บทที่ 138
หลิ่วเหมียนถังจ้องมองตราประทับของที่ว่าการเมืองหลวงบนกระดาษอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นไปถามร้านข้างๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสำนักคุ้มภัยแห่งนี้
คนในร้านหดคอ ตอบอึกอักว่าไม่รู้ เพราะว่าแต่ก่อนหลิ่วเหมียนถังไม่ค่อยได้มาที่สำนักคุ้มภัยเท่าไร คนรอบข้างเองก็ไม่รู้ว่านี่คือชายาไหวหยางอ๋องผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองหลวง
หลิ่วเหมียนถังครุ่นคิดแล้วเดินเข้าไปในร้านแป้งชาดด้านข้าง หลังซื้อแป้งชาดไปสิบกว่ากล่องก็เนียนตีสนิทกับเถ้าแก่เนี้ยได้สำเร็จ ทั้งยังพูดว่าภายในสำนักคุ้มภัยข้างๆ มีญาติผู้พี่ห่างๆ ของนาง นางหาตัวคนไม่เจอ รู้สึกร้อนยิ่งนัก
เถ้าแก่เนี้ยผู้นั้นเห็นหลิ่วเหมียนถังที่มีรูปโฉมอ่อนหวานขอบตาแดงระเรื่อก็ชวนให้รู้สึกสงสารจับใจ คล้ายกำลังตามหาญาติผู้พี่ที่มีสายสัมพันธ์อันดีมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นนางจึงใจอ่อน ยอมพูดออกมา “ได้ยินว่าเจ้าของสำนักคุ้มภัยถูกจับเพราะเป็นโจร ตอนหลังถึงจะถูกปล่อยตัวออกมา แต่พอวันถัดมาเรือสินค้าก็ถูกกักไว้ บรรดาพี่น้องพวกนั้นเองก็ถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว สภาพตอนไปเรียกได้ว่าดูไม่ได้ อย่างกับสุนัขเสียบ้านถูกไล่ที่ ถูกจับขึ้นรถลากออกไปนอกเมืองกันหมด…”
หลิ่วเหมียนถังเบิกตากว้างก่อนเอ่ยขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยแล้วมุ่งหน้าไปยังที่ว่าการเมืองหลวงทันที
บนรถม้าหลิ่วเหมียนถังถามสาวใช้สี่คนข้างกายว่าช่วงที่นางใกล้คลอดเคยมีคนของสำนักคุ้มภัยมาหานางหรือไม่
สาวใช้สี่คนตอบอย่างซื่อสัตย์ว่าไม่มี หลิ่วเหมียนถังเม้มปาก รู้สึกว่าพวกเขาถูกขับไล่ออกไปเงียบๆ ทว่าไม่คิดหาวิธีแอบเข้าเมืองมาบอกนาง นี่ไม่คล้ายนิสัยของสี่พี่น้อง
รอไปถึงที่ว่าการ ผู้ว่าการเมืองหลวงได้ยินเรื่องชายาไหวหยางอ๋องมาสอบถามบางอย่างก็วิ่งเหยาะๆ ออกมาต้อนรับทันที
หลิ่วเหมียนถังเอ่ยขอบคุณผู้ว่าการเมืองหลวงที่คอยช่วยดูแลร้านค้าจำนวนมากในชื่อตนเอง จากนั้นถามว่าสำนักคุ้มภัยทำความผิดอะไรกันแน่ถึงได้ถูกปิด
ผู้ว่าการเมืองหลวงกะพริบตาปริบๆ ครุ่นคิดอย่างตั้งใจ ทั้งยังให้ที่ปรึกษานำเอกสารคดีมาตรวจสอบ ตรวจอยู่นานค่อนวันถึงได้เอ่ย “พระชายา ในสินค้าที่สำนักคุ้มภัยนำไปส่ง ตรวจสอบพบสินค้าส่วนตัวผิดกฎหมายติดต่อกันหลายครั้ง แม้จะเป็นสำนักคุ้มภัยที่ท่านเปิด แต่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ข้าน้อยไร้หนทางจึงได้แต่ปิดสำนักคุ้มภัย…”
หลิ่วเหมียนถังฟังจบแล้วเอ่ยถาม “ผู้คุ้มภัยของที่นั่นถูกใต้เท้าจับตัวไปหรือ”
ผู้ว่าการเมืองหลวงมีสีหน้าลำบากใจ “เพียงลงโทษปรับเงิน มิได้จับตัวคน คดีนี้นานเกินไป ข้าน้อยเองก็จำไม่ค่อยได้…”
ขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่แกล้งวิ่งหอบมารายงาน “ตะ…ใต้เท้า ฮูหยินล้มป่วย ต้องให้ท่านรีบกลับจวนไปดูขอรับ!”
