บทที่ 141
ยามนั้นหลิ่วเหมียนถังเรียกอารมณ์ตื่นเต้นไม่ออก ความปรารถนาเล็งธนูยิงอินทรีตัวใหญ่เองก็เป็นไปไม่ได้แล้ว นางจึงนั่งเหม่ออยู่ในกระท่อมไม้ด้านข้างลานล่าสัตว์อย่างเบื่อหน่าย
ชุยฝูเห็นนางแต่งตัวห้าวหาญ จึงถามว่านางอยากไปล่ากระต่ายหรือไม่
หลิ่วเหมียนถังตอบพี่สาวสามีด้วยท่าทีหดหู่ว่าการรังแกผู้อ่อนแอกว่ามิใช่วิถีของผู้ฝึกยุทธ์ นางไม่อาจเข่นฆ่ากระต่ายที่อ่อนแอบอบบางได้
ชุยฝูกลอกตามองอย่างจนใจ เพียงตามหลี่กวงไฉไปชมดอกเหมยในสวนดอกเหมยข้างลานล่าสัตว์ด้วยกัน
ชุยสิงโจวเดินมาฉุดมือนางก่อนเอ่ย “พาเจ้าออกมาเที่ยวยังไม่ดีใจอีก ประเดี๋ยวเสี่ยวอี้เอ๋อร์ตื่น เจ้าก็ยิ่งเที่ยวเล่นไม่ได้แล้ว”
เพราะว่าบุตรชายยังเล็ก อาจต้องการดื่มนมได้ทุกเมื่อ ดังนั้นบุตรชายจึงตามมาด้วย แต่ไม่ได้เข้ามาในลานล่าสัตว์ เพียงให้บรรดาแม่นมและบ่าวหญิงคอยดูแลอยู่ในห้องอุ่นของโรงเตี๊ยม ยามนี้กำลังนอนหลับสนิท
ดังนั้นสำหรับผู้เป็นมารดาแล้ว ช่วงเวลาอิสระนั้นช่างล้ำค่ามาก
หลิ่วเหมียนถังมุมปากตกลงน้อยๆ ก่อนเอ่ย “ครั้งก่อนท่านล่าเสือมาได้ หรือว่าในลานล่าสัตว์นี้ไม่มีเหยื่ออะไรเป็นจริงเป็นจังเลยหรือ”
ชุยสิงโจวเคาะหน้าผากนางเบาๆ “ช่วงฤดูกาลนี้หากไปยังลานล่าสัตว์จริงๆ จะเจอกับหมีดำที่เพิ่งตื่นจากการจำศีล นายพรานที่ล่าสัตว์เป็นประจำต่างระวังหมีที่หิวจนเสียสติ มือสมัครเล่นอย่างเจ้ายังจะแสดงฝีมืออีกหรือ รอตอนเข้าฤดูใบไม้ร่วงข้าค่อยพาเจ้าไปอีกที รับรองว่าจะให้เจ้าล่าจิ้งจอกล่าสุนัขป่าจนสำราญใจ”
พูดจบเขาก็พาหลิ่วเหมียนถังไปสวนกวาง ล่ากวางตัวอ้วนพีมาเป็นอาหารของวันนี้
ตอนนี้หลิ่วเหมียนถังเองก็ล้มเลิกความคิดล่าสัตว์แล้ว ถือเสียว่ามากินข้าวที่โรงเตี๊ยม ดังนั้นหลังล่ากวางเสร็จนางก็ตามชุยสิงโจวไปเดินเล่นที่ภูเขาด้านหลัง
ด้วยที่นี่มักมีสตรีชั้นสูงมาเที่ยว สิ่งก่อสร้างพวกศาลาหอเก๋งจึงมีไม่น้อย ยามยืนอยู่ที่ศาลาบนยอดเขามองไปรอบๆ ก็สามารถเห็นถนนหลวงไกลห่างรวมถึงหมู่บ้านเรียงตัวกันกระจัดกระจายเป็นจุดๆ ได้
ทัศนียภาพ ณ ที่แห่งนี้รื่นตา ดังนั้นจึงมีฮูหยินกับคุณหนูคนอื่นเดินผ่านไปผ่านมาในภูเขาด้วยเช่นกัน
แต่ว่าส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวที่นี่ล้วนรู้จักหลบเลี่ยงกัน ด้วยมิใช่อยู่ในงานเลี้ยงน้ำชา ไม่จำเป็นต้องทักทายกันตามมารยาท เมื่อมองเห็นบ่าวรับใช้ผู้ติดตามแต่ไกล ต่างฝ่ายต่างหลบกันไปก็พอแล้ว
ดังนั้นตลอดทางที่พวกหลิ่วเหมียนถังเดินไปจึงนับว่าเงียบสงบ
แต่ที่บริเวณเชิงเขาพวกเขาเดินเจอกับคุณหนูผู้หนึ่งที่มีบ่าวรับใช้กับสาวใช้ห้อมล้อมเข้าเต็มๆ
คุณหนูผู้นั้นดูไปอายุอานามสิบห้าสิบหกปี ผิวขาวผ่อง รูปร่างอรชร องคาพยพเองก็น่าดูชม
ตอนได้เห็นไหวหยางอ๋องที่อยู่ไม่ไกล คุณหนูผู้นั้นก้มหน้าลงเอ่ยอย่างขวยเขิน “นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกับท่านอ๋องที่นี่ ไม่ได้พบหน้ากันหลายวัน สบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
ประโยคนี้กล่าวอย่างชวนให้คนครุ่นคิดจินตนาการ หลิ่วเหมียนถังก้าวขึ้นหน้าไปมองสำรวจคุณหนูท่านนี้โดยละเอียดอย่างห้ามไม่ได้ อยากจะดูว่าอีกฝ่ายกับสามีนางมีสายสัมพันธ์ ‘ไม่ได้พบหน้ากันหลายวัน’ อย่างไร
พอตั้งใจมองถึงได้พบว่าคุณหนูผู้นี้น่าจะเป็นสือซิ่วจิน บุตรสาวคนเล็กสุดที่เกิดจากภรรยาเอกของแม่ทัพสืออี้ควน
สืออี้ควนเจริญก้าวหน้าขึ้นมากลางคัน ภรรยาเอกคนก่อนเป็นเพียงหญิงชาวบ้าน แม้ภายหลังจะรับอนุเข้ามาหลายคนทว่ายังไม่เพียงพอ ได้ยินมาว่าคุณหนูผู้นี้เป็นบุตรสาวภรรยาเอกที่เกิดจากภรรยาเอกคนที่สองซึ่งเป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง ผู้ที่แม่ทัพสือแต่งงานหลังเจริญก้าวหน้า ตั้งแต่เด็กๆ ได้รับความเอ็นดูเอาใจใส่ผิดไปจากบุตรคนอื่นๆ อย่างสือฮองเฮาบุตรสาวที่เกิดจากอนุยิ่งไม่อาจเทียบเคียงได้
ทุกวันนี้สืออี้ควนเป็นบุคคลโดดเด่นของราชสำนัก ใช้ชีวิตในฐานะพระสัสสุระอย่างรุ่งโรจน์ เขาถนัดประจบเอาใจคน ทั้งยังปฏิบัติต่อฮ่องเต้อย่างเคารพนอบน้อม ได้รับความโปรดปรานอย่างมาก