รอเข้าสู่ยามวิกาลไหวหยางอ๋องที่เมากรึ่มน้อยๆ กลับมาถึงจวนในที่สุด เมื่อเขาลงจากรถม้าก็มีคนมารายงานเรื่องพระชายาสอบถามถึงสำนักคุ้มภัยทันที
พอไหวหยางอ๋องกลับถึงห้อง เสี่ยวอี้เอ๋อร์เพิ่งดื่มนมเสร็จ กำลังนอนหลับสนิทด้วยแก้มพองป่อง หลิ่วเหมียนถังสวมชุดคลุมตัวหลวม สาบเสื้อหย่อนคล้อย ผมยาวปัดลงมาที่ฝั่งหนึ่งของหัวไหล่ แขนผอมเพรียวกำลังอุ้มทารกตัวอ้วนกลม ภายใต้แสงสลัวย่อมเป็นเสน่ห์เย้ายวนตา
น่าเสียดายที่หญิงงามสะพรั่งกลับใช้สายตาเย็นเยือกจับจ้องมองเขา
ไหวหยางอ๋องปล่อยให้สาวใช้ปลดเสื้อนอกเขาอย่างใจเย็นเป็นธรรมชาติ หลังล้างมือกลั้วปากเปลี่ยนชุดเสร็จก็ไปนั่งลงข้างหลิ่วเหมียนถัง รับตัวบุตรชายที่นอนหลับสนิทส่งให้แม่นมอย่างระมัดระวัง ถึงได้โอบหลิ่วเหมียนถังเอ่ย “ได้ยินว่าวันนี้พระชายาเปิดการไต่สวน ทั้งยังจะจุดโคมลอยด้วย? บ่าวเฝ้าประตูถูกเจ้าทำให้ตกใจไม่เบา เห็นว่าเกือบจะปัสสาวะราดด้วยซ้ำ”
หลิ่วเหมียนถังข่มโทสะเอ่ย “เรียนถามท่านอ๋อง ท่านให้ผู้ว่าการเมืองหลวงปิดสำนักคุ้มภัยหรือ ทั้งยังไม่ให้พี่น้องในสำนักคุ้มภัยมาหาข้าด้วย?”
เรื่องมาถึงทุกวันนี้ชุยสิงโจวเองก็ไม่ได้บอกปัด เพียงผงกศีรษะยอมรับ
“ทุกวันนี้เจ้าเป็นชายาอ๋อง เรื่องในอดีตที่ภูเขาหยั่งซานเหล่านั้นไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า เลี้ยงดูพวกเขากลับจะเป็นภาระแทน พวกเขาเองก็มีมือมีเท้า จำเป็นต้องให้คนเลี้ยงดูด้วยหรือ”
หลิ่วเหมียนถังยืดตัวตรงช้าๆ เอ่ย “เช่นนั้นข้าขอถามท่านอ๋องต่อ ไม่ว่าจะเรื่องในราชสำนักหรือในค่ายทหาร ข้าเคยสอดมือเข้ายุ่งกับงานของท่านหรือไม่”
ชุยสิงโจวหรี่ตาถาม “หมายความว่าอย่างไร”
“ข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในกองรักษาเมืองของท่าน ท่านอ๋องถือสิทธิ์อะไรมายุ่งกับพี่น้องข้า”
นางหลงคิดมาโดยตลอดว่าเรื่องเป็นโจรที่ภูเขาหยั่งซานผ่านพ้นไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าแม้ชุยสิงโจวจะยอมให้อภัยเรื่องที่นางเคยเป็นลู่เหวิน ทว่าภายในใจเขายังคงรังเกียจอดีตช่วงนั้นของนางอยู่ ถึงกับไม่บอกกล่าวนางก็ไล่คนเก่าแก่ของภูเขาหยั่งซานไป
ในเวลานั้นหลิ่วเหมียนถังโมโหจนอกแทบระเบิด เพียงจ้องเขม็งมองชุยสิงโจว
