สึกขาจะเป็นตะคริวแล้ว ได้ยินว่าอวิ๋นเฟยในวังผู้นั้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตของหลิ่วเหมียนถัง ตอนนี้ถูกจับขังอยู่ในตำหนักเย็น สภาพเนื้อตัวเน่าเละ อยู่มิสู้ตาย ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นฝีมือของหลิ่วเหมียนถังหรือไม่
ในเมื่อนางสนิทกับสือฮองเฮาผู้เมตตาใจกว้าง หากนางคิดแก้แค้นอวิ๋นเฟยล่ะก็ น่าจะทางสะดวกอย่างยิ่ง
เมื่อเกิดความยำเกรงเช่นนี้ ท่านน้าเหลียนจึงลดทอนคำพูดแปลกประหลาดยามอยู่ต่อหน้าหลิ่วเหมียนถังลงไปมาก
ขณะที่เหลียนปิ่งหลันย่อมขอบคุณความปรารถนาดีของชายาอ๋อง กล่าวว่าท่านห้านั่งเรือกลับมาเมื่อไรจะมาขอบคุณที่จวนด้วยกัน
ในเมื่ออยู่เดือนครบกำหนดแล้วหลิ่วเหมียนถังย่อมอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก โดยเฉพาะไปหาพี่น้องที่สำนักคุ้มภัย ช่วงที่ผ่านมานางอุดอู้แทบแย่ ตอนนี้นับว่าได้ปลดปล่อยภาระ สามารถไปที่ใดมาที่ใดได้อย่างอิสรเสรีเสียที
พูดไปสี่พี่น้องเหล่านั้นออกจะผิดต่อคำว่า ‘จงรักภักดี’ อยู่บ้าง นับตั้งแต่นางช่วยพวกเขาออกมาจากคุก หลังได้พบหน้ากันสั้นๆ ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของพวกเขาอีก กระทั่งงานเลี้ยงครบเดือนของเสี่ยวอี้เอ๋อร์ยังไม่เห็นพวกเขาสี่คนกับพี่น้องในสำนักคุ้มภัยโผล่หน้ามา
แต่นางคิดว่าบางทีพวกเขาอาจออกไปทำงานข้างนอกก็นับว่าปกติ ดังนั้นครั้งนี้หลิ่วเหมียนถังจึงให้พวกปี้เฉ่าเตรียมไข่มงคลกับลูกอมมงคลไปด้วย ตั้งใจจะให้พรรคพวกในวันวานได้รับบรรยากาศมงคลเช่นกัน
ตอนที่ไปถึงหน้าสำนักคุ้มภัย หลิ่วเหมียนถังกลับต้องยืนอึ้งอย่างโง่งม นางเห็นหน้าประตูใหญ่ของสำนักคุ้มภัยแปะกระดาษของที่ว่าการ ประตูดูทรุดโทรมอย่างมาก จากสภาพแล้วไม่ได้เพิ่งถูกปิดมาเพียงวันสองวัน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.