บทที่ 144
หลิ่วเหมียนถังนึกไม่ถึงว่าฝีปากแม่สามีจะมีความก้าวหน้า พริบตาเดียวก็เล่นงานจุดอ่อนนางเข้าตรงเป้า
นางเอ่ยอย่างหมดความมั่นใจทันที “ข้า…ข้าแต่งงานครั้งแรกไม่ใช่หรือ ย่อมเป็นความคิดตื้นเขินของเด็กสาว สนเพียงหน้าตา มิหนำซ้ำหลังเจอท่านแม่แล้วถึงรู้ว่าที่แท้ข้าก็ชมชอบรูปโฉมอย่างท่าน ตอนนั้นทันทีที่เห็นท่านก็เกิดความรู้สึกใกล้ชิดขึ้นมาทันที ภายหลังพอกลับไปเจอท่านอ๋อง ถึงได้ตระหนักว่าที่แท้ท่านอ๋องคล้ายท่าน หน้าตาชวนให้คนชมชอบ…ดังนั้นต่อให้เขาจะเคยหลอกลวงข้า ‘โดยไม่เจตนา’ ภายหลังก็ลืมไปแล้วเจ้าค่ะ”
การประจบประแจงเช่นนี้ถูกใจฉู่ไท่เฟยเข้าพอดี
นางหลงลืมความทุกข์ใจที่บุตรชายต้องเดินทางไกลไปชั่วคราว ยิ้มแย้มเอ่ย “คนต่างพูดว่าสิงโจวหน้าตาเหมือนบิดาเขามาก แต่แม้บิดาเขาจะหล่อเหลา ทว่าขาดกลิ่นอายสง่างาม ยังเป็นเพราะบริเวณหว่างคิ้วหน้าผากมีความคล้ายคลึงข้า ถึงได้รูปงามกว่าบิดาเขา…แต่ว่าคนเราดูเพียงหน้าตาไม่ได้จริงๆ ข้าเห็นว่าหลี่กวงไฉผู้นั้นยังนับว่าซื่อสัตย์ ชุยฝูของพวกเราเองก็ไม่ขาดอะไร หากหาบุตรเขยที่อนาคตมั่นคงได้ก็มีประโยชน์เสียยิ่งกว่าหาคนหน้าตาดี”
หลิ่วเหมียนถังเอียงศีรษะเอ่ย “แล้วไม่ใช่เป็นไปตามหลักการนี้หรือเจ้าคะ ท่านแม่เป็นคนมีประสบการณ์ มองเรื่องราวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง” นางยิ้มแล้วเอ่ยต่อ “ข้าจับชีพจรแล้ว อาการอาหารไม่ย่อยก่อนหน้านี้ของท่านแม่ดีขึ้นมากแล้ว เห็นได้ว่าเทียบยาช่วยย่อยอาหารที่ข้าจัดยังมีประโยชน์ ครั้งนี้ข้าจะจ่ายยาให้อีกสักหน่อย ท่านแม่อย่าลืมกินนะเจ้าคะ”
ฉู่ไท่เฟยเปลี่ยนมาตบหลังมือนางเอ่ยแทน “สิงโจวยังพูดว่าเจ้าเป็นท่านหมอครึ่งๆ กลางๆ ดื่มยาที่เจ้าจัดให้แล้วจะท้องเสียออกมาทั้งลำไส้ แต่จากที่ข้ามอง ฝีมือเจ้าไม่ได้ด้อยกว่าท่านโหวจ้าวเลย”
หลิ่วเหมียนถังเอ่ยอย่างจริงใจ “นั่นเป็นเพราะบารมีของท่านแม่ ถึงได้เจอกับช่วงเวลาที่ดีเข้าพอดี ช่วงแรกที่ข้าเรียนวิชาแพทย์เป็นช่วงที่อยู่ซีเป่ย ยามออกจากบ้านกระดากใจจะเอ่ยทักทายบรรดาเพื่อนบ้านที่ท้องเสียหนักด้วยซ้ำ ตอนนี้จับลู่ทางได้แต่ก็ไม่กล้าตรวจโรคร้ายแรงอะไร เพียงศึกษาตำรับยาบำรุงกระเพาะลำไส้เท่านั้น”
ฉู่ไท่เฟยถูกนางหยอกจนหลุดหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว แต่ต่อมาก็อยากร้องไห้อีก “พวกเจ้าไปกันครั้งนี้ ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กล้วนทำให้ข้าเป็นห่วง หรือไม่ก็ให้ข้าตามพวกเจ้าไปด้วยเสียเลยเป็นอย่างไร”