ผู้ว่าการเมืองหลวงได้ยินว่าฮูหยินป่วย หางตามีความดีใจที่ปิดไม่มิด เขาเอ่ยอย่างโล่งอกเหมือนได้ปลดภาระหนักอึ้ง “ข้าจะกลับจวนทันที!”
พูดจบก็หันกลับมามองหลิ่วเหมียนถังด้วยสีหน้าลำบากใจต่อ
ยามนี้หลิ่วเหมียนถังเองก็ไม่มีใจจะมองการแสดงปาหี่ของใต้เท้าผู้ว่าการเมืองหลวงอีก ดังนั้นหลังเอ่ยกับผู้ว่าการเมืองหลวงตามมารยาท นางก็ขึ้นรถม้าออกคำสั่งทันที “กลับจวน!”
รอกลับไปถึงจวน ชุยสิงโจวยังไม่ได้กลับมา
วันนี้ภายในวังมีงานเลี้ยง แต่เพราะหลิ่วเหมียนถังต้องคอยให้นมบุตร ไม่อาจดื่มสุราได้ นางจึงปฏิเสธงานเลี้ยงไป
ดังนั้นหลังชายาอ๋องเปลี่ยนเสื้อผ้า เวลาที่เหลือก็นำมาใช้สอบสวนบ่าวเฝ้าประตูในจวนอ๋อง
ตอนแรกบ่าวเฝ้าประตูพวกนี้ยังปากแข็ง บอกว่าไม่มีคนของสำนักคุ้มภัยอะไรนั่นมาหาพระชายา
แต่ว่ารอชายาอ๋องสีหน้าเคร่งขรึมลง หยิบกลิ่นอายกดดันผู้คนของราชาภูเขาขึ้นมา เตรียมมีดเราะกระดูก ดูท่าทางตั้งใจจะถลกหนังจุดโคมลอย ท้ายที่สุดก็มีคนทนไม่ไหวยอมสารภาพ “ก่อนหน้านี้อดีตองครักษ์เรือนนอกลู่อี้เคยมาหาพระชายาจริงๆ ขอรับ แต่ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าเรื่องจุกจิกพวกนี้ห้ามนำไปรบกวนพระชายาที่กำลังดูแลครรภ์ ดังนั้นพวกบ่าวเลยไปรายงานท่านอ๋องแทน ท่านอ๋องให้คนจับตัวลู่อี้แล้วโยนพวกเขาออกไปจากเมืองแล้วขอรับ…”
หลิ่วเหมียนถังไต่สวนไปรอบหนึ่งก็ทำความเข้าใจได้กระจ่างในที่สุด เป็นไหวหยางอ๋องส่งคนไปปิดสำนักคุ้มภัย ทั้งยังขับไล่พี่น้องทั้งสี่คนออกจากเมืองไปจริงๆ
ปี้เฉ่ามองสีหน้าเคร่งขรึมของพระชายาก็รู้ว่านางโมโหแล้วจริงๆ จึงเอ่ยกล่อมเสียงเบา “ที่ท่านอ๋องไม่บอกพระชายาก็คงเพราะกลัวว่าท่านจะเป็นห่วง บ่าวเห็นว่าตั้งแต่พระชายาเจอสี่พี่น้องพวกนั้นก็ต้องคอยช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาทุกวัน พวกเขาจากไปเองก็ดี จะได้ไม่ลำบากถึงพระชายา…”
ปี้เฉ่าพูดไปได้ครึ่งทางเห็นหลิ่วเหมียนถังถลึงตามองนางเย็นชาก็ตกใจจนไม่กล้าพูดต่ออีก