วันนี้ไหวหยางอ๋องดื่มสุรามาเล็กน้อย ฤทธิ์สุราขึ้นศีรษะอยู่บ้าง จึงขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้ายอมรับว่าเป็นความผิดสมัยเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ถ้าอย่างนั้นก็ควรตัดขาดให้หมดจด เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าคนชื่อลู่อี้นั่นตั้งใจจะทำอะไร ทุกครั้งเวลาเจอเจ้าก็มักมองไม่ละสายตา ตอนแรกข้าเห็นแก่หน้าเจ้าถึงไว้ชีวิตสุนัขๆ ของพวกเขา แค่นี้ก็เมตตามากพออยู่แล้ว…มา กดจุดที่ศีรษะให้ข้าหน่อย”
หลิ่วเหมียนถังยื่นมือไปจะกดให้เขาตามความเคยชิน แต่ยื่นไปได้ครึ่งทางก็ชะงักเก็บมือกลับมา “พวกเขาถูกปล่อยเพราะฮ่องเต้ทรงอภัยโทษ นั่นหมายความว่ายกโทษให้กับความผิดก่อนหน้านี้ทั้งหมด ไฉนยังต้องให้ท่านอ๋องเมตตาด้วย ลู่อี้เป็นพี่น้องข้า สายตาที่เขามองข้าให้ความเคารพกว่าแววตาของท่านโหวจ้าวสหายสนิทของท่านมากนัก!”
ชุยสิงโจวได้ยินประโยคนี้แล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก
พูดตามตรงนิสัยของพระชายาเขาผู้นี้ดุร้ายมากขึ้นทุกวัน แต่ก่อนตอนอยู่บ้านบนถนนสายเหนือ ปฏิบัติต่อสามีอย่างเคารพนอบน้อม ตอนหลังไปอยู่ซีเป่ยก็ยังรักษาหลักหญิงออกเรือนไว้ได้อยู่
แต่มาภายหลังพอจุดอ่อนที่เขาหลอกลวงนางถูกนางกุมไว้ในมือ เวลาคุณหนูใหญ่สกุลหลิ่วผู้นี้มองเขาก็ออกจะหยิ่งยโสไปบ้างแล้ว
ภายหลังจากนั้นอีกจุดอ่อนเรื่องที่นางปิดบังอดีตที่เคยเป็นโจรของตนเองถูกเขาจับได้ นางถึงได้เก็บความถ่อมตนสมัยเป็นภรรยาสกุลชุยที่บ้านบนถนนสายเหนือกลับมา ประจบประแจงเอาใจเขาเป็นอย่างดีอยู่ช่วงหนึ่ง
แต่มาตอนนี้คนที่ถลึงตาโมโหใส่เขายังเป็นชายาของเขาอีกหรือ กลับเหมือนท่านหัวหน้าของภูเขาหยั่งซานที่พูดจาคำใดคำนั้นมาไต่สวนความผิดของเขามากกว่า
ปกติเรื่องเล็กน้อยทั่วไปเขาจะเอาใจนาง ยอมให้นางอย่างไรก็ได้ แต่เรื่องที่นางยังคิดเลี้ยงดูพรรคพวกภูเขาหยั่งซานเหล่านั้น ตั้งใจจะทำอันใดกันแน่
เหมือนกับใบหย่าที่หนีบไว้ในสมุดบัญชีแผ่นนั้น นางตั้งใจเหลือทางรอดไว้ให้ตนเอง พร้อมจะหย่ากับเขาจากนั้นขึ้นภูเขาไปก่อกบฏอีกครั้งหรือไร
คิดมาถึงตรงนี้ชุยสิงโจวลุกพรวดขึ้น จากนั้นตะโกนเสียงดัง “หลิ่วเหมียนถัง! เจ้าดูสิว่าเจ้าพูดอะไร ก็แค่โจรไม่กี่คนในอดีต พวกเขามีค่าพอให้เจ้าทะเลาะกับข้าหรือ”
หลิ่วเหมียนถังนิ่งเงียบ นางก้มหน้าลงน้อยๆ เรือนผมงดงามทิ้งตัวลงมาดั่งน้ำตก ดูแล้วบอบบางน่าสงสาร