หลิ่วเหมียนถังไม่กล้าเอาสุขภาพของแม่สามีมาล้อเล่น เพียงคำนวณกับฉู่ไท่เฟยว่าจากความสามารถของท่านอ๋อง ไม่เกินสองปีสงครามก็น่าจะมีบทสรุปแล้ว
ถึงเวลานั้นพวกเขาทั้งครอบครัวสามารถรวมตัวกันพร้อมหน้าที่เจินโจว มิใช่เรื่องดีหรอกหรือ
เอาเป็นว่าเกี่ยวกับหัวข้อหลี่กวงไฉหน้าตาไม่ดีพอ ท้ายที่สุดก็ถูกหลิ่วเหมียนถังเนียนผ่านไปทั้งอย่างนี้แล้ว
การแต่งงานครั้งที่สองส่วนใหญ่ล้วนอิงตามความต้องการของบุตรสาว ตระกูลของไหวหยางอ๋องของพวกเขาเองก็ไม่คาดหวังว่าจะปีนป่ายตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์อะไรอีก ถึงอย่างไรหลี่กวงไฉก็นับเป็นคนสนิทของไหวหยางอ๋อง รู้ตื้นลึกหนาบางกันดี ชุยฝูแต่งงานไปไม่ต้องทนอัดอั้นโมโหก็พอแล้ว
สุดท้ายหลังฉู่ไท่เฟยเศร้าใจกับการจากลา ท้ายที่สุดก็ผงกศีรษะรับปาก
หลังปรึกษากันก็ตัดสินใจว่าให้ทั้งสองครอบครัวลงนามในหนังสือหมั้นหมายก่อน รอไปถึงเป่ยไห่ค่อยจัดงานแต่งอีกที ป้องกันไม่ให้คนของจวนชิ่งกั๋วกงมาก่อความวุ่นวายในงานแต่ง
ถึงแม้ชุยฝูจะตอบตกลงแต่งงาน แต่พอเห็นหลี่กวงไฉกลับรู้สึกโมโหแปลกๆ เห็นเขามาลงนามในหนังสือหมั้นหมายที่จวนด้วยใบหน้าสดใส นางก็ไม่มีสีหน้าดีๆ ให้
แต่จิ่นเอ๋อร์กลับวนเวียนไปมารอบตัวหลี่กวงไฉ ถามเขาตรงๆ ว่าเอาของเล่นอะไรมาให้ตนเองหรือไม่
หลี่กวงไฉให้บ่าวรับใช้จูงม้าตัวเล็กมาตัวหนึ่ง ลำตัวสีดำขลับ กีบเท้าสีขาวราวกับหิมะ พ่นลมจากจมูกพร้อมสะบัดแผงคอ ดูน่าเกรงขามอย่างมาก
จิ่นเอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าท่านลุงหลี่จะมอบม้าตัวเล็กให้เขา เขาร้องออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ ร้องเรียกให้บ่าวหญิงช่วยอุ้มเขาขึ้นขี่
ชุยฝูยืนอยู่บนหอมองลงไปข้างล่าง เห็นท่าหลี่กวงไฉอุ้มจิ่นเอ๋อร์ขึ้นขี่ม้าพอดีก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
หลิ่วเหมียนถังอยู่ข้างๆ ชุยฝูชะโงกหน้ามองตาม ลอบคิดในใจว่า หนนี้ใต้เท้าหลี่ทุ่มทุนอีกแล้ว
คนอย่างใต้เท้าหลี่ที่ประหยัดถึงขั้นเช่าลาขี่ นึกไม่ถึงว่าจะซื้อม้าพันธุ์แคระราคาแพง บุรุษที่ใช้เงินตรงประเด็นสำคัญเช่นนี้จะกลุ้มใจว่าแต่งกับคุณหนูสูงศักดิ์ไม่ได้ไปไย
หลังชุยสิงโจวกับหลี่กวงไฉปรึกษากันเรียบร้อยก็ตัดสินใจว่าครั้งนี้กองทัพจะยังไม่ออกเดินทาง ให้เสบียงนำไปก่อน ห้ามไม่ให้เกิดปัญหาเสบียงอาหารไม่เพียงพออย่างตอนสงครามที่ซีเป่ยอีกเป็นอันขาด ในเวลานั้นจึงไม่ได้รีบร้อนออกเดินทางกัน